ภายใต้อำนาจของออร่าอันเย็นยะเยือก ร่างแยกมากมายของจ้าวชิงเฟิงก็เคลื่อนที่ได้เชื่องช้าลงและถูกจำกัดความเคลื่อนไหว มีเพียงร่างหลักเท่านั้นที่ยังคงพุ่งทะยานโจมตีเข้าใส่หลิงฮัน
หากเหล่าร่างแยกไม่สามารถโจมตีสนับสนุนได้ ทักษะนี้ก็ไม่น่ากลัวเลยสักนิด
‘ปัง’ หลิงฮันกวัดแกว่งดาบตอบโต้ การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกัน และจ้าวชิงเฟิงเป็นฝ่ายล่าถอยกลับไป
“หากจะวัดกันด้วยร่างแยกก็มา!” หลิงฮันเค้นเสียงพร้อมกับโคจรแก่นกำเนิดพลัง ‘พรึบ’ สัตว์อสูรสงครามทั้งสามปรากฏตัวออกมา จากภายในร่างของเขา
แก่นพลังเปลวเพลิงแปรสภาพกลายเป็นวิหคเพลิง แก่นพลังวารีแปรสภาพกลายเป็นมงกรฟ้า และแก่นพลังอสนีแปรสภาพกลายเป็นอาชาอสนี
เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรสงครามอีกสองตัวแล้ว ม้าอสนีมีขนาดตัวที่เล็กกว่ามาก เนื่องจากแก่นกำเนิดพลังอสนีของหลิงฮัน ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับเพลิงเก้าสวรรค์ และวารีพลังหยินเร้นลับได้
ทันทีที่สัตว์อสูรสงครามปรากฏตัว พวกมันก็ส่งเสียงคำราม และปลดปล่อยออร่าอันทรงพลังที่สะท้านไปทั่วสวรรค์ชั้นฟ้า
“พระเจ้า!” ด้านบนแท่นผู้ชม ผู้คนมากมายยกมือกุมหัวตัวเอง โดยที่ร่างของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว “สัตว์อสูรเหล่านั้นเป็นเพียงพลังของทักษะจริงๆรึ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า พวกมันแต่ละตัวมีพลังมากพอที่จะสังหารข้าได้เลย?”
“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน” ใครบางคนเอ่ย
เมื่อเห็นสัตว์อสูรสงครามทั้งสาม จอมยุทธระดับโลกียนิพพานอย่างน้อย เก้าในสิบส่วนก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา แม้แต่ราชาแห่งยุคเองก็ยังเผยสีหน้าไม่ยินยอม
พวกเขายังพอทำใจ หากไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันหรือจ้าวชิงเฟิง ที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดได้ แต่การที่กับแค่สัตว์อสูรจากทักษะก็ไม่สามารถเอาชนะได้นั้น พวกเขารู้สึกยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
ในที่สุดจ้าวชิงเฟิงเผยสีหน้าหวาดระแวงออกมาเป็นครั้งแรก เขาเองก็รู้สึกว่าพลังของสัตว์อสูรทั้งสามคนนี้น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน
พวกมันน่าสะพรึงกลัวจนขนาดที่ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองอาจจะถูกสังหารได้
เพียงแต่ความหวาดระแวงนั่น ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เขารู้สึกตื่นเต้นและอยากสังหารหลิงฮันมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“ฮ่าๆๆ!” จ้าวชิงเฟิงหัวเราะลั่น ทั่วร่างของเขามีตราประทับแห่งเต๋าหลั่งไหลออกมาทีละน้อย พร้อมกับร่างแยกทั้งเก้าสิบเก้าร่าง ได้แปรสภาพกลับไปเป็นปราณพิฆาต และควบแน่นรวมกับใหม่เป็นมนุษย์ยักษ์
“ตาย!” เขาพุ่งทะยานโจมตีใส่หลิงฮัน ในขณะที่มนุษย์ยักษ์พุ่งจู่โจมสัตว์อสูรสงครามทั้งสาม
ตูม! ตูม! ตูม!
ตอนนี้การต่อสู้ได้แบ่งออกเป็นสองคู่ คู่แรกคือการต่อสู้ระหว่างหลิงฮันกับจ้าวชิงเฟิง ในขณะที่อีกคู่คือ การต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรสงครามทั้งสามกับมนุษย์ยักษ์
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของคู่ไหน ก็ล้วนแต่ดุเดือดเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าพบจุดอ่อนของเจ้าแล้ว!” จ้าวชิงเฟิงแสยะยิ้มและใช้ดาบทิ่มทะลวงเข้าใส่ร่างของหลิงฮันในส่วนที่ไม่มีกระดูก ซึ่งทำให้อวัยวะภายในของหลิงฮันได้รับบาดเจ็บ
หลังจากการปะทะอันยาวนาน เขาก็ตระหนักได้ว่ากระดูกของหลิงฮันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พลังของเขาจะสั่นคลอนได้ เพียงแต่ผิวหนังและกล้ามเนื้อนั้น ไม่ได้แข็งทนทานเหมือนกับกระดูก เพราะงั้นหากโจมตีไปยังส่วนนั้น เขาก็จะสามารถสร้างความบาดเจ็บให้อีกฝ่ายได้
หลิงฮันเค้นเสียงดูถูก หากกายหยาบที่ขัดเกลาด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ จะได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะจุดอ่อนแบบนั้น มันจะเรียกว่าเป็นทักษะระดับราชานิรันดร์ได้อย่างไร?
“หลิงฮัน ข้าเบื่อจะเล่นกับเจ้าเต็มทีแล้ว!” จ้าวชิงเฟิงคำรามเสียดัง ก่อนที่ทั่วร่างของเขาจะระเบิดคลื่นแสงสีทองครามออกมา พลังต่อสู้และจิตวิญญาณของเขาถูกรีดเค้นจนถึงขีดสุด
สถานการณ์ในตอนนี้ต่างมีแต่ความไม่แน่นอน เพราะงั้นเขาจึงต้องรีบสังหารหลิงฮันให้จบโดยไว และทำการทะลวงผ่านขีดจำกัดของตนเอง
“เจตจำนงกระบี่สวรรค์!” จ้าวชิงเฟิงคำราม คลื่นแสงสีทองครามควบแน่นร่วมกันกลายเป็นกระบี่ขนาดใหญ่
‘ครืนน’ พริบตานั้นออร่าอันทรงพลังเกินพรรณนาก็พรั่งพรูไปทั่วพื้นที่ หลิงฮันพบว่าร่างกายของเขาไม่สามารถขยับเคลื่อนที่ไปไหนได้ ราวกับแรงกดดันจากทักษะกระบี่ของอีกฝ่าย เป็นคำสั่งอันเด็ดขาดของสวรรค์ที่ไม่อาจขัดขืน
“ตัวข้าคือเจตจำนงสวรรค์!” จ้าวชิงเฟิงกล่าวอย่างอาจหาญ พร้อมกับกระบี่ได้พุ่งทะลวงเข้าใส่หลิงฮัน
นี่คือทักษะที่ทรงพลังที่สุดสองเขา จากการกระตุ้นใช้งานอำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเพียงใด ต่อหน้าเจตจำนงสวรรค์ ชะตากรรมของเจ้าก็มีเพียงความตาย!
เจตจำนงของหลิงฮันเดือดพล่าน พร้อมกับสลายแรงกดดันที่เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นพลังของทักษะกระบี่ที่พุ่งเข้ามาก็ยังถือว่าน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี พลังทำลายของมันเรียกได้ว่า อาจจะใกล้เคียงกับระดับแบ่งแยกวิญญาณเป็นอย่างมาก
แต่แล้วมันยังไง?
‘ตูม’ กระบี่ทองคำปะทะเข้ากับร่างของหลิงฮันอย่างไร้ความปรานี คลื่นพลังแห่งเต๋าและอำนาจนิรันดร์ผันผวนไปทั่วลานประลอง
“ไม่ได้การแล้ว!” หลู่เซียนหมิงลุกขึ้นยืนกะทันหัน ถึงแม้จะมีรูปแบบอาคมป้องกันของค่ายกลคอยคุ้มกันลานประลองอยู่ แต่จิตวิญญาณของเขาก็ยังได้รับผลกระทบจากทักษะกระบี่เจตจำนงสวรรค์ เพราะงั้นจนถึงตอนนี้ร่างของเขาก็นั่งแข็งค้าง และเข้าแทรกการประลองไม่ทัน
จบสิ้นแล้ว… หลิงฮันต้องตายอย่างแน่นอน
ซุนตงตื่นเต้นและโห่ร้องออกมา ในที่สุดเขาก็กำจัดมารรูทหารของเขาทิ้งได้เสียที
เฉิงเฟิงหยุนเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน เขาวิเคราะห์การประลองมาหลายต่อหลายวัน ในที่สุดวันที่เขาวิเคราะห์ถูกก็มาถึง เขารู้สึกดีใจจนแทบอยากจะร้องไห้ออกมา
ธิดาโร๋วและสตรีนกอมตะเผยสีหน้าหวาดผวา และสติหลุดลอยออกจากร่าง ขนาดเสียงโห่ร้องดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าในบริเวณแท่นผู้ชม พวกนางก็ยังไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
สตรีนกอมตะไม่ได้มั่นใจในพลังของหลิงฮันอย่างหนักแน่นเหมือนกับจักพรรดินี เพราะหากเป็นจักรพรรดินีล่ะก็ นางคงไม่แสดงความกังวลออกมาแม้แต่นิดเดียว
เมื่อคลื่นผันผวนของอำนาจนิรันดร์และอำนาจแห่งเต๋าสลายไป สิ่งที่ทุกคนมองเห็นก็คือ ภาพของกระบี่ที่ยังคงคาอยู่ชิดลำคอของหลิงฮัน โดยที่ไม่สามารถเฉือนผ่านเนื้อหนังเข้าได้
คราวนี้แม้แต่จ้างชิงเฟิงก็ยังเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้เหนือกว่าความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง
การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดด้วยแก่นกำเนิดนิรันดร์นั้น มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์บางส่วนของราชานิรันดร์ผสานเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นการโจมตีที่ว่าก็ไม่อาจทะลวงผ่านคอของหลิงฮันได้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกตกตะลึงมากขนาดนี้
เสียงโห่ร้องดั่งลั่นจู่ๆก็กลายเป็นเงียบเฉียบดั่งป่าช้า
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดหลิงฮันถึงยังไม่ตายกัน? ไม่ใช่เพียงแค่ไม่ตายเท่านั้น แต่ทำไมแม้แต่โลหิตสักหยดก็ไม่มีให้เห็น?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “นี่น่ะรึการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเจ้า? ก็แค่งั้นๆ!”
ในชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ เขาได้ทำการโคจรอำนาจของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ด้วยพลังป้องกันอันไร้เทียมทานชั่วคราว อย่าว่าแต่จ้าวชิงเฟิงเลย ต่อให้เอี๋ยนเซียนลู่ที่แม้จะเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน ก็ไม่สามารถสังหารหลิงฮันได้
“งั้นก็รับการโจมตีของข้าไปด้วย!” หลิงฮันกล่าวพร้อมกับโคจรแก่นกำเนิดนิรันดร์เปลวเพลิง คลื่นเพลิงร้อนระอุปะทุออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด และทำการระเบิดทั่วทั้งลานประลอง จนผู้ชมไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในได้
เมื่อคลื่นเปลวเพลิงสลายไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ในลานประลองก็คือ ร่างของชายชราสูงโปร่งที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน ในมือของเขากำลังถือร่างของใครบางคนอยู่
ร่างที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจ้าวชิงเฟิงที่หมดสติ แขนและขาของเขาห้อยชี้ลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง สภาพของเขาในตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายกันแน่