บทที่ 572 ไม่ว่าอยู่ที่ใดล้วนต้องระวังตัว
บทที่ 572 ไม่ว่าอยู่ที่ใดล้วนต้องระวังตัว
คนของกรมอาญามีฝีมือยอดเยี่ยมมากเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ห้องขังก็เปลี่ยนโฉมใหม่ ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าที่นี่เป็นบ้านแล้ว
มู่ซืออวี่ให้พวกเขาไปหาหนังสือมาให้สองสามเล่ม ขณะที่อยู่ในห้องขังนางจึงอ่านบทละครพื้นบ้านเหล่านี้
“นานเท่าใดแล้วที่ข้าไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้?” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเอง “ถือว่าเป็นวันหยุดให้ตนเองก็แล้วกัน”
นักโทษที่อยู่ห้องข้าง ๆ ทนไม่ไหวอีกต่อไป พลันโพล่งขึ้นมา “ท่านดูจะสุขสบายผ่อนคลายอารมณ์เสียจริงนะ ไม่กังวลเลยหรือว่าตนจะออกไปไม่ได้แล้ว”
“ไม่กังวล” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้ากลับกังวลแทนผู้อื่นเสียมากกว่า”
“หา? ผู้ใดมอบความมั่นใจให้ท่านถึงเพียงนี้?” นักโทษที่อยู่ห้องขังข้าง ๆ เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งอายุราวสี่สิบห้าสิบปี แม้เขาจะอยู่ในชุดนักโทษแต่กลับไม่อาจบดบังกิริยาท่าทีของเขาได้แม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าอย่างไรก็ต้องเป็นบุคคลที่มีสถานะผู้หนึ่ง
“ท่านเดาดูสิ”
“เช่นนั้นพวกเรามาเดิมพันกันเป็นอย่างไร?” คนผู้นั้นเอ่ย “ว่าอีกสักกี่วันท่านจึงจะออกไปได้”
“ชนะแล้วอย่างไร? แพ้แล้วอย่างไร?”
“หากข้าชนะแล้วท่านแพ้ พวกเราสลับห้องขังกัน หากข้าแพ้แล้วท่านชนะ ข้าจะช่วยท่านทำบางอย่าง”
“เอาสิ เช่นนั้นท่านคิดว่าอีกกี่วันข้าจึงจะออกไปได้?”
คนผู้นั้นมองมู่ซืออวี่แล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าพวกเขายังให้ความเคารพท่าน นั่นหมายความว่าขั้นขุนนางของสามีท่านคงไม่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก หากขั้นขุนนางไม่ต่ำต้อยแล้วยังถูกจับ นั่นหมายความว่าท่านถูกคนที่ตำแหน่งสูงกว่าพุ่งเป้า คนประเภทนี้ไม่ได้จัดการได้ง่ายดาย หากสามีท่านไม่ตีเขาให้ตาย เขาก็จะตีสามีท่านตาย โดยทั่วไป ขุนนางขั้นสูงกว่าย่อมฆ่าขุนนางขั้นต่ำได้ง่ายกว่า ดังนั้นข้าขอเดิมพันว่าท่านจะออกไปไม่ได้”
“เช่นนั้น ข้าเดิมพันว่าข้าจะออกไปได้ภายในสิบวัน” มู่ซืออวี่เอ่ย “อีกทั้งระหว่างนี้จะไม่มีผู้ใดมาสร้างความลำบากใจให้ข้าด้วย”
“ฮูหยินมีนามว่ากระไรหรือ?”
“สามีข้าแซ่ลู่ ท่านเรียกข้าว่าฮูหยินลู่ก็พอแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “แล้วท่านลุงมีนามว่ากระไร?”
“ข้าน่ะ แซ่จวง ก่อนหน้านี้เคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ท่านเรียกข้าว่าท่านอาจารย์จวงเถิด!”
