บทที่ 582 ข้าเพียงแค่พลาดพลั้ง
บทที่ 582 ข้าเพียงแค่พลาดพลั้ง
บ่าวรับใช้พาเจี่ยงจือขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นจึงนำร่างเปียก ๆ ของนางไปทางสถานที่รับรองสตรี
เซี่ยเฉิงจิ่นและเซี่ยชิงโจวเดินนำอยู่ด้านหน้า
ชิงเหอจวิ้นจู่ตามมาอย่างรวดเร็ว
หยางอีเหรินเหลือบมองลู่จื่ออวิ๋น แล้วตามชิงเหอจวิ้นจู่ไป
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับเจี่ยหลิงหลง “ข้าจะตามไปดู เจ้าอยากจะอยู่เล่นแถว ๆ นี้ หรืออยากตามไปดูกับข้า?”
“ข้าจะตามเจ้าไป!” เจียหลิงหลงกล่าว “นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่คุ้นเคยกับใครเลย”
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
มู่ซืออวี่กำลังรับรองแขกฝ่ายหญิง นางทั้งต้องยิ้มและปะทะฝีปาก อีกทั้งยังต้องรับมือกับการโจมตีทั้งในรูปแบบเปิดเผยและรูปแบบแอบแฝงซึ่งเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
สตรีสูงศักดิ์ที่ปรากฏตัวในตอนท้ายสุดนั้นไม่ธรรมดา นางคือพระชายาองค์รัชทายาท
ทันทีที่พระชายาองค์รัชทายาทปรากฏตัว สตรีสูงศักดิ์คนอื่น ๆ ล้วนต่ำเตี้ยลงทันที
ในฐานะนายหญิงของจวนลู่ มู่ซืออวี่พูดคุยกับพระชายาองค์รัชทายาทอย่างสบาย ๆ นางไม่ได้ประจบประแจงเพราะอีกฝ่ายคือผู้สูงส่ง คนที่อยู่รอบ ๆ อดที่จะมองอย่างแปลกใจไม่ได้
“ฮูหยิน เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” จื่อเยวี่ยนเดินเข้ามาหา
มู่ซืออวี่ไม่จำเป็นต้องถามจื่อเยวี่ยนว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเซี่ยเฉิงจิ่นและเซี่ยชิงโจวมาปรากฏตัวต่อหน้านางแล้ว
ฮูหยินอู่อันโหวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเด็กคนนี้ทำเรื่องไร้สาระอันใดอีกแล้ว?”
แม้ปากจะตำหนิ ทว่าสายตากลับไม่ได้กล่าวโทษแม้แต่น้อย
อย่างไรเสีย นางก็ไม่ใช่ฮูหยินโหวธรรมดา ๆ เพราะนางมีอาณาจักรเฟิ่งหลินอันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง
อาณาจักรเฟิ่งหลินนั้นแตกต่างจากอาณาจักรอื่น ๆ เหตุเพราะทุกราชวงศ์ล้วนต้องเผชิญกับความยากลำบากในการให้กำเนิดรัชทายาท ดังนั้นสตรีจึงสามารถขึ้นครองราชย์ได้เช่นเดียวกับบุรุษ ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเฟิ่งหลินมีจักรพรรดินีถึงสองพระองค์
“คารวะฮูหยินทุกท่าน” เซี่ยเฉิงจิ่นคำนับ
“เจ้าก่อปัญหาอันใดอีกแล้ว?” ฮูหยินอู่อันโหวชิงลงมือก่อน
“อันที่จริงเป็นภัยพิบัติหล่นลงมาจากท้องฟ้า” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าวออกมาเพียงสองประโยค
เขามักจะพูดน้อยเสมอ แม้ว่าสิ่งที่เขากล่าวจะกระชับครอบคลุม ทว่าไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นเซี่ยชิงโจวที่อยู่ข้าง ๆ จึงกล่าวเสริมอีกสองสามประโยค
“นี่คือเด็กสาวจากสกุลเจี่ยงผู้นั้นกระมัง?” ฮูหยินหรงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ฮูหยินฉู่กั๋วกง เด็กสาวคนนี้ สกุลพวกท่านซื้อไปไม่ใช่หรือ?”
