บทที่ 580 ทำให้เจ้าตกใจแล้ว
บทที่ 580 ทำให้เจ้าตกใจแล้ว
วันต่อมา ลู่จื่ออวิ๋นกำลังจะออกไปทานอาหารเช้า ทว่าทันทีที่รถม้าออกตัวกลับถูกขวางเอาไว้
“คุณหนู…” ติงเซียงเห็นคนที่อยู่ข้างนอกจึงหมุนตัวมาเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น “เป็นเซี่ยซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
ลู่จื่ออวิ๋นเปิดหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก
เซี่ยเฉิงจิ่นและคนของเขาที่อยู่บนหลังม้าหยุดอยู่ไม่ไกลออกไป
เมื่อเห็นนางมองมา คนของเซี่ยเฉิงจิ่นก็ถือกรงนกกรงหนึ่งเข้ามาให้
“คุณหนูลู่ ท่านซื่อจื่อของพวกเราบอกว่าเมื่อวานนี้ทำให้ท่านตกใจ ของเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้มอบให้คุณหนูเพื่อปลอบประโลมขวัญขอรับ”
ในขณะที่ลู่จื่ออวิ๋นกำลังจะปฏิเสธ คนผู้นั้นก็ยัดกรงนกใส่มือของคนขับรถม้าแล้วเดินกลับไป
จากนั้น เซี่ยเฉิงจิ่นก็ขี่ม้าจากไปพร้อมกับคนของเขา
“คุณหนู…” ติงเซียงนำกรงนกมา “เป็นนกแก้วที่สวยจริง ๆ เลยนะเจ้าคะ”
“มีผู้ใดบังคับมอบของให้กันเช่นนี้บ้าง?” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ข้ายังไม่ได้บอกว่าข้ายอมรับมันมาเลยนะ!”
“ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” ติงเซียงเอ่ยถาม
ลู่จื่ออวิ๋นมองมันแล้วกล่าว “เจ้าเอามันกลับไปก่อน ถามว่าที่จวนมีผู้ใดรู้วิธีเลี้ยงนกบ้างหรือไม่ หากว่ามีก็จัดการตามสมควร”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อลู่อี้มาถึงศาลต้าหลี่ก็เรียกเจี่ยเฉิงผิงมาพบ จากนั้นจึงมอบหมายคดีของเซี่ยเฉิงจิ่นให้อีกฝ่ายจัดการ
“ข้าว่านะสหายลู่ เรื่ององค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเฟิ่งหลินนี้เป็นงานที่ลำบากทว่าไม่คุ้มค่า”
“ข้ารู้” ลู่อี้กล่าว “เรื่องนี้ต้องตรวจสอบอย่างลับ ๆ และไม่อาจเปิดเผยได้ ท่านวางใจเถิด หากจัดการได้ดี ข้าจะจดจำผลงานครั้งนี้ของท่านไว้”
“ฮ่า ๆ …” เจี่ยเฉิงผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังรอคอยคำนี้ของท่านอยู่เชียว”
“เหตุใดยังไม่ไปอีก?”