กำไลข้อมือวงนั้นของมู่ซืออวี่ราคาราวหนึ่งร้อยตำลึงเงิน นอกจากสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันแล้ว อาหารการกินของนางในนี้ก็ดีขึ้นมาก
มู่ซืออวี่เห็นอาจารย์จวงท่านนั้นพูดคุยได้น่าสนใจ จึงใช้ต่างหูคู่หนึ่งทำให้อาหารการกินของเขาดีขึ้นตามไปด้วย
ท่านอาจารย์จวงเพียงยิ้มน้อย ๆ แต่ไม่ได้กล่าวอันใด ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของนาง เพียงแค่พูดคุยกับนางด้วยท่าทีสงบ
ห้องขังของกรมอาญาเต็มไปด้วยนักโทษประหาร เสียงนักโทษถูกทัณฑ์ทรมานดังต่อเนื่องตั้งแต่ยามกลางวันยันกลางคืน ทว่าห้องขังสองห้องนี้ราวกับเป็นอาณาเขตเล็ก ๆ ของพวกเขา ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมดังกล่าวแม้แต่น้อย
เพล้ง! ถ้วยใบหนึ่งร่วงหล่นลงพื้น
ถ้วยหรูหราวิจิตรใบนั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ จบสิ้นหน้าที่ของมันแล้ว
ในห้องตำรา เจียงเก๋อเหล่าโมโหเสียจนใบหน้าของเขาเขียวคล้ำ
“ลู่อี้! ผู้เฒ่าอย่างข้ากลับตกไปอยู่ในมือเขาแล้วจริง ๆ”
“เก๋อเหล่า ฝ่าบาทเริ่มระแคะระคายท่านแล้ว หากครั้งนี้พวกเราลงมืออีกครั้ง จะต้องส่งผลกระทบกับแผนขององค์ชายรองอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่ขอรับ”
“ข้าเล็งเห็นความสามารถของเขา อยากหยิบยื่นผลประโยชน์ให้เขา แต่เขากลับแสร้งทำเป็นโง่งมหลายครั้งหลายครา ปฏิเสธไม่ยอมมาอยู่ฝ่ายข้า ข้าคนนี้ไม่อาจไม่มอบของดีให้เขาได้แล้ว”
ที่ปรึกษาไม่ได้กล่าวสิ่งใด
หากกล่าวถึงลู่อี้แล้ว ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เขาปูเส้นทางเลือดสายหนึ่งขึ้นมาได้ ยามจัดการคดีอีกฝ่ายเฉียบขาด ยามจัดการกับศัตรูทางการเมืองนั้นยิ่งเหี้ยมโหด
เจียงเก๋อเหล่าเห็นความสามารถอีกฝ่ายจึงต้องการดึงไปเป็นพรรคพวก ทว่าเขาไม่ควรใช้วิธีการเช่นนี้ ลู่อี้ผู้นี้อย่างไรก็ไม่น่าจะชอบการบีบบังคับ
“พวกเราเสียคนไปมากน้อยเพียงใดแล้ว?”
“ใต้เท้าจางจากกรมพระคลัง ใต้เท้าหวังจากกรมอาญา แม่ทัพหลี่จากกรมกลาโหม…”
ทุกครั้งที่เอ่ยออกมาหนึ่งชื่อ สีหน้าของเจียงเก๋อเหล่าก็มืดครึ้มลงเรื่อย ๆ
“ข้าน้อยเข้าใจความหมายของลู่อี้ ในมือของเขาจะต้องมีรายชื่อคนของเราเป็นแน่ หากทำให้เขาร้อนรน คนเหล่านั้นอาจถูกเขาขุดรากถอนโคนก็เป็นได้ ที่ผ่านมาองค์ชายรองทางเราเป็นฝ่ายได้เปรียบ ขณะที่องค์รัชทายาทต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง บัดนี้เมื่อลู่อี้มาผสมโรงก่อความวุ่นวาย องค์รัชทายาทกลับได้หายใจหายคออีกครั้ง แต่ทางพวกเรากลับเสียหายยิ่งกว่า”
“ใต้เท้า ข้าน้อยมีเรื่องมารายงานขอรับ” เสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาดังขึ้นมาจากด้านนอก
“เข้ามา”
ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นเข้ามารายงานสถานการณ์ให้เจียงเก๋อเหล่าฟัง
“เมื่อครู่นี้จงอ๋องเพิ่งพาคนของเขาเข้าไปยึดทรัพย์พ่อค้าประจำราชสำนักสกุลเฝิงขอรับ อ้างว่าเขาสมคบคิดกับฝ่ายศัตรู มีใจก่อกบฎขอรับ”
“จงอ๋อง!” เจียงเก๋อเหล่าจับโต๊ะข้าง ๆ เอาไว้อย่างแน่นหนา
เขากวาดแขนอีกครั้ง ทว่าบนโต๊ะไม่เหลือสิ่งใดอยู่อีก สิ่งที่ควรตกแตกก็ได้แตกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว ความโกรธที่ปะทุอยู่ในภายในใจเขาจึงไม่มีที่ให้ระบาย
“เหตุใดจู่ ๆ จงอ๋องก็โจมตี?” ที่ปรึกษาเอ่ยถาม “หรือว่านี่เป็นฝีมือของลู่อี้?”
“หากนี่เป็นฝีมือของลู่อี้ เช่นนั้นลู่อี้จะน่ากลัวเพียงใดขอรับ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ย “แม้กระทั่งองค์ชายรองยังไม่ทราบว่าสกุลเฝิง…”
เป็นคลังส่วนตัวของเจียงเก๋อเหล่า
กล่าวคือ สกุลเฝิงที่ว่านั้นเป็นข้ารับใช้ของเจียงเก๋อเหล่า เจียงเก๋อเหล่ามีเงินถึงแปดส่วนอยู่ในสกุลเฝิง ไม่ใช่มอบให้สกุลเฝิง หากแต่ให้สกุลเฝิงทำเรื่องต่าง ๆ ให้และใช้เงินทำให้เงินงอกเงย
บัดนี้สกุลเฝิงถูกยึดทรัพย์แล้ว คลังเงินส่วนตัวของเขาก็หายไปเช่นกัน เมื่อเทียบกับการสูญเสียคนสนิทไปสองสามคนแล้ว นี่น่าหงุดหงิดใจเสียยิ่งกว่า
“เขากล้าแตะสกุลเฝิง เช่นนั้นข้ากับเขาจะได้เห็นดีกัน!” เจียงเก๋อเหล่าเอ่ยขึ้น “คนที่ข้าให้พวกเจ้าตระเตรียม พวกเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
“ใต้เท้าวางใจ ทุกอย่างจัดเตรียมไว้ตามที่ท่านสั่งแล้วขอรับ”
ในพระราชวัง ฮ่องเต้ชรามองสิ่งของที่อยู่ในรายการทรัพย์สิน สายตาอึมครึมของเขากระจ่างเป็นประกาย ราวกับเด็กลงไปสิบปี
“ทำได้ไม่เลว” ฮ่องเต้ชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จงอ๋อง เจ้าไม่เคยทำให้เราผิดหวัง”
จงอ๋องยืนอยู่เบื้องหน้า สายตาที่หลุบลงต่ำของเขาเผยแววเย้ยหยัน
บัลลังก์กษัตริย์มีฮ่องเต้เช่นนี้ครอบครอง การที่อาณาจักรแห่งนี้ไม่ได้สูญสิ้นไป นับว่าเป็นการอวยพรของบรรพบุรุษแล้ว
เพียงแค่เงินตกไปอยู่ในมือ อีกฝ่ายไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าขุนนางผู้นั้นมีความผิดจริงหรือไม่ อย่างไรเสียก็สนใจเพียงเงินทอง กังวลแต่ว่าตนจะไม่มีเงินมากพอให้ใช้สอย ตอนนี้สกุลเฝิงถูกยึดทรัพย์แล้ว ท้องพระคลังถูกเติมจนเต็ม ฮ่องเต้ย่อมสามารถทำสิ่งที่ตนต้องการได้
ทว่า นี่มีความสำคัญอันใด?
ลู่อี้ เจ้าคนติดตามผู้นั้นหน้าไม่อาย นึกไม่ถึงว่าจะกล้าใช้จงอ๋องทำเรื่องเช่นนี้
จงอ๋องแสดงความเคารพแล้วเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง “ฝ่าบาท กองกำลังของกระหม่อมจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ตรวจค้นยึดทรัพย์สกุลลู่ได้แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากของฮ่องเต้ชรากระตุก “สกุลลู่? สกุลลู่ไหน?”
“แน่นอนว่าเป็นสกุลลู่ของลู่อี้รองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่” จงอ๋องเอ่ยต่อไป “สกุลลู่ทำกิจการใหญ่โตถึงเพียงนี้จะต้องมีเงินมากมายเป็นแน่ แม้ว่าจะมีไม่เท่าสกุลเฝิง อย่างน้อยก็มีครึ่งหนึ่งของสกุลเฝิงกระมัง ไม่สู้พวกเรายึดทรัพย์สกุลลู่ ให้ลานหรรษาและเรือนพักผ่อนบนภูเขานั่นกลายเป็นของเสด็จพ่อทั้งหมดเถิด!”
“ท่านอ๋อง ทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!” ขันทีชราข้างกายฮ่องเต้กล่าว “หมู่นี้มีพ่อค้าวาณิชต่างแดนมากมายหลั่งไหลมาที่เมืองหลวงของเรา พวกเขาทั้งหมดล้วนมาที่นี่เพราะลานหรรษาและเรือนพักผ่อนบนภูเขา นอกจากนี้ ใต้เท้าลู่ยังไม่ได้ทำอันใดผิดพลาด หากบุ่มบ่ามยึดทรัพย์สินของสกุลลู่ คนทั่วหล้านจะไม่สงสัยหรือ? ได้ยินมาว่าแต่ละปีฮูหยินลู่ใช้เงินไปมากมายเพื่ออุ้มชูคนยากไร้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ว่า ข้าได้ยินว่าคนของเจียงเก๋อเหล่ารวบรวมหลักฐานมาได้ไม่น้อย ทันทีที่เผยหลักฐานเหล่านั้นออกมา ไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรสกุลลู่ก็ต้องถูกยึดทรัพย์ อาศัยตอนที่เหล็กยังร้อนยึดทรัพย์ไปเสียเลยเถอะ!”
“คนของเจียงเก๋อเหล่าหรือ?” สีหน้าของฮ่องเต้ชราไม่น่าดูชมนัก
เจียงเก๋อเหล่าเป็นคนของผู้ใดกัน?
แน่นอนว่าเป็นคนขององค์ชายรอง
องค์รัชทายาทและองค์ชายรองห้ำหั่นกันดุเดือดมากขึ้น ทั้งคู่แทบจะคิดว่าเสด็จพ่อคนนี้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว บัดนี้เจียงเก๋อเหล่ายังพุ่งเป้ามาที่สกุลลู่อีก นี่หมายความว่าอย่างไร นั่นหมายความว่าองค์ชายรองต้องการหาเงินอย่างไรเล่า
หากมีเงินแล้ว ลำดับถัดไปย่อมเป็นอำนาจ
“ฝ่าบาท ใต้เท้าเจี่ยงขอพบขอรับ” เสียงขันทีด้านนอกดังเข้ามา