สีหน้าของฮูหยินฉู่กั๋วกงไม่น่าดูชมนัก
ครานั้นที่ฉู่จี้ซิวยืนกรานที่จะซื้อนางกลับมา ฉู่กั๋วกงได้คัดค้านแล้ว ทว่าเจ้าเด็กคนนั้นยังแอบซ่อนนางไว้ในบ้าน
ในโอกาสสำคัญเช่นวันนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะนำปัญหามาให้สกุลลู่
“เจ้าเด็กจี้ซิวคนนั้นไม่สนใจผู้ใด หยาบคายแล้วจริง ๆ”
“บ่าว… บ่าวเพียงแค่ยืนได้ไม่มั่นคง ไม่ได้จงใจล่วงเกินเซี่ยซื่อจื่อนะเจ้าคะ” ในที่สุดเจี่ยงจือก็ยอมกล่าวออกมา
นางกังวลว่าหากตนไม่ยอมกล่าวอันใด เมื่อกลับไปที่จวนฉู่กั๋วกง แม้แต่ชีวิตน้อย ๆ ของนางก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
ในเวลานี้เจี่ยงจือไม่มีท่าทีหยิ่งยโสเหมือนคุณหนูผู้สูงส่งคนนั้นอีกต่อไป นางทั้งถ่อมตัวและขี้ขลาด ดูเหมือนที่ผ่านมา นางคงได้รับความทุกข์ทรมานจากจวนฉู่กั๋วกงไม่น้อย
“ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด เพียงแค่อธิบายให้ชัดเจนก็ได้แล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “ใครก็ได้ พาตัวสาวใช้ผู้นี้ไปและหาเสื้อผ้าสะอาดให้นางเปลี่ยนเสีย”
“เช่นนั้นต้องรบกวนฮูหยินลู่แล้ว” ฮูหยินฉู่กั๋วกงกล่าว
มู่ซืออวี่หันกลับมองเซี่ยเฉิงจินอีกครั้ง “เซี่ยซื่อจื่อ ข้าตัดสินด้วยตนเองแล้ว การจัดการนี้พอใช้ได้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าได้” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว “ถ้าเช่นนั้น ผู้น้อยไม่รบกวนความรื่นเริงของฮูหยินทุกท่านแล้ว”
ฮูหยินอู่อันโหวมองดูบุตรชายเดินออกไป แล้วจึงพึมพำ “เหตุใดวันนี้ถึงได้ว่าง่ายนัก?”
ไม่โวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ถือโอกาสนี้จัดการคน
จากสิ่งที่เซี่ยเฉิงจิ่นทำในอดีต เขาไม่ใช่คนที่คุยด้วยง่าย ๆ เช่นนี้
นางเห็นว่าเจี่ยงจือผู้นั้นหลบสายตา เห็นได้ชัดว่าเป็นวัวสันหลังหวะ เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่อะไรเรียบง่ายอย่างการเข้าใจผิด เห็นได้ชัดว่าพยายามหนีจากสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองด้วยการใช้อุบายตื้น ๆ
ทว่าอีกฝ่ายโง่งมเกินไป ทั้งยังสายตาไม่ดี
ไปหาผู้ใดไม่ไป เหตุใดถึงได้มุ่งความสนใจไปที่เซี่ยเฉิงจิ่น?
เอาเถอะ บุตรชายที่นางให้กำเนิด เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง เพียงหน้าตาเช่นนี้ก็โดดเด่นเป็นที่หนึ่งแล้ว แม่นางน้อยพากันเสียสติเพราะรูปโฉมของเขาอยู่มากจริง ๆ
ขณะที่เซี่ยเฉิงจิ่นกำลังจะจากไป เขาบังเอิญพบกับลู่จื่ออวิ๋นพอดี
“เซี่ยซื่อจื่อ” ชิงเหอจวิ้นจู่เข้ามาทักทายเขา “ทางนั้นมีผลไม้หลายต้น อีกทั้งยังออกผลมากมายแล้ว พวกเราไปเก็บดีหรือไม่?”
“ชิงเหอ” องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้ว “อย่าได้เสียมารยาท”
นี่เป็นจวนของผู้อื่น นางเป็นแขกคนหนึ่งจะทำเรื่องที่ไม่สุภาพเช่นนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าบ้านได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านี้ นางยังเป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ออกเหย้าออกเรือน ทว่าสายตาของนางแทบจะผูกติดกับเซี่ยเฉิงจิ่นแล้ว นี่นางยังต้องการรักษาหน้าตาไว้อยู่หรือไม่?
ชิงเหอจวิ้นจู่เสียใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเซี่ยเฉิงจิ่นจากไปจึงทำได้เพียงกลับไปหาองค์หญิงใหญ่
เซวียนหวางเฟยไปถวายพระพรพระชายาองค์รัชทายาทและองค์หญิงใหญ่ที่อาวุโสที่สุดก่อน จากนั้นคนอื่น ๆ จึงคารวะต่อนาง
หยางอีเหรินเห็นพระชายาองค์รัชทายาทซึ่งเป็นพี่หญิงของนาง จึงอยู่กับอีกฝ่าย
ขอแค่เพียงมีสมองย่อมไม่มีผู้ใดมาทำลายงานเลี้ยงนี้ ที่นี่มีสตรีสูงศักดิ์อยู่มากมาย ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ที่ต้องเคารพนับถือ หากทำให้พวกนางขุ่นเคือง ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม นั่นไม่ใช่ว่าโง่มากหรอกหรือ?
ดังนั้น นอกจากวาจาเสียดสีเหน็บแนมแล้ว ทุกอย่างยังคงปกติดี
อย่างไรก็ตาม ทางนี้เงียบสงบ ไม่จำเป็นว่าที่อื่นจะเงียบสงบตาม
หลังจากที่เจี่ยงจือถูกนำตัวไป ลู่จื่ออวิ๋นก็จัดเตรียมให้สาวใช้ฝีมือดีสองคนจับตาดูนางไว้ สุดท้ายก็พบว่านางมีลูกไม้อื่นอยู่ในมือจริง ๆ
“น่าขันยิ่งนัก” ติงเซียงกระซิบข้างหูลู่จื่ออวิ๋น “หลังจากนางเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดแล้ว นางถูกจัดให้อยู่กับบ่าวรับใช้ด้วยกัน ทว่านางกลับไม่ยอมสงบเสงี่ยม นึกไม่ถึงว่าจะแอบยั่วยวนคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่เคยชมชอบนาง หากคนของเราไม่ไปหยุดไว้ เกรงว่า…”
เกรงว่าจะมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในจวนแล้ว
หากมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในจวนลู่ จวนฉู่กั๋วกงย่อมได้รับความอับอาย พวกเขาจะต้องระบายโทสะกับจวนลู่อย่างแน่นอน
เจี่ยงจือคิดวางแผนมาเป็นอย่างดี คิดจะใช้โอกาสที่มีผู้สูงศักดิ์มากมายมาในวันนี้หลบหนีจากแดนปีศาจในจวนฉู่กั๋วกงแห่งนั้น หากสกุลลู่ทำให้จวนฉู่กั๋วกงขุ่นเคือง นางจะต้องลอบยินดีเป็นแน่
อย่างไรเสียลู่จื่ออวิ๋นก็ยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง จะเคยรับมือกับเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ได้อย่างไร?
นางจึงให้คนไปแจ้งมู่ซืออวี่
แผนของเจี่ยงจือไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งที่รอนางอยู่เมื่อกลับไปที่จวนฉู่กั๋วกงไม่ใช่เรื่องที่นางต้องกังวล
“ลู่จื่ออวิ๋น เซี่ยเฉิงจิ่นเป็นของข้า” ชิงเหอจวิ้นจู่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม มองดูลู่จื่ออวิ๋นด้วยท่าทีหยิ่งยโส “หากเจ้ารู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรก็อยู่ให้ห่างจากเขา”
“เหตุใดจวิ้นจู่จึงมาบอกเรื่องนี้กับข้า?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านสามารถบอกซื่อจื่อได้ เขาคงยินดีที่จะฟังคำประกาศของท่านมากกว่า”
“เจ้า…” ชิงเหอจวิ้นจู่มีสีหน้าอับอาย “ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้ไม่รู้ความ บังอาจขโมยคนไปจากข้า!”
“ข้ากลายเป็นบ่าวของชิงเหอจวิ้นจู่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยขึ้น เขายืนอยู่ไม่ไกล สายตาเย็นชาจับจ้องไปที่ชิงเหอจวิ้นจู่ “แม้กระทั่งข้ายังไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน”
ชิงเหอจวิ้นจู่นึกไม่ถึงว่าเซี่ยเฉิงจิ่นจะยังไปได้ไม่ไกลแต่ซ่อนตัวอยู่ในศาลา
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ เขากลับบังเอิญได้ยินเข้าพอดี นางอับอายเสียจนอยากจะหารอยแยกบนพื้นมุดลงไป
“ท่านซื่อจื่อ ข้าไม่เคยบอกว่าท่านเป็นทาส ท่านมีสายเลือดของอาณาจักรเฟิ่งหลิน ข้าก็มีสายเลือดของราชวงศ์นี้ พวกเราเหมาะสมกันที่สุด…” ใบหน้าของชิงเหอจวิ้นจู่เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
แม้แต่จวิ้นจู่ผู้เย่อหยิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่พึงใจและกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกไปก็ยังรู้สึกขัดเขิน
ทว่า เซี่ยเฉิงจิ่นไม่ได้ปรายตามองนางด้วยซ้ำ…