“หารือเช้าวันนี้คึกคักยิ่งนัก!” ตำแหน่งขุนนางของเจี่ยเฉิงผิงยังไม่สูงนัก เขามีสิทธิ์เข้าร่วมเพียงการหารือใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่การหารือช่วงเช้าแบบปกติ
ทว่าความครึกครื้นของการหารือวันนี้ได้แพร่สะพัดออกไปแล้ว แม้กระทั่งขุนนางที่ระดับขั้นไม่เพียงพอยังได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง
“ท่านหมายถึงเรื่องที่ข้าถูกยื่นฎีการ้องเรียนหรือ?” ลู่อี้เลิกคิ้วขึ้น
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าวังเขียนฎีการ้องเรียนท่าน ทว่าท่านไม่เป็นไร แต่เขากลับถูกน้องชายของท่านหรือใต้เท้าลู่เซวียนปาหลักฐานที่เขาหาเงินเข้าตนเอง จากนั้นเขาจึงถูกลดขั้น” เจี่ยเฉิงผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนล้วนกล่าวว่า ใต้เท้าลู่เซวียนเพียงแสร้งทำนิ่ง เพราะหากเขาลงมือขึ้นมา ทุกคนล้วนต้องตกตะลึง”
ลู่เซวียนไม่ได้ไปยังท้องพระโรงแต่เขาเขียนฎีกาถึงฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้ที่กำลังอารมณ์ไม่ดีนักเห็นเข้าจึงเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้
คนแซ่วังผู้นั้นโดนเข้าแล้ว
ส่วนว่าเกิดเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร คงมีเพียงฟ้ารู้ ดินรู้ ลู่เซวียนรู้ และคนที่ทำงานให้เขารู้เท่านั้น
“เอาละ รีบไปจัดการเถิด”
“คำถามสุดท้าย” เจี่ยเฉิงผิงมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นผู้ใด เขาจึงลดเสียงลงแล้วเอ่ยถาม “ท่านคงไม่ใช่ผู้ที่สั่งให้ใต้เท้าลู่เซวียนเขียนฎีการ้องเรียนคนแซ่วังกระมัง?”
“ไม่ใช่” ลู่อี้กล่าว “เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น”
สีหน้าของเจี่ยเฉิงผิงราวกับจะสื่อว่า ‘ท่านเจ้าเล่ห์จะตาย!’
ลู่อี้ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
เขาไม่ใช่ผู้ที่สั่งให้ลู่เซวียนทำเรื่องนั้นจริง ๆ
ถึงแม้เขาจะฉลาดเพียงใดก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า วันนี้คนแซ่วังผู้นั้นจะโจมตีเขา ส่วนลู่เซวียนทราบมาก่อนหน้านั้นหรือไม่ เขาไม่ได้เอ่ยถาม อย่างไรเสียระยะนี้เขาก็ยุ่งเป็นอย่างมากและลู่เซวียนเองก็ไม่ต่างกัน
“ตอนนี้ท่านจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ข้ามอบหมายให้เสียก่อน หากต้องการสิ่งใดก็แจ้งข้าได้” ลู่อี้กล่าว
ทุกคนในสกุลลู่ล้วนยุ่งวุ่นวาย ราวกับพวกเขาส่องประกายอยู่ในแวดวงของตนเองตลอดเวลา
หลังจากยุ่งวุ่นวายไปอีกพักหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงวันที่สกุลลู่จัดงานเลี้ยง
ในฐานะนายหญิงของบ้าน มู่ซืออวี่มีหน้าที่รับรองแขกฝ่ายหญิง ลู่จื่ออวิ๋นในฐานะคุณหนูของจวนก็มีหน้าที่คอยต้อนรับบุตรสาวสกุลผู้ดีรุ่นราวคราวเดียวกับนาง
ส่วนลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานรวมถึงลู่อี้ พวกเขาต่างมีหน้าที่ของตนเอง
เมื่อแขกเดินเข้ามาในประตูสกุลลู่ ทุกคนต่างก็ถูกดึงดูดด้วยการจัดวางพื้นที่ของจวนทันที
ไม่ไกลจากประตูทางเข้ามีน้ำพุ ปากน้ำพุนั้นเป็นรูปสิงโต อีกทั้งยังมีน้ำเย็นชื่นฉ่ำพุ่งออกมาจากปากสิงโตตัวนั้นด้วย
เมื่อมองดูรอบ ๆ ก็จะพบกับความเขียวขจีที่รายล้อมเรือนหลังนี้ ดอกไม้ใบหญ้าต่างส่งกลิ่นหอมประชันกัน ดอกไม้และพืชใบเขียวล้ำค่านานาชนิดล้วนพบเห็นได้ที่นี่ ในบ่อเองก็มีปลาหลากหลายชนิดซึ่งหายากไม่แพ้กัน
“เหตุใดเต่าตัวนี้ถึงได้ดูคุ้นตานัก” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
“ฮูหยินมักจะไปจุดธูปที่วัดเจิ้นกั๋วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” บ่าวคนเก่าแก่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามนาง “เต่าตัวนี้เป็นเทพเจ้าเต่าจากวัดเจิ้นกั๋ว”
“ว่าอย่างไรนะ?”
“ไม่นานมานี้ฮูหยินของพวกเราไปที่วัดเจิ้นกั๋ว ท่านเจ้าอาวาสวัดเจิ้นกั๋วกล่าวว่า ฮูหยินเป็นคนดีในชาติที่แปด หากเทพเจ้าเต่าตัวนี้ติดตามฮูหยินก็จะได้รับพลังวิญญาณ ดังนั้นจึงได้มอบให้นาง”
เหล่าสตรีที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็มองหน้ากัน
กล่าวกันว่าเต่าในวัดเจิ้นกั๋วตัวนั้น อายุยังมากกว่าเจ้าอาวาสเสียอีก นับว่าเป็นสมบัติของวัดเจิ้นกั๋ว นึกไม่ถึงว่าจะมอบฮูหยินลู่เช่นนี้
คนที่ถือศีลกินเจสวดมนตร์เหล่านั้นรีบกล่าว ‘อมิตาพุทธ’ ให้เต่าทันที
ด้วยการนำทางของบ่าวรับใช้ เหล่าสตรีมาถึงแดนสวรรค์ที่มีนกร้องขับขาน ดอกไม้ผลิบานส่งกลิ่นหอมแห่งหนึ่ง
“ที่นี่คือสถานที่แบบใด?”
“ฮูหยินกล่าวว่าวันปกตินางอยู่แต่ในเรือนจึงเบื่อแล้ว วันนี้นางจึงอยากรับรองแขกทุกท่านข้างนอก” บ่าวรับใช้กล่าว “ทางด้านนั้นมีขนม ผลไม้ และอาหารอีกมากมายหลายชนิด เหล่าฮูหยินสามารถเลือกทานตามใจชอบได้ อีกประเดี๋ยวจะมีอาหารทะเลให้ทุกท่านได้ทาน เนื่องด้วยอาหารทะเลต้องยกมาบริการขณะยังร้อน จึงจะยกมาบริการได้หลังจากแขกทุกท่านมาถึงแล้วเท่านั้น ทุกท่านเชิญนั่งได้ตามอัธยาศัย”
“ที่นี่แปลกจริง ๆ แม้แต่ที่นั่งของแต่ละคนยังต่างกัน” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมา “นี่ใช่เก้าอี้หวายหรือไม่ ข้าเคยเห็นในเรือนกรุ่นฝัน หากวันธรรมดาได้นั่งบนนั้นพลางอ่านหนังสือ คงน่าสนใจไม่น้อย”
“จวนลู่แห่งนี้เห็นได้ชัดว่าทั้งเรียบง่ายทั้งหรูหรา แต่ไม่มีความขัดแย้งกันแม้แต่น้อย” ฮูหยินถานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกท่านเห็นหรือไม่? ผ้าที่ปูอยู่บนโต๊ะไม่ใช่ผ้าธรรมดา แต่เป็นผ้าปักลายอวิ๋นจิ่น*[1]”
“จานเหล่านั้นก็ไม่ใช่จานธรรมดา แต่ละใบมีมูลค่าถึงสิบตำลึงทองเชียวนะ!”
