บทที่ 512 อันอวี้ออกจากหอซือเป่า
บทที่ 512 อันอวี้ออกจากหอซือเป่า
ลู่อี้ขึ้นไปบนรถม้าคันนั้น
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากประตูศาลต้าหลี่
“เมื่อครู่เป็นเจียงเก๋อเหล่ากระมัง? เหตุใดใต้เท้าลู่จึงขึ้นรถม้าเจียงเก๋อเหล่าเล่า?”
เมื่อสหายร่วมงานที่ออกมาจากข้างในเห็นฉากนั้น เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความอิจฉา
“ข้าได้ยินว่าใต้เท้าลู่ไม่ได้เป็นขุนนางจากการสอบขุนนาง” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา “เขาไม่แม้แต่จะผ่านการสอบขุนนาง แต่กลับถูกใต้เท้าฉิน นายอำเภอเมืองฮู่เป่ยในตอนนั้นเลื่อนขั้นให้เป็นปลัดอำเภอโดยตรง ต่อมาเมื่อใต้เท้าฉินได้รับการเลื่อนขั้นจึงแต่งตั้งเขาเป็นนายอำเภอเมืองฮู่เป่ย ใต้เท้าลู่มีวันนี้ได้ล้วนต้องขอบคุณฮูหยินผู้นั้นของเขาด้วย…”
“พูดจบแล้วหรือยัง?” เจี่ยเฉิงผิงมองคนข้าง ๆ ด้วยความไม่พอใจ “ทุกคนล้วนเป็นสหายร่วมงานกัน ปกติใต้เท้าลู่ดูแลทุกท่านเป็นอย่างดี มาพูดเรื่องผิดถูกลับหลัง ทำตัวราวกับสตรีชอบนินทาว่าร้ายคนเช่นนี้ พวกท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ?”
“ใต้เท้าเจี่ยเห็นใต้เท้าลู่เป็นพี่น้องจริง ๆ สินะ แม้กระทั่งพูดถึงยังไม่ได้ เอาละ แยกย้าย ๆ”
กลุ่มคนทยอยแยกย้ายกันออกไป
ค่ำคืนนั้น จือเชียนถือโคมไฟเดินอยู่ด้านหน้าโดยมีลู่อี้เดินตามหลัง
บริเวณรอบข้างมืดสนิท โคมไฟในจวนที่ปกติแล้วจะสว่างไสวล้วนดับลงเพราะสายลมและหิมะที่โปรยปรายลงมา บ่าวรับใช้เข้านอนหมดแล้ว ดูเหมือนว่าใต้หล้านี้จะเหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
“เจ้าก็ควรกลับไปพักผ่อน” ลู่อี้เห็นว่าห้องเบื้องหน้ายังคงมีแสงสว่างอยู่ ถึงแม้มันจะวูบไหวไปมา อย่างไรก็ยังพอเห็นแสงรำไร “ข้าเห็นว่าวันนี้เจ้าไอทั้งวัน พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องติดตามข้า ไปหาท่านหมอ ทานยาแล้วพักผ่อนเถิด”
“ข้าทำได้ขอรับ”
“ฟังข้า” ลู่อี้ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ
ยามนี้มู่ซืออวี่เอนตัวอยู่บนเตียง ซุกร่างอยู่ใต้ผ้าห่ม ทว่าหมอนยังคงยกพิงหัวเตียงไว้สูง เห็นได้ชัดว่ายังรอสามี
ลู่อี้อุ้มนางให้นอนลง
“ท่านกลับมาแล้ว” มู่ซืออวี่กอดคอเขา “ข้างนอกมืดแล้ว เหตุใดวันนี้ท่านกลับมาช้านัก? ทานข้าวหรือยัง?”
“ข้าทานแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “ต่อไปไม่ต้องรอข้า เพราะแม้กระทั่งข้าเองยังไม่รู้ว่าจะกลับบ้านเมื่อไหร่”
“ข้าไม่ได้รอท่านเสียหน่อย ข้านอนไม่หลับต่างหาก ข้าถึงรอท่านนานขึ้นอีกนิด?” มู่ซืออวี่กล่าว
ลู่อี้ได้แต่จนใจ
คำพูดเช่นนี้ แม้แต่เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ยังไม่เชื่อ
“วันนี้ท่านอยู่ที่ศาลต้าหลี่เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามเขา
“พอใช้ได้ ทุกอย่างราบรื่นดี”
มู่ซืออวี่มองลู่อี้ภายใต้แสงสลัวเลือนราง
พอใช้ได้หรือ?
ราชสำนักยามนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ฮ่องเต้ผู้นั้นไม่ใช่กษัตริย์ที่ปราดเปรื่องอะไร สถานการณ์จะดีได้หรือ?
“วันนี้ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” มู่ซืออวี่กอดเอวลู่อี้ “ท่านถอดเสื้อคลุมออกก่อน ขึ้นมาแล้วข้าจะอธิบายให้ฟัง”
ลู่อี้ถอดเสื้อคลุมออก แล้วขึ้นไปบนเตียงขณะที่สวมเสื้อและกางเกงด้านในตัวบาง
มู่ซืออวี่เข้าไปซุกอยู่ในอ้อมแขนเขา แล้วเล่ารายละเอียดเรื่องที่อันอวี้ตั้งครรภ์ให้ฟัง
“ระยะนี้มีคดีหนึ่งที่ต้องการให้พี่เซี่ยช่วยตรวจสอบ กว่าเขาจะกลับมาเมืองหลวงต้องใช้ระยะเวลาสักพัก พี่เซี่ยไม่อยู่ ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรกับฮูหยินเซี่ยได้ ข้าจะเตรียมคนมากหน่อยไปดูแล”
สามีภรรยาคลอเคลียกันพูดเรื่องจิปาถะที่บ้าน สายลมเย็นพัดผ่านมาระลอกหนึ่ง ทว่าทั้งสองคนกลับไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย
วันต่อมา มู่ซืออวี่ไปที่เรือนกรุ่นฝัน สั่งให้คนงานเตรียมต้อนรับวันสิ้นปีที่กำลังจะมาถึง นางกำชับพวกเขาไม่ให้รับคำสั่งซื้อก่อนวันสิ้นปี แม้จะรับคำสั่งซื้อมาแล้ว ก็ต้องบอกกล่าวแก่ลูกค้าว่าไม่อาจส่งของได้จนกว่าจะผ่านพ้นช่วงปีใหม่ จากนั้นก็ให้เฟิงเจิงจัดสรรตารางงานของคนงาน โดยให้คนงานทำงานทั้งหมดสามกะ เช่นนี้ทุกคนจะได้เฉลิมฉลองปีใหม่ได้อย่างผ่อนคลาย
นอกจากเรื่องวันหยุดแล้ว เงินเดือนและเงินพิเศษล้วนถูกแจกจ่าย ดังนั้นเมื่อผู้คนเดินผ่านเรือนกรุ่นฝัน พวกเขาล้วนได้ยินเสียงเฮด้วยความดีใจดังมาจากข้างใน
“ฮูหยินเซี่ยมาแล้วหรือขอรับ” เฟิงเจิงเห็นอันอวี้เดินเข้ามา จึงเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ฮูหยินเซี่ยมาขอรับ”
มู่ซืออวี่หันกลับมาดู “เหตุใดเจ้าไม่นอนอยู่บนเตียงดี ๆ เล่า เหตุใดจึงออกมาข้างนอก? วันนี้หิมะตกอีกแล้ว พื้นลื่น เจ้าระวังด้วย”
“ข้าในตอนนี้ไม่อาจไปทำงานที่หอซือเป่าได้แล้ว ข้าจึงไปที่นั่นเพื่อแจ้งกับผู้ดูแลว่าจะออกจากหอซือเป่าอย่างเป็นทางการ” อันอวี้กล่าว
“ภายหน้าเจ้าจะไม่กลับไปหอซือเป่าแล้วหรือ?”
“เรื่องภายหน้าค่อยว่ากันเถิด” อันอวี้เอ่ย “ท่านหมอบอกให้ข้าบำรุงครรภ์ ข้าต้องเชื่อฟังท่านหมอ กว่าเด็กคนนี้จะมาอยู่กับข้าไม่ง่ายเลย ท่านก็รู้”
ณ หอซือเป่า เมื่ออันอวี้ออกไปกะทันหัน งานที่เดิมทีมอบหมายให้นางทำจำต้องมีคนมาทำแทน
“ซ่งกูกู เช่นนั้นก็มอบหมายงานให้ลู่จื่ออวิ๋นเถิด! อย่างไรพวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกัน” ฮวาหรงเอ่ยขึ้น
“แต่อวิ๋นเอ๋อร์เดิมทีก็มีงานมากมายอยู่แล้วนะเจ้าคะ” หยางเจิงท้วง
“หากเจ้าเป็นห่วงนาง เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยนางทำเสียสิ” ฮวาหรงแค่นเสียงอย่างเย็นชา
หยางเจิงไม่กล้าเถียงฮวาหรง ทำได้เพียงเอ่ยกับซ่งกูกู “กูกู ข้าช่วยนางได้เจ้าค่ะ”
ซ่งกูกูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมอบหมายงานให้พวกนาง
เนื่องจากอันอวี้ออกไปอย่างฉุกละหุก ทุกคนจึงมีงานพิเศษเพิ่มขึ้นมา เดิมทีพวกนางใกล้ทำงานปัจจุบันทันแล้ว ทว่าตอนนี้กลับได้รับงานเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จึงต้องทำงานเพิ่มในตอนเย็น
บัดนี้อันอวี้ไปแล้ว ทุกคนจึงทำอะไรนางไม่ได้ ทว่ากลับไม่ได้เกรงใจลู่จื่ออวิ๋นเหมือนเคย
แม้ลู่จื่ออวิ๋นจะอายุยังน้อยแต่ก็พอมองเห็นความงามล่มเมืองของนางได้ราง ๆ สตรีส่วนใหญ่อิจฉาผู้ที่มีรูปโฉมงดงาม นับประสาอะไรกับคนที่งามจนชวนตะลึงอย่างแม่นางน้อยผู้นี้เล่า
“ส่งสินค้าอีกแล้วหรือ?” หยางเจิงได้ยินสิ่งที่สาวใช้มาแจ้ง จึงเอ่ยด้วยความโมโห “นี่จงใจแกล้งกันชัด ๆ ตอนนี้ผู้ใดไม่มีงานทำบ้าง? งานส่งของประเภทนี้ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องทำแม้แต่น้อย”
“ข้าไปเอง” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มบาง ๆ เอ่ยกับสาวใช้ที่แสดงท่าทีลำบากใจ “ข้ารู้ว่าท่านเพียงทำตามคำสั่ง เรื่องนี้ข้าจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ เอาของมาให้ข้าเถอะ!”
“ขอบคุณคุณหนูลู่” สาวใช้เอ่ยด้วยความซาบซึ้ง
หยางเจิงบ่นพึมพำ “เจ้านี่นะ เหตุใดต้องใจดีเช่นนี้? ข้าจะไปหากูกูกับเจ้า กูกูต้องไม่ให้เจ้าไปส่งของเป็นแน่”
“ท่านไปทำงานของท่านเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับสาวใช้ผู้นั้น
หลังจากสาวใช้ผู้นั้นจากไป ลู่จื่ออวิ๋นจึงลดเสียงลงเอ่ยกับหยางเจิง “ข้าเป็นคนใหม่ของที่นี่ จะกล้าขัดคำสั่งรุ่นพี่ได้อย่างไร? ข้าจะไปส่งของ ข้างนอกทั้งหนาวเย็น ทั้งมีหิมะตก ข้าอาจไม่ได้กลับมาพักหนึ่ง ตอนนี้งานในมือของข้ายุ่งมาก หากกูกูถามว่าเหตุใดยังไม่เสร็จ ข้าก็จะตอบตามตรง ข้าเป็นรุ่นน้องที่ว่านอนสอนง่ายเพียงนี้ กูกูคงไม่บอกว่าข้าทำผิดกระมัง?”
หยางเจิง “…”
สรุปว่านาง ‘เชื่อฟังคำสั่ง’ เพราะอยากไปแอบอู้งั้นหรือ?
ดูซิว่าข้าโง่งมเพียงใด เมื่อครู่ยังรู้สึกสงสารเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์อยู่เลย แท้จริงแล้วกลับเป็นนางต่างหากที่เจ้าเล่ห์ที่สุด
ลู่จื่ออวิ๋นไปส่งสินค้าดังคาด
ครานี้ยังคงเป็นสนามแข่งม้า
เมื่อนางลงมาจากรถม้า สิ่งที่เห็นมีเพียงสนามม้าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
ของที่นางมาส่งวันนี้ไม่ใช่เสื้อผ้า แต่เป็นสนับเข่าคู่หนึ่งและรองเท้าใส่บนหิมะคู่หนึ่ง
“ย่าห์!”
กลางสนามม้า คนผู้หนึ่งกำลังควบม้าอยู่ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังง้างคันศรและยิงธนูอยู่บนหลังม้าด้วย
เป้าอยู่ไกลเป็นอย่างมาก ด้วยสายตาของลู่จื่ออวิ๋น เห็นแค่เพียงจุดดำเล็ก ๆ จุดหนึ่งเท่านั้น ทว่าลูกศรของคนผู้นั้นกลับไม่พลาดเป้าแม้แต่น้อย
“มาจากหอซือเป่าหรือ?” ผู้ติดตามคนหนึ่งเดินเข้ามา
หน้าตาของผู้ติดตามคนนั้นดูคุ้นตาเล็กน้อย เป็นคนเดิมกับที่พบเมื่อครั้งที่แล้ว
“นี่เป็นของของพวกท่าน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ลองตรวจดูว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่ หากมีอะไรผิดพลาด ตอนนี้ยังไม่สายที่จะแจ้ง”
ผู้ติดตามคนนั้นรับของไปแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหา”
เมื่อส่งของเสร็จแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นจึงเดินออกมาด้านนอก
ในตอนนี้เอง ม้าเล็ก ๆ ตัวหนึ่งก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง
ม้าตัวนั้นดูน่ารักเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือขนของมันเป็นสีแดง ราวกับชาดชั้นดี
ลู่จื่ออวิ๋นมองไปรอบ ๆ กลับไม่เห็นผู้อื่น ทว่าก็ควรเป็นเช่นนั้น ด้านนอกสนามแข่งม้ามีคนเฝ้า ม้าที่นี่ก็ออกไปไม่ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดจับตาดูมัน
นางเอื้อมมือออกไปลูบลงบนเส้นขนของม้าตัวน้อย