สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 575 ผลลัพธ์ของอวี้ซื่อ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 575 ผลลัพธ์ของอวี้ซื่อ

บทที่ 575 ผลลัพธ์ของอวี้ซื่อ

อวี้ซื่อลังเล

หลังจากที่นางฟ้องร้องคดีนี้ คนของกรมอาญาก็จับนางไปขังคุกเป็นเวลาหลายวัน หลายวันมานี้นางไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์เลย

ขณะที่นางกำลังคิดว่าขุนนางเหล่านั้นกำลังปกป้องนาง แผนการก็สิ้นสุดลงโดยที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ คนของกรมอาญาปล่อยตัวนางออกมาและแจ้งว่าการพิจารณาคดีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

แต่การพิจารณาคดีเริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างไร มีลู่อี้อยู่ที่นี่ คดีนี้อาจไม่ ‘ยุติธรรม’ อีกต่อไป

อวี้ซื่อคิดถึงสิ่งที่คนผู้นั้นเอ่ยกับนางก่อนหน้านี้ แล้วจึงมองไปที่ผู้คนข้างนอกที่รอฟังการพิจารณาคดี นางกัดฟันตนเอง ยังคงยืนกรานในคำพูดก่อนหน้านี้ของนาง

“ใช่เจ้าค่ะ คนแซ่มู่ให้บ่าวรับใช้ของนางทำร้ายร่างกายข้า อีกทั้งยังต้องการจะฆ่าข้าด้วย”

ผู้คนที่กำลังฟังการพิจารณาคดีต่างพูดคุยกันเซ็งแซ่ ผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากมู่ซืออวี่ย่อมไม่เชื่อว่านางเป็นคนเช่นนั้น นอกจากนี้ยังมีคนในครอบครัวของผู้ที่ทำงานกับมู่ซืออวี่ด้วย พวกเขามักได้ยินคนในครอบครัวตนพูดว่าเจ้านายนั้นใจดี ย่อมไม่เชื่อว่ามู่ซืออวี่เป็นคนเช่นนั้น แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ผ่านมาร่วมชมความครึกครื้น พวกเขาไม่แม้กระทั่งรู้ว่ามู่ซืออวี่คือใคร จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องนาง

“มีหลักฐานอะไร?”

“บาดแผลของข้าคือหลักฐานที่ดีที่สุด”

“บ่าวรับใช้สกุลลู่ทำร้ายเจ้า มีผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือไม่?”

“ตอนนั้นพวกเขาทำร้ายข้าบนถนน คนมากมายล้วนเห็น ทว่าสามีของนางเป็นขุนนาง พวกเราเป็นคนธรรมดา ผู้ใดจะกล้าให้การเป็นพยานให้ข้าหญิงชราผู้หนึ่ง?”

“กล่าวเช่นนี้แล้ว หมายความว่าเจ้าไม่มีพยาน”

“ใต้เท้าโปรดตรวจสอบ ก่อนหน้านี้เมื่อมู่ซืออวี่อยู่ที่ชนบท นางก็เป็นคนโหดเหี้ยม ขอเพียงแค่ไปขวางทางนาง ไม่เคยมีผู้ใดได้รับผลที่ดี ท่านยายแท้ ๆ ของนางยังถูกนางเนรเทศไปชายแดน คนโหดเหี้ยมใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้ เพียงเพราะข้าพูดจาบางอย่างที่นางไม่ชอบ นางก็สั่งให้คนของนางทุบตีข้าให้ตายแล้ว ใต้เท้า ท่านจะปกป้องนางไม่ได้นะเจ้าคะ…”

“แม้กระทั่งยายของตนเองยังเนรเทศไปต่างแดนหรือ ช่างโหดร้ายยิ่งนัก!” มีคนบางคนวิจารณ์อยู่ข้างนอก

“คนมั่งมีที่ใดไม่โหดเหี้ยมบ้าง? ต้องโหดเหี้ยมจึงจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่น่ะสิ! ไม่แปลกใจเหตุใดพวกเราจึงยากจนมาก เพราะไม่มีคนจนที่โหดเหี้ยมอย่างไรเล่า”

“ใต้เท้า ท่านไม่อาจฟังเพียงสิ่งที่นางพูดได้นะเจ้าคะ ท่านต้องฟังคำอธิบายของข้า” มู่ซืออวี่กล่าว “คนของข้าคงหาพยานพบแล้ว ไม่สู้ใต้เท้าให้คนของข้าขึ้นศาลดีกว่า”

อวี้ซื่อหันกลับมามองมู่ซืออวี่ด้วยความตื่นตระหนกทันที

มู่ซืออวี่ปรบมือ

จากนั้นจื่อซูและจื่อเยวี่ยนก็นำตัวคนสองคนเข้ามาที่โถงพิจารณาคดี

หนึ่งในนั้นแต่งกายดูดี สวมใส่ผ้าต่วนแพรไหม เขาดูอายุไม่มากนัก ส่วนอีกคนนั้นหน้าตาดูซื่อสัตย์จริงใจ

“ใต้เท้า คนผู้นี้ชื่อหร่วนฟ่าง เขาเป็นคนยุยงให้อวี้ซื่อเข้าหาฮูหยินของข้า และยังขอให้ฮูหยินของข้ามอบตำแหน่งขุนนางให้บุตรชายของนางเพียงเพราะพวกเรามาจากบ้านเกิดเดียวกัน ฮูหยินของข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ นางจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องบอกปัดอวี้ซื่อไป ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงคืออวี้ซื่อคาดเดาไว้แล้วว่าฮูหยินของข้าจะต้องไม่รับปาก นางก็เลยจัดละครดี ๆ ขึ้นมาฉากหนึ่ง”

จื่อซูชี้ไปที่พยานคนที่สองและเอ่ยถึงที่มาของคนผู้นี้ “คนผู้นี้ชื่อเอ้อร์หมาจื่อ เดิมทีเขาเป็นคนขายเนื้อ เนื่องจากอวี้ซื่อซื้อเนื้อจากเขาบ่อยครั้ง พวกเขาจึงรู้จักกัน อวี้ซื่อให้เงินจำนวนหนึ่งกับเขา ขอให้เขาทำเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ในตอนที่อวี้ซื่อล้มลง ให้เขาหลบมุมแทงซี่ไม้ไผ่เข้าไปที่กลางอกของอวี้ซื่อ เช่นนี้ทุกคนจะได้คิดว่าฮูหยินของข้าสั่งให้บ่าวรับใช้ก่อเหตุทำร้ายคน นางรู้จักฮูหยินของข้าดี… ถ้าฮูหยินหาตำแหน่งขุนนางให้บุตรชายนางได้ เรื่องนี้ก็จะจบสิ้นไป แต่หากฮูหยินไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นนางก็จะได้ฟ้องร้องฮูหยิน”

“ไม่! ไม่ใช่เช่นนั้นนะ นางกำลังโกหก!” อวี้ซื่อร้อนรนเอ่ยขึ้นมา

“หร่วนฟ่าง เอ้อร์หมาจื่อ พวกเจ้าพูดมา!” เสนาบดีกรมอาญาทุบค้อนลงแล้วเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ในเมื่อถูกจับได้แล้ว ก็ต้องกล่าวอะไรสักอย่าง”

หร่วนฟ่างหลุบตาลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “สหายอันและข้าพบกันเมื่อครั้งเข้าสอบขุนนาง พวกเราสอบตกทั้งคู่ จากนั้นพวกเราจึงอยู่ในเมืองหลวงเพื่อรอสอบขุนนางรอบถัดไป แต่ไหนแต่ไรมาสหายอันไม่เคยบอกว่าเขามีสหายอยู่ในเมืองหลวง เมื่อท่านป้าอวี้มา นางเล่าให้ฟังว่าบุตรเขยของนางทำงานให้กับขุนนางตำแหน่งใหญ่โต นางยังบ่นให้ฟังอีกว่าครอบครัวนั้นไม่รู้จักมอบตำแหน่งขุนนางให้บุตรชายของนาง”

“ข้าจึงเอ่ยไปอย่างหนึ่ง ข้าบอกว่าสหายอันหน้าบางเกินไป บัณฑิตล้วนละอายเกินกว่าจะไปร้องขอคน นางสามารถไปหาอีกฝ่ายลองร้องขอแทนได้ ข้าเพียงแค่กล่าวเช่นนี้ ผู้ใดจะรู้ว่านางบ้าบิ่นมาก จากนั้นจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา”

“เอ้อร์หมาจื่อ เจ้าเล่า?” เสนาบดีกรมอาญาเอ่ยถามอีกครั้ง

เอ้อร์หมาจื่อก้มหน้าลง “หญิงชราผู้นั้นเพียงกล่าวว่าลูกสะใภ้ของนางอกตัญญู นางทำเช่นนี้เพียงเพื่อขู่เท่านั้น นางบอกว่าข้าฆ่าหมูเป็นประจำ มือของข้าย่อมแม่นยำเป็นอย่างมาก ย่อมไม่ทำร้ายนางจนถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน เรื่องแบบนี้น่าหวาดกลัว หากข้าทำผิดพลั้งไปเล็กน้อย เช่นนั้นข้าจะไม่กลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายหรือ? แต่หญิงชราผู้นั้นให้เงินข้าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน และข้าก็กำลังขัดสนจริง ๆ…”

“นางบอกเจ้าว่านางเพียงแค่อยากขู่ลูกสะใภ้ที่อกตัญญูต่อนางอย่างนั้นหรือ?” เสนาบดีกรมอาญาถาม

ลู่อี้ปรายตามองหร่วนฟ่างที่อยู่ตรงข้าม

หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ คนผู้นั้นคงถูกฆ่าไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ลู่อี้สะบัดมือให้นักการที่อยู่ข้าง ๆ เขา

นักการผู้นั้นเข้ามาหาแต่โดยดี

เขาเพียงพูดไม่กี่คำ ทว่านักการกลับดูสับสน ยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น

“ยืนทำอะไรอยู่ที่นี่?” ลู่อี้ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

นักการจึงรู้สึกตัว รีบย้ายเก้าอี้จากด้านหลังฉากไปให้มู่ซืออวี่ เพื่อให้นางได้นั่งลงพูด

เสนาบดีกรมอาญา “…”

คนที่เฝ้าดูอยู่ข้างนอก: “…”

มู่ซืออวี่นั่งลงจริง ๆ

การพิจารณาคดีเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ยังต้องใช้เวลานาน และนางก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว

เหล่าราษฎรก็เข้าใจเช่นกัน

หลังจากไต่สวนมาเนิ่นนานก็พบว่าเป็นหญิงชราผู้นั้นที่คิดจะแสร้งบาดเจ็บเพื่อหลอกเอาเงิน

มองเช่นนี้แล้ว ‘ความบ้า’ เล็กน้อยของมู่ซืออวี่ไม่นับเป็นสิ่งใดเลย

ท้ายที่สุดยังเป็นนางที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม เดิมทีนางก็ไม่ได้ก่อเรื่องราวใด ๆ แต่กลับถูกเรียกตัวไปที่กรมอาญาเพื่อมาจัดการกับปัญหาเหล่านี้ โชคไม่ดีเลยจริง ๆ

“ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น!” อวี้ซื่อยังคงปฏิเสธ

“ข้ามีหลักฐาน” เอ้อร์หมาจื่อกล่าวขึ้น “นางรับปากว่าจะให้เงินข้าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ทว่านางกลับให้เงินข้าเพียงแปดสิบตำลึงเงิน ข้าย่อมไม่พอใจ นางจึงไปนำกำไลมาจากบ้าน ข้าเห็นว่ากำไลนั้นเป็นของดี ข้าเลยเก็บไว้ให้ภรรยาสวมใส่ ตอนนี้กำไลนั้นยังอยู่ที่ข้อมือภรรยาข้าอยู่เลย”

สีหน้าของอวี้ซื่อซีดเผือด

“ถ่ายทอดไปยังอันอี้หาง” เสนาบดีกรมอาญากล่าว “ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอวี้ซื่อคิดจะหาตำแหน่งขุนนางให้กับอันอี้หาง เช่นนั้นเขาก็เป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรได้รับการไต่สวนร่วมกัน”

“ใต้เท้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูกชายข้า ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของข้า” อวี้ซื่อกระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว

ลูกชายของนางกำลังจะเป็นขุนนาง จะให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? หากเรื่องนี้ติดอยู่ในประวัติ เช่นนั้นภายภาคหน้าเขาจะสอบขุนนางได้อย่างไร!

“เจ้าเป็นห่วงอนาคตบุตรชายของเจ้ามากเพียงนี้ ไยต้องทำเรื่องไม่จำเป็นเหล่านี้? หากบุตรชายของเจ้ามีพรสวรรค์ เขาย่อมสามารถสอบขุนนางผ่านด้วยความสามารถของตัวเอง แต่หากไม่ใช่ แม้เจ้าจะหาตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งให้เขาได้ เขาก็ไม่อาจนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น” เสนาบดีกรมอาญาแค่นเสียงเอ่ยอย่างเยือกเย็น

“ใต้เท้า เรื่องนี้ข้าเป็นคนทำเอง ไม่เกี่ยวกับลูกชายของข้า อย่าได้ดึงเขาเข้ามาเลยนะเจ้าคะ” อวี้ซื่อเอ่ย “ข้ายอมรับสารภาพ”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท