บทที่ 520 เผชิญอันตรายที่หุบเขา
บทที่ 520 เผชิญอันตรายที่หุบเขา
กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!
รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้า ตามมาด้วยคนหลายคนที่ควบขี่อยู่บนหลังม้า
และที่คุมขังสองคันที่มีม้าลากตามมาติด ๆ รั้งท้ายด้วยผู้ฝึกยุทธ์ยอดฝีมือคอยจับตามองพวกเขา
ขบวนนั้นเคลื่อนผ่านหุบเขาไปช้า ๆ
ทั่วทั้งหุบเขาเงียบสงัด
ตอนนี้อากาศกำลังอบอุ่นขึ้น น้ำแข็งและหิมะค่อย ๆ ละลาย ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์หิมะถล่มจึงเกิดขึ้นในหลาย ๆ ที่
หุบเขาปกคลุมด้วยหิมะ ทุกคนไม่กล้าประมาทเลินเล่อ ค่อย ๆ สังเกตดูลักษณะเส้นทางอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นเองเสียงดังกึกก้องก็ดังมาจากข้างบน
“รีบไป!” มีคนตะโกนขึ้นมา
ขณะที่เสียงค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จู่ ๆ หินขนาดใหญ่ก็กลิ้งลงมา
หินนั่นดูเหมือนจะเป็นเพียงสัญญาณเตือน เพราะจากนั้นหิมะจำนวนมากก็เริ่มร่วงหล่นลงมา หิมะถล่มลงมาในหุบเขาแห่งนั้น
“อ๊าก!…”
“รีบวิ่ง!…”
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นภัยพิบัติธรรมชาติ!
ท้ายที่สุดหิมะจำนวนมากก็เคลื่อนลงมาปกคลุมจนทั่ว
ความเงียบสงบกลับคืนสู่หุบเขา
ผ่านไปสักพัก คนที่แอบซ่อนอยู่หลายที่ก็โผล่ออกมา
คนเหล่านี้ล้วนสวมใส่ชุดนอน ทั้งยังพกพาอาวุธมาด้วย
พวกเขามองไปยังที่ที่ถูกหิมะกลบฝัง
“หัวหน้าหอ เท่านี้คงเรียบร้อยแล้วกระมัง”
“คง งั้นหรือ?” หัวหน้าของคนชุดดำเย้ยหยัน “หากยังเป็นก็ต้องเห็นคน หากตายต้องเห็นศพ พวกเจ้าขุดบริเวณนี้ดู ข้าอยากเห็นศพพวกมัน!”
“ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงพวกเจ้า” เสียงของลู่อี้ดังมาจากข้างหน้า “มิใช่กำลังหาพวกเราหรือ? พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว”
กุบกับ! กุบกับ!
เสียงของเกือกม้าดังขึ้น
ในหุบเขานี้มีถนนเพียงเส้นเดียว แต่มีสองทางแยก
ตอนนี้ทางแยกหนึ่งมีลู่อี้ อีกทางแยกหนึ่งมีฉีเซียว เมื่อเห็นคนของหน่วยลับผู้ที่เดิมทีควรจะถูกหิมะถล่มทับไปแล้วก็พลันสงสัย
ไยพวกเขาแต่ละคนถึงดูมีพลังเต็มเปี่ยมเช่นนั้น ท่าทางเหมือนถูกฝังมาที่ใดเล่า?
“ถูกหลอกแล้ว” หัวหน้าหอมองลู่อี้ จากนั้นจึงมองฉีเซียว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “นี่ไม่ถูก พวกข้าเห็นกับตาชัด ๆ ว่าพวกเจ้าถูกหิมะกลบไปแล้ว จะหนีรอดออกมาได้อย่างไร?”
“ใกล้ ๆ นี้มีที่หลบซ่อนไม่มากนัก หากพวกเจ้าหลบซ่อนใกล้เกินไป พวกเราก็จะสังเกตเห็นพวกเจ้าได้ง่าย ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าพวกเจ้าจะต้องหลบซ่อนอยู่ในที่ที่ไกลออกไป ที่ที่พวกเรามองไม่เห็น” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ “พวกเราไม่เห็นเจ้า แน่นอนว่าพวกเจ้าย่อมไม่เห็นเรา เห็นว่าข้าง ๆ หุบเขานี้มีถนนสองเส้น และมีที่ให้กำบังพอดี พวกเราเพียงแค่หลบไปตามขอบทาง ง่ายจะตายไม่ใช่หรือ?”
“ม้านั่นเป็นม้าจริง พวกเจ้าถึงขั้นเสียสละม้าเพื่อให้พวกเราตายใจ!” คนผู้นั้นเข้าใจแล้ว “พวกเจ้าพบพวกเราได้อย่างไร? พวกเราเผยช่องโหว่อันใดกัน?”
“พวกเจ้าไม่ได้เผยช่องโหว่อะไร พวกเราเพียงแค่ไม่วางใจ คาดว่าต้องมีคนซุ่มโจมตีในสถานที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ พวกเราเพียงแค่ล้อมคอกก่อนวัวหายเท่านั้นเอง” ลู่อี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “ในเมื่อพวกเราคาดเดาแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่กลัวที่จะเสียเวลาทดสอบ บัดนี้ดูเหมือนพวกเราจะเดิมพันได้ถูกต้อง พวกเจ้าเสียพนันแล้ว”
“น่ารังเกียจนัก! พี่น้องทั้งหลาย ฆ่าพวกมันซะ วันนี้หากพวกมันไม่ตาย พวกเราก็ตาย” ชายชุดดำเหล่านั้นพุ่งเข้ามา
ในหุบเขาอันเงียบสงบ เกิดการฆ่าฟันสังหารขึ้น เงื้อมมือแห่งความตายเก็บเกี่ยวคร่าชีวิตแล้วชีวิตเล่า
นี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอีกสนามหนึ่ง
มู่ซืออวี่นั่งอยู่ในรถม้า ด้านนอกมีคนคอยคุ้มกันนางสองคน
ที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจาก ‘สนามต่อสู้’ แห่งนั้นนัก
นางห่อตัวอยู่ในผ้าอย่างแน่นหนา ฟังเสียงการต่อสู้ที่แว่วมาไม่ไกล
“ฮูหยิน ท่านหลบก่อน” คนของหน่วยลับข้างนอกบอกกับฮูหยินลู่
มู่ซืออวี่เปิดม่านออก เห็นเพียงชายชุดดำหนึ่งคนมุ่งหน้ามาทางนี้ กระบี่ในมือเขาเปล่งประกายแวววาวท่ามกลางหิมะ
คนของหน่วยลับสองคนที่เหลือไว้ปกป้องนางชักดาบของพวกเขาออก ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาชายชุดดำฝั่งตรงข้าม
มู่ซืออวี่นั่งลงด้านหน้ารถม้า กุมสายบังเหียนแน่น แล้วตะโกน ‘ย่าห์’ เตรียมขับรถม้าไปทางลู่อี้และฉีเซียว
อย่างไรก็ตาม…
ชายในชุดดำผู้นั้นจัดการคนสองคนที่คอยปกป้องนางได้ และมาปรากฏตัวตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว เขาจ่อกระบี่มาที่คอ
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ตามข้ามา”
ขณะที่เอ่ย กระบี่ของเขาก็ทิ่มเข้าไปในเนื้อนางเล็กน้อย
คอของมู่ซืออวี่เจ็บแปลบขึ้นมา เลือดอุ่น ๆ ไหลลงมาเรื่อย ๆ
ฟุ้บ! ลูกศรดอกหนึ่งยิงใส่คนชุดดำผู้นั้น
คนชุดดำผู้นั้นถอยหลังออกไป
กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!
ลู่อี้ควบม้าพุ่งเข้ามา
ฉีเซียวง้างคันศรแล้วยิงธนูใส่ชายชุดดำคนนั้นอีกครั้ง
ชายชุดดำหลบทันที ลูกศรสามดอกนั้นของฉีเซียวจึงพลาดเป้า
ชายในชุดดำมองมู่ซืออวี่อย่างลังเล
อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น…
นางอยู่ไม่ไกล แค่เพียงต้องพุ่งเข้าไปหาสองสามก้าวก็จะจับนางได้แล้ว
แต่อย่างไรก็หมดโอกาสแล้ว ฝีมือยิงธนูของฉีเซียวโด่งดังไปทั่วยุทธภพ
หากเมื่อครู่เขาเร็วกว่านี้ สตรีนางนั้นย่อมตกอยู่ในมือแล้ว น่าเสียดายจริง ๆ ขาดอีกแค่เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น
ชายชุดดำผู้นั้นหนีไปแล้ว
เฉินหลิ่งคิดจะตามไป ฉีเซียวจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องตามแล้ว!”
คนผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดา แตกต่างจากพวกลิ่วล้อเหล่านั้น หากบุ่มบ่ามตามไปอาจนำไปสู่หายนะ
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ มิได้ปกป้องฮูหยินลู่ให้ดี”
ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคุกเข่าลงตรงหน้าฉีเซียว
“กลับเมืองหลวงแล้วไปรับโทษด้วยตนเองเสีย” ฉีเซียวเอ่ยนิ่ง ๆ “ตอนนี้อยู่ระหว่างการเดินทาง”
ลู่อี้ขึ้นไปบนรถม้า ทายาลงบนบาดแผลที่คอของมู่ซืออวี่
แผนนี้เดิมทีเป็นเขาที่เสนอ นึกไม่ถึงว่ามู่ซืออวี่จะได้รับบาดเจ็บ ลู่อี้จึงรู้สึกเจ็บใจเป็นพิเศษ
“พวกท่านทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ซืออวี่เห็นสีหน้านิ่งเย็นชาไม่ปริปากของสามี จึงพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย “ข้าอยู่ที่นี่ได้ยินเสียงไม่ชัดนัก ได้ยินเพียงเสียงทุบตีฆ่าฟันกัน ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร”
“คนที่ซุ่มโจมตีพวกเราเหล่านั้นกินยาฆ่าตัวตาย ไม่เหลือรอดแม้เพียงคนเดียว” ลู่อี้เอ่ย “เจ้าอย่าขยับ รอพวกเราไปถึงจุดพักต่อไปก่อน แล้วค่อยให้ท่านหมอตรวจดูอีกที”
“ข้าเคยได้ยินคนบางคนกล่าวว่าแผลภายนอกผิวเผินเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องไปให้ท่านหมอดู เพียงแค่ทายาก็ไม่เป็นไรแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “เหตุใดพอกลายมาเป็นร่างกายข้าถึงได้ตื่นตระหนกเช่นนี้เล่า?”
การเดินทางต่อจากนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงไม่กี่วันพวกเขาก็กลับถึงเมืองหลวง
ลู่อี้เอ่ยกับฉีเซียวไม่กี่คำ หลังจากนั้นจึงพามู่ซืออวี่กลับบ้าน
“ท่านแม่…” ลู่จื่อชิงเดินเตาะแตะเข้ามาหา
ลู่อี้อุ้มลู่จื่อชิงขึ้นมา
“เหตุใดไม่เรียกพ่อ?”
“พะ…”
“เรียกพ่อซิ”
“พะ…”
มู่ซืออวี่ไม่สนใจพ่อและลูกสาวที่ทำตัวเหมือนเด็กคู่นั้น นางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า เอ่ยกับจื่อซูและจื่อเยวี่ยน “มีอะไรอร่อย ๆ ทานหรือไม่?”
“วันนี้ห้องครัวทำซาลาเปาน้ำซุปเจ้าค่ะ พวกเขาทำตามตำรับของฮูหยิน บ่าวจะไปนำมาให้เจ้าค่ะ”
“รีบไปเถิด”
ลู่อี้เดินเข้ามาพร้อมกับเสี่ยวชิงเอ๋อร์ในอ้อมแขน เมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของมู่ซืออวี่จึงเอ่ยว่า “อยากพักผ่อนก่อนหรือไม่? นอนพักผ่อนแล้วตื่นขึ้นมาค่อยทานอะไรหน่อย”
มู่ซืออวี่ที่นอนเอนตัวอยู่ที่นั่นส่ายหัว
นางจึงทานอาหารดื่มน้ำจนอิ่ม จากนั้นก็ไปอาบน้ำอุ่น หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ลู่อี้ช่วยนวดไหล่ให้ภรรยาอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายมู่ซืออวี่จึงหลับไปโดยปริยาย
ปลายนิ้วของลู่อี้ไล้ผ่านบริเวณบาดแผลของมู่ซืออวี่
บาดแผลนี้ย้ำเตือนว่าเขาไม่ได้ปกป้องนางให้ดี
นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย
เขาสาบานว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีกเป็นอันขาด