บทที่ 560 ความลำบากใจของอันอี้หาง
บทที่ 560 ความลำบากใจของอันอี้หาง
มู่ซืออวี่รั้งอยู่ทานอาหารเย็นที่จวนเซี่ย ขณะที่นางกำลังจะกลับนั้นเอง บ่าวรับใช้ก็เข้ามาแจ้ง “นายท่านอันมาขอรับ”
นางชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองอันอวี้
“ท่านแม่ของเจ้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง พี่ชายเจ้าควรดูแลนางให้ดี ๆ เหตุใดต้องมาหาเจ้า?”
อันอวี้กำลังเล่นกับเซี่ยเสี่ยวอัน เมื่อได้ยินมู่ซืออวี่กล่าวเช่นนั้นก็พลันส่ายหัวเบา ๆ
“ข้าจะเข้าไปข้างใน เจ้าเชิญพี่ชายเจ้าเข้ามาพูดคุยเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ยแล้วพาสาวใช้สองคนเข้าไปห้องข้างใน
บ่าวรับใช้พาอันอี้หางเข้ามา
“ท่านพี่ ทานมื้อเย็นแล้วหรือยัง?” อันอวี้เอ่ยทักทาย
“ข้าทานมาแล้ว” อันอี้หางนั่งลงแล้วเอ่ยว่า “อันอวี้ ท่านแม่มาแล้ว”
“อ๊ะ?” อันอวี้แสร้งประหลาดใจ “มาเมื่อไหร่หรือ?”
มู่ซืออวี่ที่อยู่ข้างในแอบยกนิ้วโป้งให้
ไม่เลวนี่ เสี่ยวอันอวี้! ไม่เสียแรงที่เป็นแม่คนแล้ว เริ่มรู้จักแสร้งทำบ้างแล้วสินะ
อันอี้หางสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “เพิ่งมาถึงวันนี้ ท่านแม่ลำบากมาไม่น้อย ข้าเห็นนางแล้ว… ไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ดีกว่า ข้าคิดเช่นนี้ ที่นี่ของเจ้าออกใหญ่โต ข้าอยากให้ท่านแม่มาอยู่กับเจ้า”
“จริงอยู่ที่บ้านข้าใหญ่โต” อันอวี้เอ่ย “แต่ว่าท่านพี่ บ้านท่านมีถึงสามทางเข้าสามทางออก นั่นไม่เล็กเลยนะ! หากไม่มีห้องให้อยู่ เพียงแค่ส่งบ่าวรับใช้สองคนออกไปก็จะมีห้องว่างหนึ่งห้องแล้ว”
เดิมทีมู่ซืออวี่กังวลว่าอันอวี้จะใจอ่อน แต่เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา
ดูท่าว่าการเคี่ยวกรำตลอดหลายปีมานี้จะช่วยนางไว้ มู่ซืออวี่เคยกังวลว่านางจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่บัดนี้ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว แม่สาวน้อยคนนี้มีบารมีขึ้นมาบ้างแล้วสินะ
อันอี้หางนึกไม่ถึงว่าน้องสาวที่เคยพูดจานุ่มนวลอ่อนหวานของเขาจะปฏิเสธข้อเสนอ
เมื่อก่อนไม่ว่าเขาพูดอะไร นางจะยอมรับปากเสมอ
เขามองน้องสาวที่เกลี้ยงเกลาหมดจดขึ้นมาไม่น้อยผู้นี้ ราวกับวันนี้เป็นวันแรกที่เขาพบนาง
เปลี่ยนไปแล้ว
เขาเปลี่ยนไปแล้ว นางเองก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
อย่างเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคงเป็นท่านแม่ที่ ‘ใสซื่อไร้เดียงสา’ ผู้นั้นของพวกเรากระมัง!
อันอี้หางคิดถึงอวี้ซื่อที่สร้างปัญหาให้เขาไม่หยุดหย่อนนับแต่นางมาปรากฏตัวแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันทีที่อวี้ซื่อมาปรากฏตัว สตรีที่เขาแต่งงานด้วยหมาด ๆ ผู้นั้นก็ไม่ชอบนาง เมื่ออวี้ซื่อรู้ว่าสตรีนางนั้นคือลูกสะใภ้ นางก็เริ่มทำตัวอย่างแม่สามี เริ่มตั้งกฎเกณฑ์ให้ลูกสะใภ้ของตนตามแบบอย่างสกุลผู้มั่งมี
เขาเพิ่งกลับถึงบ้านก็เห็นสตรีสองนางนั้นกำลังโต้เถียงกัน
“พี่สะใภ้ของเจ้าและท่านแม่เข้ากันไม่ได้” อันอี้หางเผยความจริงออกมา “หากปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะทะเลาะกันทุกวัน”
“ท่านพี่ ท่านแม่และพี่สะใภ้เข้ากันไม่ได้ เช่นนั้นยิ่งต้องให้ท่านคอยจัดการกับพวกนาง ท่านก็รู้ว่าท่านแม่มีปัญหากับข้า หากท่านให้นางมาอยู่ที่นี่ เกรงว่าคนที่ทะเลาะกับนางทุกวันจะเป็นข้าแล้ว ท่านก็รู้จักน้องเขยของท่านดี หากเขาเห็นข้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ท่านแม่คงมีแต่ต้องถูกไล่ออกไป”
“เจ้านิสัยดีมาโดยตลอด เหตุใดจะทะเลาะกับท่านแม่ได้เล่า?”
“ดังนั้นข้าสมควรได้รับความไม่เป็นธรรมหรือ!” อันอวี้ยิ้มน้อย ๆ “ท่านพี่ ตอนนี้ข้าเป็นแม่คนแล้ว จะไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนอย่างเมื่อก่อนอีก ข้าไม่อยากพบนาง ดังนั้นข้าจึงไม่รับข้อเสนอของท่าน แต่ไหนแต่ไรมานางก็รักใคร่แต่ท่านซึ่งเป็นลูกชายมาโดยตลอด คงไม่มีเหตุผลให้นางต้องมาอยู่กับข้า ของขาดทุนที่นางรังเกียจนักหนากระมัง?”
อันอี้หางนิ่งเงียบไป
หลังจากส่งอันอี้หางกลับไปแล้ว มู่ซืออวี่จึงออกมา
“ไม่เลวนี่ เสี่ยวอันอวี้” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่เสียแรงที่เป็นแม่คน เจ้ามีความกล้าแล้ว”
อันอวี้ลูบอกตนเบา ๆ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าปฏิเสธพี่ชาย ข้าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง”
“วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก” มู่ซืออวี่เอ่ย “นี่เป็นครั้งแรกที่มีเรื่องเช่นนี้ ครั้งหน้าก็จะง่ายแล้ว เจ้าทำถูก อย่าได้ให้คนที่ชอบสร้างปัญหาผู้นั้นมาที่นี่เป็นอันขาด”
ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เสียงล้อรถม้าดังชัดเจนเป็นพิเศษในค่ำคืนที่เงียบสงัด
จู่ ๆ ทันใดนั้นเอง เสียงแปลก ๆ พลันดังขึ้นจากด้านหน้า
รถม้าหยุดลงแล้ว
คนขับรถม้าตะโกนบอกจากข้างนอก “ฮูหยิน ข้างหน้ามีคนกำลังต่อสู้กันขอรับ”
“เปลี่ยนเส้นทาง” มู่ซืออวี่ตอบกลับไป
พรึ่บ! เงาสีดำหลายร่างกระโดดออกมา
คนผู้หนึ่งถูกเงาร่างสีดำเหล่านั้นปิดล้อม
ไม่จำเป็นต้องรอให้คนขับรถม้าตอบ มู่ซืออวี่ก็รู้ว่าบัดนี้สายเกินกว่าจะหนี คนเหล่านั้นพบรถม้าของพวกนางแล้ว
ผู้คุ้มกันหญิงหลายคนที่คอยปกป้องมู่ซืออวี่อยู่ลับ ๆ ปรากฏตัวขึ้นขวางรถม้าเอาไว้
มู่ซืออวี่เปิดม่านออก มองฉากต่อสู้ตรงหน้าผ่านแสงจันทร์ที่ทอดลงมา
คนที่ถูกล้อมไว้ผู้นั้นเคลื่อนห่างจากรถม้า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากดึงคนแปลกหน้ามาเกี่ยวข้อง
“ฉานอี ไปช่วยเขา” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น
ดูจากการกระทำของเขาแล้ว คนผู้นี้คงไม่เลวร้ายนัก ส่วนคนที่ล้อมเขาไว้ วิธีการลงมือของพวกนั้นโหดเหี้ยม อีกทั้งยังใช้อาวุธทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่สนวิธีการ ดูเหมือนไม่ใช่คนดีอะไร
ฉานอีนำคนสามคนพุ่งเข้าไปช่วย เหลือคนสองคนไว้ปกป้องมู่ซืออวี่
ในตอนนั้นเอง ไฟพลันสว่างไสวขึ้นมา คนกลุ่มหนึ่งรุดหน้ามาทางนี้ทันที
ทันทีที่คนกลุ่มนั้นมาถึง คนในชุดดำล้วนถูกล้อมไว้หมดแล้ว
ฉานอีและคนอื่น ๆ กลับมารายงาน “ฮูหยิน เป็นคนของหน่วยลับที่กำลังจับกุมนักโทษคนสำคัญเจ้าค่ะ”
“คนที่พวกเราช่วยเหลือเมื่อครู่นี้เป็นนักโทษคนสำคัญหรือ?”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ นั่นเป็นสายลับของหน่วยลับ ตัวตนของเขาถูกเปิดโปง นักโทษคนสำคัญจึงคิดจะฆ่าปิดปาก” ฉานอีกล่าว “ฮูหยินช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนดี”
“อันที่จริงไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรเพียงนั้น” มู่ซืออวี่กล่าว “เพียงแต่เขาไม่ต้องการดึงผู้ไม่เกี่ยวข้องมาพัวพัน ข้าจึงคิดว่าเขาคงไม่ใช่คนชั่วช้า”
ฉีเซียวควบม้าเข้ามา แล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ที่อยู่ในรถม้า “ฮูหยินลู่ ขอบคุณ”
หากคนของนางไม่ลงมือทันการพอดี เช่นนั้นสายลับคนนี้ของเขาคงไม่รอดชีวิต
มู่ซืออวี่ที่อยู่ข้างในเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าฉี ดึกดื่นเพียงนี้แล้วยังตรากตรำทำงาน ลำบากท่านแล้ว”
“ข้าเพียงแต่ทำเรื่องที่ควรทำเท่านั้น ลาก่อน!”
มู่ซืออวี่เลิกม่านขึ้น มองตามแผ่นหลังของฉีเซียว แล้วเอ่ยกับสาวใช้ทั้งสองคน “พวกเจ้าคิดว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากนั่นจะเป็นอย่างไร?”
ก่อนที่จื่อซูและจื่อเยวี่ยนจะได้ตอบคำถาม ฉานอีก็เปิดปากขึ้นก่อน
“บ่าวเชี่ยวชาญการแปลงโฉม จากรูปหน้าของเขาแล้ว ใต้เท้าฉีผู้นั้นจะต้องหล่อเหลามากเป็นแน่”
“น่าเสียดาย ทั้งวันเอาแต่ใส่หน้ากากเช่นนี้ ยากที่จะบอกว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร”
เมื่อมู่ซืออวี่กลับมาถึงบ้านก็พบว่าลู่อี้อ่านหนังสืออยู่ในห้อง เมื่อเห็นนางกลับมา เขาพลันเอ่ยขึ้น “วันนี้ไปที่ใดมาหรือ? เหตุใดจึงได้กลับมาดึกดื่นเช่นนี้?”
“ข้าอยู่ที่บ้านพี่ใหญ่เซี่ย” มู่ซืออวี่เอ่ย “แม่ของอันอวี้มา นางมาหาคนถึงประตูร้านข้า ข้าจึงให้คนไปส่งนางที่บ้านอันอี้หาง ตอนข้ากำลังจะกลับ อันอี้หางมาหาอันอวี้ บอกว่าอยากให้อันอวี้รับอวี้ซื่อมาอยู่ด้วย…”
ลู่อี้จับบ่าภรรยา แล้วเข้าไปสูดดมกลิ่น “เหตุใดบนตัวเจ้ามีกลิ่นเลือด?”
“ตอนที่ข้ากลับมา ข้าพบหน่วยลับกำลังจับกุมนักโทษคนสำคัญ” มู่ซืออวี่ก้มหน้าดมกลิ่นตนเอง “เหตุใดข้าไม่ได้กลิ่นเลือดเล่า? เห็นได้ชัดว่าข้าอยู่ไกลมากนะ!”
“ระยะนี้หน่วยลับกำลังกวาดล้างกลุ่มนักฆ่า” ลู่อี้เขี่ยแก้มนางเบา ๆ “เจ้าชักจะอาจหาญขึ้นทุกทีแล้ว แม้กระทั่งเรื่องนี้ยังกล้าเข้าไปยุ่ง นั่นนักฆ่าเชียวนะ!”
“ข้าไม่รู้ นอกจากนี้ข้าก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเสียหน่อย เพียงแค่โชคร้ายเท่านั้น มาได้ครึ่งทางแล้วยังพบพวกเขาเข้า ตอนนั้นข้าอยู่ไกลออกไปจึงให้ฉานอีและคนอื่น ๆ เข้าไปช่วย”
เมื่อมู่ซืออวี่กล่าวจบ ก็เห็นสีหน้าลู่อี้ยังไม่ดีขึ้น นางจึงพยายามเอาใจด้วยการออดอ้อนเขาให้ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป