บทที่ 533 ท่านพ่อ ท่านดีที่สุดแล้ว
บทที่ 533 ท่านพ่อ ท่านดีที่สุดแล้ว
ลู่อี้กลับมาจากข้างนอก ขณะที่เดินผ่านเรือนของลู่จื่ออวิ๋นก็พบว่าที่นั่นยังคงมีคนพูดคุยกันอยู่ด้านใน
เรือนทั้งหลังยังคงจุดไฟสว่างไสว ลู่จื่ออวิ๋นและบ่าวรับใช้สองสามคนกำลังทำบางอย่าง
เมื่อลู่อี้เข้ามาใกล้ พวกเขาก็ยังคงไม่รู้สึกตัว ความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่ในบ่อตรงหน้า
“สีนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ติงเซียงเอ่ยถามลู่จื่ออวิ๋น
สีหน้าของลู่จื่ออวิ๋นดูยุ่งยากใจ “ข้าเตรียมมันตามสิ่งที่เขียนในตำราแล้ว คงมิผิดกระมัง”
“ขออภัยที่บ่าวต้องเอ่ยบางอย่าง บ่าวรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องอยู่นะเจ้าคะ” ติงเซียงเอ่ย
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่หรือ?” ลู่อี้เอ่ยปากถาม
บ่าวรับใช้แต่ละคนล้วนตกตะลึง เมื่อเห็นลู่อี้ แต่ละคนต่างก็คุกเข่าลงคำนับ
ลู่จื่ออวิ๋นดึงแขนของลู่อี้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว”
“อืม เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?” ลู่อี้กวนน้ำในบ่อนั้นด้วยแท่งไม้ “ย้อมผ้าหรือ?”
“ใช่แล้ว กำลังย้อมผ้าเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “วันนี้พวกเราประสบปัญหาหนึ่งอย่าง”
“ลองเล่าให้ข้าฟังซิ”
“ท่านพ่อทำงานทุกวันก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เรื่องเล็กน้อยของลูกไม่จำเป็นต้องให้ท่านพ่อกังวลเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร เจ้าว่ามาเถิด” ลู่อี้กล่าว “พ่อไม่เหนื่อย อยากพูดคุยกับเจ้าเสียหน่อย”
“เช่นนั้นพวกเราเข้าไปคุยกันด้านใน…”
ลู่อี้ฟังลู่จื่ออวิ๋นบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟังอย่างไม่รู้จบ จึงได้รู้ว่าบุตรสาวยุ่งยากใจที่ใด
ขณะที่ลู่จื่ออวิ๋นอ้าปากหาวนั้นเอง ลู่อี้พลันลุกขึ้น “วันนี้พักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อย ๆ เรียนรู้ไป ของอย่างนี้ไม่อาจสำเร็จได้ภายในวันเดียว”
ลู่จื่ออวิ๋นง่วงขึ้นมาแล้ว จึงทำตามที่บิดาเสนอ
อันที่จริงเมื่อผู้ดูแลเมิ่งรับ ‘งาน’ นี้มาก็ไม่ได้คิดว่าต้องเสร็จสิ้นรวดเร็วเพียงนั้น ฮูหยินจวนอู่อันโหวก็กล่าวว่านางไม่รีบร้อน เสร็จเมื่อใดค่อยส่งกลับไปเมื่อนั้น
ลู่จื่ออวิ๋นต้องการทำผ้าเช่นเดียวกับชุดกระโปรงของฮูหยินอู่อันโหวออกมา ส่วนชุดขี่ม้าของซื่อจื่อจวนอู่อันโหวนั้น เนื้อผ้าค่อนข้างคล้ายคลึงกับผ้าของฮูหยินอู่อันโหว หากทำวิธีนี้ออกมาได้สำเร็จ เช่นนั้นชุดขี่ม้าของซื่อจื่ออู่อันโหวย่อมได้รับการแก้ไขตามไปด้วย
เมื่อลู่อี้กลับมาถึงห้อง มู่ซืออวี่ก็ได้พักผ่อนไปแล้ว
เขาขึ้นไปบนเตียง
จากนั้นมู่ซืออวี่ก็โผเข้ามาหา นางกอดเอวของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าส่งคนไปดูว่าท่านอยู่ที่ใด บ่าวรับใช้บอกว่าท่านอยู่ที่เรือนเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ลูกสาวมีอันใดหรือ?”
“แม่นางน้อยของเราอยากเรียนวิธีการทำผ้าที่แปลกใหม่ชนิดหนึ่ง แต่นางไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงค่อนข้างหดหู่ใจทีเดียว” ลู่อี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร รีบนอนเถอะ!”
มู่ซืออวี่ซุกเข้าไปในอ้อมแขนเขา “กอดข้านอน…”
“มาสิ” ลู่อี้จูบลงบนหน้าผากภรรยา จากนั้นจึงกอดนางไว้ในอ้อมแขน
วันต่อมา ลู่จื่ออวิ๋นเรียนรู้ทักษะใหม่จากท่านเจ้าหอสวีก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อนางออกมาจากห้องตำรา ทุกคนในห้องโถงล้วนมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด
“มีอะไรหรือ? บนหน้าข้ามีอะไรแปลก ๆ หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“ได้ยินว่ามีคนคิดจะทำผ้าแบบเดียวกับอาณาจักรเฟิ่งหลินออกมา” ฮวาหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสีเยาะเย้ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผ้าของอาณาจักรเฟิ่งหลินมีชื่อเสียงโด่งดังมาก? กระทั่งจนถึงบัดนี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดพัฒนาผ้าให้เท่าเทียมเนื้อผ้าพิเศษของพวกเขาได้”
“นั่นสิ หากมันง่ายดายถึงเพียงนั้น ท่านเจ้าหอของพวกเราและผู้ดูแลทั้งสองท่านคงคิดออกนานแล้ว เหล่าขุนนางชั้นสูงและช่างภูษาในวังหลวงเหล่านั้นคงคิดออกนานแล้วเช่นกัน คนบางคนคิดว่าตนเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง ทั้งยังคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่ตนเองทำไม่ได้อีก!”
“เอาละ ทุกคนไม่ต้องโต้เถียงกันแล้ว” ฟางเหยาเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “จื่ออวิ๋นต้องการลอง ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น อาจารย์เคยกล่าวไว้แล้วไม่ใช่หรือ? พวกเราไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหากทำผิดพลาด สิ่งสำคัญที่สุดคือการได้ลองทำต่างหาก”
“เอะอะวุ่นวายอะไรกัน?” ซ่งกูกูเดินเข้ามาจากข้างนอก “ปกติงานน้อยเกินไปใช่หรือไม่ พวกเจ้าถึงได้เกียจคร้านเช่นนี้?”
ทุกคนเงียบไปทันที
ซ่งกูกูเอ่ยกับคนที่อยู่ข้าง ๆ “ใต้เท้าลู่ ทำให้ท่านต้องขบขันแล้ว”
ในตอนนี้เอง ทุกคนจึงพบว่ามีบุรุษสูงใหญ่กำยำอยู่ข้าง ๆ นาง
บุรุษผู้นั้นอยู่ในชุดขุนนาง ด้วยรูปโฉมที่โดดเด่น และบรรยากาศรอบกายที่แผ่ออกมา จู่ ๆ ทุกคนก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกหมาป่าจับจ้อง
ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาปริบ ๆ
ท่านพ่อ?
ลู่อี้เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ลูกสาวของข้าอยากเรียนรู้ทักษะฝีมือ เหตุใดในสายตาของทุกคนที่หอซือเป่าถึงมองเป็นเรื่องน่าขบขันหรือ?”
“มิใช่…” ซ่งกูกูชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นจึงหันกลับไปมองลู่จื่ออวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “จื่ออวิ๋น เจ้าช่วยอธิบายให้ใต้เท้าลู่ฟังที”
“ท่านพ่อ”ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไปหาแล้วดึงแขนลู่อี้ “ท่านมาได้อย่างไรหรือ?”
“เมื่อวานเจ้าบอกว่าอยากเรียนรู้วิธีทำผ้าของอาณาจักรเฟิ่งหลินหรือ?” ลู่อี้เอ่ย “วันนี้ข้าให้คนไปซื้อตำรามาหลายเล่ม ทั้งหมดล้วนเป็นตำรับการทำผ้าของอาณาจักรเฟิ่งหลิน”
จือเชียนยื่นห่อผ้าในมือส่งให้ลู่จื่ออวิ๋น
เขาเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่ผ่านเรือนกรุ่นฝัน ฮูหยินดูเหมือนกำลังรวบรวมตำรับทำผ้าอาณาจักรเฟิ่งหลินให้คุณหนูอยู่ ตราบใดที่เป็นตำรับทำผ้าอาณาจักรเฟิ่งหลิน ทุกเล่มล้วนรับซื้อด้วยราคาสูงพิเศษ ข้าน้อยเห็นว่ามีหลายคนมาเข้าแถวขายแล้ว บางเล่มมีอยู่เพียงเล่มเดียวเท่านั้น”
“ท่านพ่อ ท่านกับท่านแม่ทำเกินไปแล้ว ข้าค่อย ๆ เรียนรู้ไปได้” ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะออกมา
“ความหมายของท่านแม่เจ้าคืออยากช่วยร่นระยะเวลาให้เจ้า เหตุใดต้องค่อย ๆ เรียนไปด้วยเล่า? เวลาของเจ้ามีค่า ไม่อาจให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ทำให้เสียเวลาได้” สิ้นคำ ลู่อี้ก็หันไปมองซ่งกูกู “ซ่งกูกู หอซือเป่าของท่านคงมีผ้าจากอาณาจักรเฟิ่งหลินไม่น้อยกระมัง? ท่านขายผ้าเหล่านั้นให้ข้าเถิด ราคาแล้วแต่ท่าน แต่ให้ลูกสาวข้าได้เรียนรู้จากมันดีหรือไม่?”
“ใต้เท้าลู่กล่าวเช่นนี้แล้ว หอซือเป่าของเราจะปฏิเสธได้อย่างไร?” ท่านเจ้าหอสวีเดินออกมา “จื่ออวิ๋นเป็นเด็กใฝ่เรียน เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แม้กระทั่งออกไปจากหอซือเป่าแล้วนางก็ยังขยันหมั่นเพียรปานนี้ ข้าในฐานะอาจารย์ย่อมดีใจ หากนางต้องการสิ่งใดก็เพียงสอบถามโรงเก็บรักษาได้ ถึงแม้ผ้าจากอาณาจักรเฟิ่งหลินจะหาได้ยากยิ่ง ข้าย่อมยินดีมอบให้นางสักสองสามผืน”
“เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านเจ้าหอสวีแล้ว” ลู่อี้ประสานมือขอบคุณ “ลูกสาวข้าถูกเอาอกเอาใจตั้งแต่ยังเล็ก มิเคยไม่ได้รับความไม่เป็นธรรม มารดาของนางเอาใจนางอย่างไร้ที่สิ้นสุด หากนางอยู่หอซือเป่าและเอาแต่ใจไปบ้างเล็กน้อย ได้โปรดอดทนกับนางด้วย”
ท่านเจ้าหอสวีแย้มยิ้ม “แน่นอน ใต้เท้าวางใจเถิด เด็กดีเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้นางได้รับความไม่เป็นธรรม”
ลู่อี้ลูบศีรษะลู่จื่ออวิ๋นเบา ๆ “เย็นนี้กลับไปเร็วหน่อย ท่านแม่เจ้าจะทำของอร่อยให้ทาน”
“เจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มหวานออกมา
ลู่อี้เพิ่งกลับไป คนของมู่ซืออวี่ก็ส่งตำราจำนวนมากมาให้ อีกทั้งยังส่งผ้าอีกหลายพับมาด้วย
ท่านเจ้าหอสวีสุภาพกับคนสกุลลู่เป็นอย่างยิ่ง
หากกล่าวกันตามหลักแล้ว หอซือเป่ามิเคยขาดแขกผู้มีอำนาจ ลู่อี้เป็นเพียงขุนนางขั้นสี่เท่านั้น ไม่ถือว่าโดดเด่นหากเทียบกับแขกจำนวนมากมายของหอซือเป่า ทว่าท่านเจ้าหอสวีกลับสุภาพต่อคนในสกุลลู่เสมอ
“คุณหนูตระกูลขุนนางอย่างจื่ออวิ๋นมาที่หอซือเป่าเพื่อเป็นหญิงเย็บปัก ช่างเรียบง่ายจริง ๆ” ฟางเหยามองไปทางลู่จื่ออวิ๋นแล้วกล่าวว่า “พี่หญิงฮวาหรง จื่ออวิ๋นเก่งมาก ท่านอย่าไปยุ่งกับนางเลย ข้าขอกล่าวโดยไม่อ้อมค้อมนะ จื่ออวิ๋นไม่ได้เป็นเพียงคุณหนูตระกูลขุนนางทั่วไป แต่บิดาของนางยังเป็นรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ด้วย แต่ต่อให้นางจะเป็นเพียงสตรีธรรมดา ทว่าด้วยใบหน้านั้นของนาง ภายหน้าไม่แน่ว่าอาจเป็นถึงพระนาง…”
“นางคู่ควรหรือ!” ฮวาหรงเยาะเย้ย