บทที่ 564 พิธีแต่งงานของเซวียนอ๋อง
บทที่ 564 พิธีแต่งงานของเซวียนอ๋อง
พ่อบ้านพาลู่ฉาวอวี่เข้าไปในเรือนด้านข้าง
ฟ่านเหยี่ยนดื่มสุราอยู่ในห้องนั้น
เมื่อเห็นภาพนี้ พ่อบ้านจึงค้อมคำนับลู่ฉาวอวี่ “คุณชายลู่ได้โปรดโน้มน้าวใจท่านอ๋องหน่อยเถิด นี่ก็ใกล้ถึงยามรับตัวเจ้าสาวแล้ว ทว่าเขากลับ…”
“ข้าทราบแล้ว”
ลู่ฉาวอวี่เดินเข้าไปหาฟ่านเหยี่ยนแล้วนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่าย
ฟ่านเหยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามาเร็วยิ่ง ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็มาดื่มสักสองจอกเป็นเพื่อนข้าเถิด”
“ข้าดื่มสุราไม่ได้” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นเจ้ามาหาข้าทำไม?” ฟ่านเหยี่ยนพึมพำ “มาดูความน่าขบขันของข้าหรือ?”
“ประเดี๋ยวจะได้เวลารับเจ้าสาวแล้ว หากปล่อยให้ฝ่ายหญิงได้กลิ่นสุราจากตัวท่าน เกรงว่านางจะคิดมากเอาได้”
“พวกเขาจะคิดอันใดก็คิดเถิด เดิมทีงานแต่งนี้ข้าก็ไม่ได้ต้องการอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นท่านก็ต่อต้านสิ!”
“…” ฟ่านเหยี่ยนก้มหน้าก้มตาดื่มสุรา
“ไม่กล้าต่อต้าน กล้าเพียงระบายโทสะด้วยวิธีเช่นนี้ หากพระนางกุ้ยเฟยที่อยู่ในนั้นรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากหรือไม่”
งานแต่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฟ่านเหยี่ยนต้องการ และไม่ใช่สิ่งที่ฉู่กุ้ยเฟยต้องการเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างกุ้ยเฟยและฮองเฮา ฮองเฮานับว่ากุมชัยชนะชั่วคราวนี้ได้แล้ว
“พ่อบ้านเตรียมน้ำแกงสร่างเมาไว้ให้แล้ว ท่านดื่มสักถ้วยเถิด อาบน้ำ ใส่ชุดแต่งงาน แล้วไปเข้าพิธีเสีย!” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ทั้งหมดที่ข้ากล่าวได้มีเพียงเท่านี้ ท่านควรรู้ว่านี่เป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท หากเรื่องที่ท่านทำในวันนี้รู้ถึงพระกรรณของพระองค์ แม้ท่านจะเป็นพระโอรส พระองค์ก็ไม่มีทางคิดสงสาร”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ก็มาแล้วหรือ?” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยถาม
“งานเลี้ยงเช่นนี้ นางจะไม่มาได้อย่างไร?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นมารยาทที่พึงมี”
“ข้าไม่อาจให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ดูแคลนข้าได้” ฟ่านเหยี่ยนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ได้ ข้าจะฟังเจ้า”
องค์หญิงใหญ่สนทนาพาทีอยู่กับเหล่าฮูหยิน
ในฐานะที่เป็นพระเชษฐภคินีของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่สูญเสียพระสวามีตั้งแต่ยังเล็ก ทว่าหลายปีมานี้คำพูดของนางยังคงมีน้ำหนักต่อฝ่าบาท นางจึงเป็นเป้าหมายให้เหล่าฮูหยินประจบเอาใจ
“ท่านนั้นคือฮูหยินลู่หรือ?” องค์หญิงใหญ่ตรัสถาม “เราอยากพบสตรีที่โด่งดังเลื่องชื่อผู้นี้มานานแล้ว หากแต่ไม่มีเวลา วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี จะต้องมองท่วงทีที่สง่างามของนางให้ดี ๆ สักหน่อย”
“ที่นี่มีฮูหยินลู่มากกว่าหนึ่งคน” สตรีข้างกายเอ่ยขึ้น “องค์หญิงอยากพบฮูหยินลู่ท่านใดหรือเพคะ”
“แน่นอนว่าเป็นฮูหยินของใต้เท้าลู่ ลู่อี้” องค์หญิงใหญ่ตรัส
มู่ซืออวี่ก้าวออกมา แล้วค้อมคำนับองค์หญิงใหญ่ “คารวะองค์หญิงใหญ่ ข้าน้อยหญิงแซ่มู่ ฮูหยินลู่เพคะ”
องค์หญิงใหญ่มองมู่ซืออวี่ แล้วประคองแขนนางขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “รีบลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ”
“เจ้าเข้ามาใกล้ ๆ หน่อย ให้เราดูชัด ๆ”
องค์หญิงใหญ่มองมู่ซืออวี่ที่เข้ามาหา จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ในที่สุดก็ได้พบเสียที เจ้าอ่อนเยาว์กว่าที่เราคิดเสียอีก”
“องค์หญิงชมเกินไปแล้วเพคะ อันที่จริงข้าเป็นเพียงผู้ทำการค้าคนหนึ่ง ไม่กล้ารับคำชมเชยจากองค์หญิง”
“เอ๋ ถึงแม้จะเป็นผู้ทำการค้า อย่างไรเจ้าก็ไม่เหมือนผู้อื่น ชื่อเสียงของเจ้าแพร่ขจายไปทั้งดินแดนตะวันตกแล้ว กล่าวได้ว่าเจ้าโด่งดังไปทั่วหล้า”
คนที่อยู่ข้าง ๆ มู่ซืออวี่มองนางด้วยความริษยาและสงสัยใคร่รู้
มู่ซืออวี่ตอบองค์หญิงใหญ่ด้วยท่าทีไม่แข็งกร้าวและไม่นอบน้อมจนเกินไป
อันที่จริงองค์หญิงใหญ่เองก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง นางเพียงแค่สงสัยว่ามู่ซืออวี่ค่อย ๆ ก้าวทีละก้าวมาจนถึงที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อย่างไร
เมื่อมู่ซืออวี่กล่าวว่าครอบครัวของนางยากจน นางจึงต้องเรียนการเป็นช่างไม้ เพื่อที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ของครอบครัว จากนั้นจึงค่อย ๆ ถากถางทางมาเรื่อย ๆ คนที่ได้ฟังบางคนก็รู้สึกเกลียดชัง บางคนก็รู้สึกชื่นชม ขณะที่บางคนก็รู้สึกสะเทือนใจ
พิธีรับเจ้าสาวเข้าบ้านมีขั้นตอนมากมาย ฟ่านเหยี่ยนเพียงแค่ต้องนำขบวนเจ้าสาวไปรับเจ้าสาวมา ขณะที่องค์หญิงใหญ่จะคอยดูแลแขกเหรื่อฝ่ายหญิง และรอคอยฟ่านเหยี่ยนที่ไปรับเจ้าสาวเข้ามาอยู่ที่นี่
ลู่จื่ออวิ๋นผูกสัมพันธ์กับสหายใหม่ได้ไม่น้อย
ไม่ว่าคนเหล่านี้ภายในใจจะคิดอย่างไร อย่างน้อยฉากหน้าก็ยังคงเป็นมิตร
เมื่อเจียงจื่อเห็นลู่จื่ออวิ๋น สายตาของนางพลันเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
ก่อนหน้านี้นางลำบากเพราะลู่จื่ออวิ๋นมาไม่น้อย สกุลของนางนับวันยิ่งโชคไม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ระยะนี้ไม่เพียงแต่เจี่ยงเฟิงหยางไม่ได้เลื่อนขั้น ในทางกลับกันยังถูกลดตำแหน่ง
เจี่ยงจือโยนความผิดเรื่องนี้ให้กับสกุลลู่
อันที่จริงแล้วไม่เพียงแต่เจี่ยงจือเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ เจี่ยงเฟิงหยางและฮูหยินหรงเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อพบคนสกุลลู่ สีหน้าของพวกเขาจึงไม่สู้ดีนัก
“ว้ายยยย…”
มือของสาวใช้ที่กำลังรินชาลื่น และน้ำในกานั้นก็หกไปทางลู่จื่ออวิ๋น
น้ำในกานั้นยังมีควันลอยกรุ่นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นน้ำที่เพิ่งต้มเสร็จ
หากน้ำในกานั้นราดลงไป ผิวหนังของลู่จื่ออวิ๋นคงพุพองแล้วใช่หรือไม่?
พรึ่บ!
ลูกดอกดอกหนึ่งพุ่งเข้ามา
ลูกดอกนั้นชนเข้ากับกาน้ำจนเกิดเสียงดังเคร้ง จากนั้นกาน้ำพลันเบี่ยงออกไป
เจี่ยหลิงหลงลูบอบตนเองเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “อันตรายยิ่งนัก เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์”
สีหน้าของลู่จื่ออวิ๋นซีดเผือด นางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “เกือบจะถูกข้าแล้ว”
สาวใช้คนนั้นคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะไปทางลู่จื่ออวิ๋นพร้อมทั้งอ้อนวอนขอความเมตตา
“บ่าวไม่ได้ตั้งใจ คุณหนูโปรดให้อภัยข้าเถิด”
ลู่จื่ออวิ๋นไม่สนใจสาวใช้ผู้นั้น แต่กลับหันไปรอบ ๆ มองหาคนที่ขว้างลูกดอกดอกนั้นออกมา
ที่นี่เป็นจวนเซวียนอ๋อง ผู้คุ้มกันหญิงที่ปกติคอยคุ้มกันนางไม่ได้ตามมา อีกฝ่ายจึงไม่ใช่คนของนาง
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นเงาร่างที่คุ้นตาเดินผ่านไปไม่ไกลนัก
เซี่ยเฉิงจิ่น
สาวใช้ผู้นั้นยังคงคุกเข่า อ้อนวอนร้องขอความเมตตา
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้นมา “เจ้าเป็นบ่าวรับใช้จวนเซวียนอ๋องหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเจ้าเป็นบ่าวรับใช้จวนเซวียนอ๋อง เจ้าทำเรื่องผิดพลาดเจ้านายเจ้าย่อมเป็นผู้ลงโทษ เหตุใดต้องมาร้องขอความเมตตาจากข้า”
“บ่าวขอร้องคุณหนูเถิดนะเจ้าคะ หากนายท่านรู้เรื่องนี้ บ่าวคงรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้แน่”
“เมื่อครู่น้ำกานั้นแทบจะหกรดข้าอยู่แล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นมองสาวใช้คนนั้น “หากถูกข้าจริง ๆ เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นอย่างไร?”
สีหน้าของสาวใช้นางนั้นซีดเผือด
“เจ้าใช้สิ่งใดคิดจึงหวังให้ข้าช่วย?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ควรลงโทษเช่นไรก็ลงโทษเช่นนั้น นี่คือกฎ จวนเซวียนอ๋องสง่าผ่าเผยถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งกฎเกณฑ์ก็ไม่รักษาหรือ?”
เหล่าบุตรสาวสกุลขุนนางที่อยู่ข้าง ๆ ล้วนไม่ปริปาก
คราแรกยังคิดว่าสาวใช้ผู้นี้น่าสงสารยิ่งนัก ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวก็รู้ว่านางกล่าวได้ไม่ผิด
หากไร้กฎเกณฑ์ย่อมไม่อาจทำสิ่งใดสำเร็จได้
ในสกุลใหญ่ทั้งหลาย กฎเกณ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“จื่ออวิ๋น เจ้าไม่ถูกน้ำหกใส่กระมัง?”
“ไม่”
สาวใช้คนนั้นพลันหันไปโวยวายเจี่ยงจือ “คุณหนูเจี่ยง ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าจะไม่มีปัญหา ได้โปรดช่วยข้าเถอะ”
แววตาของเจี่ยงจือพลันตื่นตระหนก
ทว่าไม่นาน นางก็สงบลงและถลึงตามองสาวใช้ผู้นั้นด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง “เจ้าพูดจาเลื่อนเปื้อนอันใด?”
“คุณหนูเจี่ยง เห็นได้ชัดว่าท่านให้ข้าทำเช่นนี้ ทั้งยังกล่าวว่าจะไม่มีปัญหา หากเรื่องนี้สำเร็จท่านจะให้เงินข้าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน” สาวใช้ผู้นั้นเอ่ย
“เหลวไหล! ข้าไม่รู้จักเจ้าแม้แต่น้อย” เจี่ยงจือถีบสาวใช้ผู้นั้นออกไปอย่างแรง “นังทาสต่ำต้อยนิสัยชั่วร้าย เจ้าทำร้ายผู้อื่นไม่พอ ยังคิดจะโยนความผิดให้ข้าอีก”
สาวใช้ผู้นั้นกรี๊ดดังลั่น แล้วหมดสติไปทันที
แรงถีบนั้นหนักหน่วงมาก
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแอบแฝง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น “บ่าว พาสาวใช้ผู้นี้ไปพบองค์หญิงใหญ่กับข้า ข้าคิดว่าเรื่องนี้ควรตรวจสอบให้กระจ่าง เรื่องนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุหรือฝีมือมนุษย์ ข้าต้องตรวจสอบออกมาให้กระจ่าง”