บทที่ 507 หิมะแรกก็อบอุ่นได้
บทที่ 507 หิมะแรกก็อบอุ่นได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว เสื้อตัวบางก็ถูกเปลี่ยนเป็นผ้าคลุมขนสัตว์ผืนหนา
มู่ซืออวี่เอื้อมมือออกไปคว้าเกล็ดหิมะ “หิมะแรกของปีนี้มาเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย”
“นายท่านรองให้คนส่งเนื้อกวางสดมา ฮูหยินจะนำไปทำอะไรต่อดีเจ้าคะ?” จื่อซูเดินเข้ามาพร้อมกับถ่าน
“ส่งคนไปถามนายท่านและนายท่านรองที่แสนยุ่งของพวกเราดูว่าเย็นนี้พอจะว่างกลับมาเร็วหน่อยหรือไม่ หากไม่ พวกเราจะทำแกงเนื้อกวาง แต่หากพวกเขาว่าง พวกเราจะทำปิ้งย่างกินทั้งครอบครัว”
“บ่าวรู้ว่าท่านต้องสั่งเช่นนี้ จึงสอบถามพวกเขามาแล้วเจ้าค่ะ” จื่อซูเอ่ย “ตอนนี้อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ นายท่านรองดูเหมือนไม่ได้ยุ่งเท่าใดนัก เขาบอกว่าคงกลับมาที่บ้านได้ตรงเวลา”
“เช่นนั้นเตรียมทำปิ้งย่างกันเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากทานเพียงเนื้อกวางจะเลี่ยนเกินไป เจ้าไปเตรียมผักและคั้นน้ำผลไม้ไว้เผื่อหน่อย จริงสิ นำสุราปีที่แล้วออกมาจากโรงเก็บสุราสักไหด้วย”
มู่ซืออวี่เตรียมผักและผลไม้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกอย่างใกล้พร้อมแล้ว ลู่เซวียนก็รุดมาถึง ทว่ายังไร้เงาของลู่อี้
“เดิมทีพี่ใหญ่อยู่ด้วยกันกับข้า แต่เขาถูกคนจากศาลต้าหลี่เรียกตัวกลับไประหว่างทาง” ลู่เซวียนเอ่ย “เขาบอกว่าไม่ต้องรอ ไม่รู้ว่าเขาไปครั้งนี้จะกลับมาเมื่อไหร่”
มู่เจิ้งหานวางกุยช่ายเสียบไม้ลงบนตะแกรงย่าง เขาเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าและฉาวอวี่ออกมาจากวังหลวง ข้าเห็นขุนนางมากมายคุกเข่าอยู่ข้างนอกพระตำหนักหย่างซิน”
“เช่นนั้นพวกเราทานกันเถอะ! ไม่ต้องรอเขาแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่างไรก็มีเนื้อกวางอีกมากมาย หากทานกันไม่หมด ข้าจะทำเนื้อกวางย่างให้เขาทีหลัง”
เมื่อเป็นหิมะแรก อากาศย่อมหนาวเย็นเป็นอย่างมาก
มู่ซืออวี่ให้บ่าวรับใช้นำอ่างถ่านเข้ามาเพิ่มเพื่อทำให้ห้องอบอุ่น
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น “ข้าแอบคิดถึงบ้านที่เมืองฮู่เป่ยอยู่บ้าง บ้านที่นั่นอบอุ่น ไม่ต้องกลัวความหนาวแม้สภาพอากาศจะเย็นจัด บ้านที่นี่ปรับปรุงไม่ได้จึงจำต้องอดทนต่อไป”
ลู่จื่อชิงโผเข้าไปในตักของลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นรีบอุ้มนางขึ้นมาทันที
สองพี่น้องมีดวงตากลมโตและเรียวรี เสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวทำให้พวกนางดูราวกับเป็นเทพธิดาน้อยในภาพวาด
“ข้าก็คิดถึงบ้านแล้ว” มู่ซืออวี่ดื่มสุรา มองหิมะที่กำลังปลิวว่อนอยู่ด้านนอก “เมืองฮู่เป่ยมีญาติพี่น้อง สหาย และความทรงจำที่สวยงามอีกมากมาย”
ประโยคเดียวของมู่ซืออวี่ทำให้ทุกคนคิดถึงชีวิตเรียบง่ายในเมืองฮู่เป่ยเมื่อก่อน บรรยากาศพลันหนักอึ้งขึ้นมาชั่วขณะ
“ฉาวอวี่ การเรียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ลู่เซวียนเปลี่ยนเรื่อง
“พอใช้ได้ขอรับ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยกะทัดรัดครอบคลุม
ลู่เซวียนยังคงรอให้เขาเอ่ยประโยคถัดไป ทว่ารอได้ไม่นานนัก เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหลานชาย “อาจารย์ที่ดีที่สุดในใต้หล้ารวมตัวอยู่ที่นั่น เจ้าเอ่ยแค่ ‘พอใช้ได้’ อย่างนั้นหรือ?”
“อาจารย์ที่ดีที่สุดในใต้หล้าก็ใช่ว่าจะรู้วิธีสอนลูกศิษย์เสมอไป” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยด้วยท่าทีสุขุม “ท่านอาจารย์เหวินของพวกเราความรู้มิได้ด้อยไปกว่าพวกเขา”
หากไม่ใช่เพราะตำรามากมายที่รวบรวมอยู่ในหอสมุดพระราชวัง ผู้ใดจะเต็มใจอยู่ที่นั่นเพื่อมองพวกองค์ชายโง่เขลาทั้งยังเจ้าเล่ห์เพทุบายเหล่านั้นเล่า?
เมื่อคิดถึงฟ่านเหยี่ยนและองค์ชายเหล่านั้นขึ้นมา ใบหน้าจึงปรากกฏร่องรอยของความหงุดหงิด คล้ายคลึงกับลู่อี้เป็นอย่างมาก
“เจิ้งหาน เจ้าว่าอย่างไร?” ลู่เซวียนหันไปถามมู่เจิ้งหานอีกครั้ง
มู่เจิ้งหานกำลังจะกินเนื้อย่าง เมื่อได้ยินลู่เซวียนเรียกชื่อตนเอง เขาจึงหยิบผ้าข้าง ๆ มาเช็ดมือและปาก “ท่านอาจารย์ที่สอนอาจจะเป็นท่านอาจารย์ที่ดี ทว่าสถานะของข้าด้อยเกินไป ท่านอาจารย์ที่มาสอนไม่ได้ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมเช่นท่านอาจารย์เหวิน พวกเขาเพียงแค่สนใจเหล่าองค์ชาย ส่วนพวกเราสหายร่วมเรียนจะทำได้ดีหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ”
“หากไม่อยากเป็นสหายร่วมเรียนแล้ว เช่นนั้นก็บอกองค์ชายห้า ข้าแน่ใจว่าเขาจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ” มู่ซืออวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“คงไม่ต้อง” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยด้วยความสงบ “ยังมีตำราอีกหลายเล่มที่ข้ายังไม่ได้อ่าน”
“ข้าเองก็ไม่ต้องเช่นกัน” มู่เจิ้งหานเอ่ย “ขอเพียงพวกเราฟังคำสอนของท่านอาจารย์ให้ดีก็จะเรียนรู้ได้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากสิ่งที่อยู่ในตำราก็ยังเรียนรู้ได้อีกหลายอย่าง”
นั่นเป็นสถานที่ที่ใกล้ชิดอำนาจแห่งวังหลวงมากที่สุด
คนที่พวกเขาพบทุกวันล้วนเป็นหัวหอกในภายหน้า
เขาสามารถสังเกตคนเหล่านั้นได้อย่างใกล้ชิด นั่นไม่ดีกว่าการเรียนข้างนอกหรือ?
“ชั่วพริบตา น้องหานก็อายุสิบหกเสียแล้ว” มู่ซืออวี่มองรูปร่างสูงใหญ่ของมู่เจิ้งหาน “มิใช่เด็กอีกต่อไป”
หลังจากทานปิ้งย่าง ลู่เซวียนก็กลับไปที่เรือนของเขา มู่ซืออวี่เองก็ให้บ่าวรับใช้ส่งเด็ก ๆ กลับไปเช่นกัน นางนำสุราออกมามาหนึ่งไห นั่งลงตรงหน้าหน้าต่าง มองหิมะที่โปรยปรายอยู่ด้านนอกพลางดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า
“ฮูหยิน หยุดดื่มเถอะเจ้าค่ะ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ!” จื่อซูจะพยุงมู่ซืออวี่เดินไปที่เตียง
มู่ซืออวี่สะบัดมือนางออก แล้วนั่งลงข้างหน้าต่างตามเดิม “หิมะวันนี้สวยยิ่งนัก ข้าอยากชมพวกมันให้มากหน่อย”
“ข้าจัดการเอง!” เสียงของลู่อี้ดังมาจากประตู
เมื่อจื่อซูเห็นเขาจึงพยักหน้าแล้วถอยออกไป
จื่อเยวี่ยนเติมถ่านลงไปในอ่าง หลังจากเพิ่มถ่านเสร็จ นางก็ปิดประตูแล้วเดินออกไป
ลู่อี้เพิ่งกลับมาจากข้างนอก เขาถูมือเข้ากับเตาผิงไฟ จากนั้นก็เดินเข้ามาปิดหน้าต่าง
“ลมแรง หิมะยิ่งตกหนัก ระวังจะหนาวเอาได้” ลู่อี้เอ่ย “เหตุใดวันนี้เจ้าดื่มสุราเล่า?”
“จู่ ๆ ข้าก็อยากดื่มขึ้นมา” มู่ซืออวี่สั่นไหสุราในมือ “หมดแล้ว จริงสิ วันนี้พวกเราทานปิ้งย่างกัน ไม่ได้เหลือไว้ให้ท่าน พรุ่งนี้ข้าจะทำเนื้อกวางย่างให้ท่านทีหลัง”
ลู่อี้กอดร่างที่โงนเงนไปมาของภรรยา “เจ้าโกรธหรือ?”
“ไม่” มู่ซืออวี่สะบัดมือ “ท่านลำบากตรากตรำอยู่ข้างนอก เหตุใดข้าต้องโกรธ? ท่านพูดเช่นนี้ ข้าปวดใจนะ”
“ยังไม่ได้กล่าวอันใดเลย” ลู่อี้ผลักนางลงบนเตียงเบา ๆ” ปกติไม่ค่อยเห็นเจ้าดื่ม แต่วันนี้กลับดื่มมากมาย เป็นเพราะข้าทำให้เจ้าไม่มีความสุขหรือ?”
มู่ซืออวี่กอดคอเขา “สามี ตอนนี้ท่านมีความสุขหรือไม่?”
ลู่อี้เพิ่งกลับมาจากด้านนอก เนื้อตัวของเขายังคงเย็น เดิมทีคิดจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ทว่าเมื่อถูกนางกอดไว้เช่นนี้จึงขยับเขยื้อนไม่ได้
“ข้ามีความสุขที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย” ลู่อี้ลูบศีรษะภรรยา “เพียงแต่ข้ายุ่งอยู่กับงาน ไม่ได้อยู่กับเจ้าเป็นเวลานานจึงรู้สึกผิดต่อเจ้ายิ่งนัก”
“ขอแค่ท่านมีความสุข เท่านั้นก็พอแล้ว” มู่ซืออวี่พลิกตัวเขาลงแล้วพลิกร่างตนเองขึ้น “ข้าไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก ทว่าเห็นท่านยุ่งทุกวัน บางครั้งกลับมาก็คิ้วขมวดเป็นปม ข้ารู้ว่างานที่นี่ไม่ง่ายดายสำหรับท่านเลย ท่านต้องจำไว้ว่าข้าอยู่กับท่านเสมอ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะสนับสนุนการตัดสินใจทุกอย่างของท่าน”
ลู่อี้โน้มศีรษะภรรยาลงมา
“อื้อ…”
“ในเมื่อเจ้าสนับสนุนข้าเพียงนี้ มิสู้อุ่นเตียงให้ข้าดีหรือไม่? ในวันที่หนาวเหน็บเช่นนี้ การออกกำลังกายสามารถเพิ่มความอบอุ่นได้” ลู่อี้กระซิบข้างหูนาง
ลมระลอกหนึ่งพัดมา ทำให้เทียนในห้องดับวูบ
ลมข้างนอกยังคงส่งเสียงหวีดหวิว พื้นดินปกคลุมไปด้วยหิมะหนาขาวโพลน อากาศเย็นเยียบแผ่ไปทั่วทั้งโลก
เพียงแต่ในห้องนี้…
กลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
“ฮูหยิน ข้ารู้สึกว่าการดื่มแต่พอดีก็ดีเช่นกัน” เสียงทุ้มต่ำของลู่อี้แหบพร่า