“ฮูหยินลู่มั่งคั่งจริง ๆ คนส่วนมากล้วนไม่อาจเทียบนางได้” ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าแม้แต่สกุลสูงศักดิ์ก็ไม่อาจเทียบเทียม
ผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น บางคนอาจดูมั่งคั่งร่ำรวย แต่ในความเป็นจริงกลับเหลือเพียงเปลือกว่างเปล่านานแล้ว พวกเขาล้วนใช้เงินที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยรักษาภาพลักษณ์ตนไว้
“โอ้ ขออภัย ข้ามาสายแล้ว ข้ามาสายแล้ว” ฮูหยินกงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพรายบนใบหน้า
ด้านหลังมีสตรีผู้หนึ่งที่แต่งกายราวกับหญิงชรา เมื่อพินิจดูใกล้ ๆ แล้วจึงพบว่าเป็นฮูหยินหรง
สตรีที่อยู่ตรงนั้นล้วนแสดงสีหน้าซับซ้อน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ฮูหยินหรงยังดื่มชาทานขนมกับพวกนาง อีกฝ่ายสวมใส่เครื่องประดับที่ทันสมัยกว่าพวกนาง ทั้งยังแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม
เพียงระยะเวลาสั้น ๆ นางกลับตกเป็นทาสของศัตรูคู่อาฆาต ใบหน้าที่เดิมทีได้รับการดูแลอย่างดีกลับดูแก่ลงมากกว่าสิบปี ประหนึ่งเป็นหญิงชรา
“ไม่สายเกินไป พวกเราก็เพิ่งมาถึง” ฮูหยินถานกล่าว “สีหน้าเจ้าไม่เลว ดูแล้วคงอารมณ์ดีมากกระมัง!”
“นั่นแน่นอน พวกท่านก็รู้จักข้า ยามข้าเห็นคนโชคร้าย ข้ามักจะรู้สึกดีเป็นพิเศษ!” ฮูหยินกงกล่าว
ฮูหยินที่อยู่ข้าง ๆ คว้ามือนาง แล้วกระซิบเสียงเบา “ท่านไม่รู้จักจำจริง ๆ ไยยังกล้าที่จะอยู่กับคนเช่นนี้อีก หากนางทำอะไรท่าน ท่านคงไม่แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองตายได้อย่างไร”
“วางใจเถอะ ข้าส่งคนคอยจับตาดูนางแล้ว ปกตินางไม่สามารถแตะสิ่งของของข้าได้ นางรับผิดชอบเพียงแค่ทำความสะอาดห้องสุขาของข้าเท่านั้น ข้าเห็นว่าทุกคนล้วนเป็นสหายเก่า พวกท่านไม่ได้เห็นหน้าค่าตานางมานานแล้ว ข้าจึงพามาให้ดูเสียหน่อย” ฮูหยินกงกล่าว
เมื่อทุกคนได้ยินว่าตอนนี้หรงซื่อมีหน้าที่ทำความสะอาดห้องสุขาให้ฮูหยินกง แต่ละคนล้วนบีบจมูกและเดินผละออกไปให้ไกล
“เอาละ เห็นก็เห็นแล้ว บ่าว รีบพานางออกไป!” ฮูหยินกงสะบัดมือ
ในโอกาสสำคัญเช่นนี้ นางย่อมไม่ปล่อยให้หรงซื่อทำให้คนอื่น ๆ อึดอัด
ฮูหยินกงพาหรงซื่อมาที่นี่เพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าบัดนี้ฮูหยินลู่ที่อีกฝ่ายไม่ชอบที่สุดมีชีวิตที่ดีเพียงใด สามีของนางได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง ทั้งยังทำให้นางได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตามไปด้วย
[1] ผ้าปักลายอวิ๋นจิ่น คือ ผ้าปักลายดอกอวิ๋นจิ่นแห่งหนานจิง เป็นหนึ่งในสี่ศิลปะผ้าปักดอกที่มีชื่อเสียงของจีน ผ้าอวิ๋นจิ่นตั้งชื่อตามสีสันที่งดงามดุจเมฆบนท้องฟ้า วัสดุที่ใช้ประณีต มีลวดลายที่งดงามและหรูหรา