บทที่ 540 อันอี้หางแต่งงาน
บทที่ 540 อันอี้หางแต่งงาน
เมื่ออันอี้หางแต่งงาน เขาเชิญเพียงเซี่ยคุนและภรรยามา ทว่าไม่ได้เชิญคนทั้งสกุลลู่ แน่นอนว่าคนสกุลลู่เองก็ไม่ได้เร่งร้อนที่จะมาแสดงความยินดีกับเขา
เซี่ยคุนขอลาหยุดกับลู่อี้หนึ่งวัน แล้วไปร่วมงานแต่งเป็นเพื่อนอันอวี้
ในวันนี้เอง ศาลต้าหลี่พลันเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
หลินอี้เจี๋ยรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เข้าไปพัวพันกับคดีฆ่าคนตาย หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่เขา จึงถูกควบคุมตัวไปที่หน่วยลับทันที
คนทั้งศาลต้าหลี่ล้วนไม่พอใจ
หลินอี้เจี๋ยมีนิสัยเถรตรง ไม่เคยปรานีผู้อื่น ในศาลต้าหลี่เขาไม่เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนนัก กับคนภายนอกยิ่งย่ำแย่กว่า ถึงกับขึ้นชื่อว่าเป็นขุนนางหน้ากากเหล็ก
หากกล่าวกันตามเหตุผลแล้วเขาเคราะห์ร้าย ควรมีคนมากมายลอบยินดี ทว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางของศาลต้าหลี่ แต่กลับถูกหน่วยลับนำตัวไป ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะเกิดความรู้สึกขมขื่นไม่ได้
“ใต้เท้าลู่ ท่านและใต้เท้าฉีจากหน่วยลับผู้นั้นมีสัมพันธไมตรีต่อกันไม่ใช่หรือ? ท่านลองไปถามทีเถิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” มีคนเอ่ยขึ้นมา
“ใต้เท้าลู่เพียงแค่ร่วมมือจัดการคดีกับใต้เท้าฉี อะไรคือมีสัมพันธไมตรีกัน? ปกติก็ไม่เห็นพวกเขาเดินไปเดินมาด้วยกันเสียหน่อย” เจี่ยเฉิงผิงเอ่ยขึ้น “หน่วยลับเป็นสถานที่เช่นใด? ผู้ใดยินดีไปที่นั่นก็ไปเถิด เหตุใดต้องผลักไสให้ใต้เท้าลู่ไปด้วยเล่า?”
“คราแรกที่ใต้เท้าลู่เพิ่งมาที่ศาลต้าหลี่ ใต้เท้าหลินเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา ดูแลเขามาก็ไม่น้อย ให้เขาออกหน้าจัดการคงไม่มากเกินไปกระมัง?”
“นั่นสิ คนบางคนปกติก็เคารพใต้เท้าหลินดี พอเกิดเรื่องกลับเมินเฉยไม่เหลียวแล”
เจี่ยเฉิงผิงเอ่ยกับลู่อี้ “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา พวกเขาไม่กล้าไปที่หน่วยลับ แต่กลับต้องการให้ท่านออกหน้าเสียนี่ หน่วยลับใช่ที่ที่พวกเราตอแยได้หรือ?”
“คดีนี้ของใต้เท้าหลินจัดการได้ยาก” เสียงของลู่อี้เบามาก ได้ยินเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น “ข้าจะหาวิธีรักษาชีวิตของใต้เท้าหลินไว้ก่อน ทว่าเรื่องอื่น…”
“ท่านรู้อะไรมาใช่หรือไม่?” เจี่ยเฉิงผิงกระทุ้งแขนของลู่อี้ “ระหว่างพวกเรายังมีเรื่องใดเอ่ยไม่ได้อีกหรือ?”
“สถานที่สำคัญเช่นศาลต้าหลี่นี้ องค์ชายหลายท่านนั้นจะไม่จับจ้องได้อย่างไร? เดิมทีใต้เท้าหลินเป็นคนของผู้ใด?”
คำพูดและการกระทำของหลินอี้เจี๋ยเป็นไปตามจรรยาและกฎหมาย เป็นได้เพียงคนขององค์รัชทายาทเท่านั้น ทว่าบัดนี้องค์รัชทายาทกลับสูญเสียคนสนิทไปคนแล้วคนเล่า วิธีขององค์ชายรองก็โหดเหี้ยมขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“ท่านหมายความว่า…” หากเป็นเรื่องแก่งแย่งแข่งขันระหว่างองค์ชาย เช่นนั้นสถานการณ์ของใต้เท้าหลินก็จัดการได้ยาก “จะรักษาชีวิตใต้เท้าหลินไว้ได้จริง ๆ หรือ?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าของในมือใต้เท้าหลินคุ้มค่าพอให้คนผู้นั้นลงมือฆ่าหรือไม่” ลู่อี้เอ่ย “หากโชคดี ก็จะสามารถรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้และปล่อยให้เขาเกษียณกลับไปยังบ้านเกิด”
การแก่งแย่งแข่งขันระหว่างองค์ชายกำลังทวีความรุนแรงขึ้น องค์รัชทายาทและองค์ชายรองเป็นปฏิปักษ์ต่อกันแล้ว ทว่าหากตัดสินจากสถานการณ์ในตอนนี้ องค์ชายรองนับว่าเป็นฝ่ายเหนือกว่า
ฉีเซียวเพิ่งออกมาจากหน่วยลับก็เห็นรถม้าจอดอยู่ในตรอกแล้ว จึงมุ่งหน้าไปทางนั้น
“ใต้เท้าลู่คิดจะเข้ามาแทรกแซงเพื่อผู้บังคับบัญชาเก่าก่อนหรือ?” ฉีเซียวหยุดม้าลงเบื้องหน้า “ท่านดูไม่เหมือนคนโง่เขลานี่”
“ใต้เท้าฉีเคยกล่าวว่าท่านติดค้างข้าอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนนี้ถึงเวลาที่จะขอให้ใต้เท้าฉีใช้คืนแล้ว ใต้เท้าฉีคิดจะผิดคำสัญญาหรือ?” ลู่อี้เลิกม่านขึ้นแล้วจ้องมองฉีเซียว
ฉีเซียวพลันหมุนหัวม้ากลับ “ไปสนทนาที่อื่น”
ลู่อี้และฉีเซียวเข้าไปในโรงน้ำชา
โรงน้ำชาแห่งนี้ค่อนข้างลึกลับซับซ้อน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักที่นี่
ทั้งสองคนสนทนากันอย่างลับ ๆ อยู่ข้างในเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงทยอยออกไปทีละคน
ลู่อี้ไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่ไปยังที่พักอาศัยของเซี่ยคุน
เซี่ยคุนยังไม่กลับมา ทว่านั่นไม่ได้หยุดยั้งให้ลู่อี้ไม่ไปหาเขา บ่าวรับใช้ในจวนล้วนรู้จักใต้เท้าลู่มาเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งยังรู้ว่าท่านผู้นี้มีความสัมพันธ์กับเจ้าบ้านของตนเช่นไร จึงให้เขาไปรอในห้องตำรา
เมื่อเซี่ยคุนและอันอวี้กลับมาที่บ้าน ถึงได้รู้ว่าลู่อี้อยู่ในห้องตำรา เขาให้บ่าวรับใช้ส่งอันอวี้กลับไปที่ห้องก่อน ส่วนตนเข้าไปพบลู่อี้
“ดึกเพียงนี้แล้ว เกิดเรื่องเร่งด่วนอันใดขึ้น ถึงได้ทำให้ท่านมาที่นี่” เซี่ยคุนเอ่ยถาม
“กลิ่นสุราไม่แรงนัก ไม่ได้ดื่มสักหลาย ๆ จอกหรือ?”
“ดื่มไปไม่มาก”
“งานแต่งพี่ชายภรรยาท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยคุนเงียบไปชั่วขณะ “ไม่รู้ว่าควรกล่าวอย่างไร”
ลู่อี้เลิกคิ้ว “ถึงแม้จะเป็นหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป แต่คงไม่ถึงขั้นหมดคำจะพูดกระมัง?”
ในหมู่พวกเขาไม่มีผู้ใดเกิดมาสูงศักดิ์ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยตัดสินคนจากหน้าตาหรือสถานะ คำพูดที่ว่า ‘ไม่รู้ว่าควรกล่าวอย่างไร’ ของเซี่ยคุนจึงแปลกไปสักหน่อย
“งานแต่งไม่ได้มีคนมามากมายนัก บางทีอาจเป็นเพราะเขามีสหายในเมืองหลวงไม่เท่าไหร่จึงไม่จำเป็นต้องเชิญคนมามากมาย ทว่าแม้เป็นเช่นนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีความสุขแม้แต่น้อย”
ใบหน้าของอันอี้หางเปื้อนยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา
ถึงแม้สตรีผู้นั้นจะถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว พวกเขาไม่ได้เห็นหน้าตานาง ทว่าพวกเขาได้ยินนางเอ่ยสองสามคำ คำที่เอ่ยออกมาไม่กี่คำนั้นราวกับเสียงนกร้อง ฟังไพเราะเสนาะหูเป็นพิเศษ ทว่ากลับเจือกลิ่นอายของการล่อลวง
“มาพูดเรื่องของท่านเถอะ!” เซี่ยคุนเอ่ย
อันอวี้กลับมายังห้อง ให้สาวใช้ปรนนิบัติล้างหน้าบ้วนปากเตรียมเข้านอน นางนั่งลูบท้องของตนอยู่เช่นนั้น หน้านิ่วคิ้วขมวด
“ฮูหยิน หมอนสูงไปหรือเจ้าคะ?” เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ สาวใช้จึงเอ่ยถามด้วยความกังวล
“ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าพี่ชายข้าดูแปลกไปหรือไม่?” อันอวี้เอ่ยถาม
ซิ่งเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสั่นศีรษะ “ไม่นะเจ้าคะ!”
“เขาเป็นพี่ชายของข้า เขามีความสุขจริง ๆ หรือไม่ข้าย่อมมองออก วันนี้เป็นวันมงคลของเขา ทว่าใบหน้าเขากลับไม่ปรากฏความสุขแม้แต่น้อย” อันอวี้ขมวดคิ้ว “มีบางอย่างผิดปกติ พรุ่งนี้… ช่างเถิด พรุ่งนี้เร็วไป เช่นนั้นวันมะรืนเถอะ วันมะรืนข้าจะไปหาเขา”
“ฮูหยิน โปรดอภัยที่บ่าวต้องเอ่ยเช่นนี้ ทว่าครรภ์ท่านไม่ค่อยแข็งแรงนัก ท่านหมอบอกว่าท่านไม่อาจเทียวไปเทียวมาเหมือนเมื่อก่อนได้ ถึงแม้ท่านจะอยากเดิน เช่นนั้นก็ทำได้เพียงค่อย ๆ เดินรอบบ้าน หากท่านอยากไปที่อื่น นายท่านเซี่ยต้องไปกับท่าน หากท่านไปเพียงคนเดียว ข้าจะไปฟ้องนายท่านเซี่ย”
“ท่านพี่งานยุ่งทุกวัน เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนเขากระมัง?” อันอวี้ได้แต่จนใจ
ราชสำนักเกิดอะไรขึ้นนั้นมู่ซืออวี่ไม่รู้ นางรู้เพียงว่าเจ้าของร้านฝั่งตรงข้ามปรากฏตัวออกมาแล้ว
นางนำของขวัญพบหน้าไปถามผู้จัดการ ผู้จัดการจึงเชิญนางขึ้นไปบนชั้นสอง
“ท่านนี้คือเถ้าแก่เนี้ยมู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกระมัง!” เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น
มู่ซืออวี่มองชายหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้านาง “ท่านคือ…”
“ข้าเป็นเจ้าของร้านนี้” ชายผู้นั้นตอบด้วยท่วงท่าสง่างาม “ข้าน้อยแซ่หร่วน นามจวินโจว”
“เถ้าแก่หร่วน เช่นนั้นหร่วนฉีคือ…”
“เขาเป็นน้องชายของข้า” หร่วนจวินโจวยิ้มบาง ๆ “เคยได้ยินน้องชายข้าเอ่ยถึงฮูหยินนานแล้ว นับถือฮูหยินมานาน เดิมทีข้าคิดจะรอให้ที่นี่เข้าที่เข้าทางเสียก่อนจึงไปเยี่ยมเยียนฮูหยิน นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะมาก่อน ในเมื่อมาแล้ว มิสู้รั้งอยู่ทานอาหารสักมื้อเล่า”
“มิลำบากแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าวลา
หลังออกมาจาก ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ จื่อซูจึงเอ่ยขึ้น “นึกไม่ถึงว่าจะไม่ใช่เถ้าแก่ฉี”
“ข้าก็นึกไม่ถึงเช่นกัน” มู่ซืออวี่เอ่ย “คิดว่าเป็นสหายเก่า ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ใช่”
“เถ้าแก่ฉีหน้าตางดงามเช่นนั้น พี่ชายเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน” จื่อซูเอ่ย “สกุลนี้ช่างเติบโตมาดีจริง ๆ”
“ทว่าไม่คล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย” จื่อเยวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ เสริมขึ้น
“ไม่สำคัญ” จื่อซูเอ่ย “เพียงหน้าตาดีก็ใช้ได้แล้ว”
มู่ซืออวี่มองไปยังฝั่งตรงข้าม “เมื่อครู่นี้ควรถามว่าหร่วนฉีไปที่ใดแล้ว เหตุใดจึงลืมถามนะ?”