บทที่ 591 งานแต่งกำหนดแน่นอนแล้ว
บทที่ 591 งานแต่งกำหนดแน่นอนแล้ว
“หลานชายของข้าคนนั้นเป็นขุนนางขั้นห้าระดับล่างแล้ว แน่นอนว่าพี่ใหญ่เป็นขุนนางขั้นสี่ระดับสูง จึงดูแคลนขุนนางขั้นห้าระดับล่าง ทว่าพวกท่านลองไตร่ตรองดูเอาเถิด เขาอายุเท่าไหร่กัน ยังไม่ถึงสามสิบปีก็มาถึงขั้นห้าแล้ว อนาคตของเขาไร้ขีดจำกัดเชียวนะ!” ฮูหยินรองซูกล่าวต่อไป “หลิ่วเอ๋อร์ล้วนดีทั้งสิ้น ทว่านางไม่ได้ถี่ถ้วนรอบคอบอันใด ทั้งยังไม่ได้รู้หนังสือเท่าบุตรสาวสกุลขุนนางคนอื่น ๆ การแต่งงานของนางกับสกุลลู่คงไม่ได้ตกลงโดยง่ายเพียงนั้นกระมัง?”
“ผู้ใดบอกว่าการแต่งงานของลูกสาวข้าพูดคุยตกลงได้ยากกัน?” เซี่ยวซื่อเอ่ย “เพียงแต่นางมีตัวเลือกมากมายเกินไป จึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง”
“ใช่ ๆๆ เลือกที่ดีที่สุด เช่นนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เลือกสักคนเลยไม่ใช่หรือ?” ฮูหยินรองซูกล่าววาจาเสียดสีเหน็บแนม
“ท่านอารอง เรื่องการแต่งงานของข้า การตัดสินใจของท่านพ่อท่านแม่ถือเป็นที่สิ้นสุด ไม่รบกวนท่านให้เป็นกังวลเรื่องนี้” ซูจือหลิ่วเดินเข้ามาทางประตู
“หลิ่วเอ๋อร์ อารองก็เป็นผู้อาวุโสของเจ้าเช่นกัน ข้าเฝ้าดูเจ้าเติบใหญ่ขึ้นมา ปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นลูกสาวของตนเอง การแต่งงานครั้งนี้ไม่เลวจริงๆ แม้ว่าหลานชายของข้าจะเคยแต่งงานกับผู้อื่นมาก่อน แต่นางโชคไม่ดีจึงทิ้งลูกชายคนหนึ่งไว้ข้างหลัง หากเจ้าแต่งงานเข้าไปแล้ว ควรสั่งสอนเช่นไรก็สั่งสอนเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเป็นแม่เลี้ยงได้ไม่ดี”
“ในเมื่อดีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็มอบให้น้องหญิงเถิด! อย่างไรพวกท่านก็มาจากต้นสกุลเดียวกัน ประสานสัมพันธ์เก่าก่อนด้วยการแต่งงาน เหมาะสมยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
“พูดเหลวไหลอันใดกัน? น้องหญิงของเจ้าแต่งงานแล้ว” ฮูหยินรองซูกล่าว “แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ของกรมพระคลัง แต่เขาก็ยังอายุน้อย ภายภาคหน้ายังมีโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นอีกมากมาย”
เซี่ยวซื่อหันกลับไปมองซูเสิ้ง “นางพูดมาครึ่งค่อนวันแล้ว ท่านควรพูดอะไรสักอย่างหน่อยหรือไม่! หรือว่าท่านอยากแต่งหลิ่วเอ๋อร์ให้พ่อม่ายผู้หนึ่ง?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ซูเสิ้งกล่าว “หลิ่วเอ๋อร์เป็นลูกสาวแก้วตาดวงใจของข้า ข้าไม่ได้ขอให้นางแต่งงานกับคนมั่งคั่งร่ำรวย แต่ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะให้แต่งงานกับพ่อม่ายที่ภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว”
“พี่หญิง ข้าคิดว่าการแต่งงานนี้ไม่เลวทีเดียว” ซูจือฮุ่ยเอ่ยเสียงค่อย “ญาติผู้พี่คนโตของข้าเองก็นิสัยไม่เลวเลย”
พ่อบ้านเดินเข้ามาแล้วเอ่ยกับซูเสิ้งและเซี่ยวซื่อว่า “นายท่าน ฮูหยิน ใต้เท้าลู่เซวียนและแม่สื่อมาเยี่ยมเยือนขอรับ”
“เจ้าว่าผู้ใดนะ?” ซูเสิ้งรู้สึกประหลาดใจ
“ใต้เท้าลู่เซวียนขอรับ”
ซูเสิ้งเหยียดยิ้มแล้วเอ่ยกับฮูหยินรองซูที่กำลังสับสน “ขออภัย พวกเรามีแขกมาเยี่ยม เช่นนั้นพวกเราไม่อาจอยู่รับรองเจ้าแล้ว”
“ใต้เท้าลู่เซวียนผู้นี้เป็นรองเสนาบดีที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ จะกล่าวไปแล้วเขายังเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของหลานชายผู้นั้นของเจ้าด้วย” เซี่ยวซื่อกล่าวต่อไป “น่าละอายนัก ปีนี้เขาอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ ก็อยู่ในขั้นสี่ระดับสูงแล้ว ไม่เหมือนครอบครัวเรา ต่อสู้ดิ้นรนระเหเร่ร่อนกรำศึกสงครามผ่านความเป็นความตายมานานหลายปี กว่าจะได้ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ระดับสูงนี้มาครอง”
“พอแล้ว พูดเหลวไหลอันใดกัน?” ซูเสิ้งต่อว่านาง “ใต้เท้าลู่เองก็ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว”
“ใช่ ข้าเป็นสตรีผู้หนึ่งที่ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็รู้ด้วยว่าการเลื่อนขั้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่สั่งได้ แต่ต้องอาศัยความสามารถ” เซี่ยวซื่อกล่าว
“ท่านจะดีอกดีใจถึงเพียงนี้ไปเพื่ออันใด? พูดราวกับว่าใต้เท้าลู่ท่านนี้จะมาที่นี่เพื่อสู่ขออย่างไรอย่างนั้น” ฮูหยินรองซูกล่าว “หลิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่แม่นางที่ยังไม่ออกเรือนเพียงคนเดียวในสกุลเรา แม้จะมาสู่ขอ ก็ยังไม่รู้ว่าจะสู่ขอผู้ใด!”
บ้านฮูหยินรองซูมีบุตรสาวจากฮูหยินสองคนและบุตรสาวจากอนุสามคน
แต่ครอบครัวของซูเสิ้งกลับมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ซูเสิ้งไม่มีอนุ แน่นอนว่าย่อมไม่มีบุตรชายหรือบุตรสาวที่เกิดจากอนุ
“ใช่ เช่นนั้นเราไปดูกันเถอะ!” ซูเสิ้งกล่าวอย่างใจเย็น
สกุลซูนั้นแยกบ้านกันแล้ว
บ้านหลักและบ้านรองมีกำแพงกั้นระหว่างกัน หากจะไปมาหาสู่กัน ต้องเดินผ่านประตูทางเข้าหลัก
อย่างไรก็ตาม ซูเสิ้งยังคงรู้สึกขอบคุณน้องชายตนเองเป็นอย่างมาก
ขณะที่เขาสู้รบอยู่ข้างนอก ภรรยาและลูกสาวของเขาไม่มีผู้ใดดูแล ต้องขอบคุณน้องชายของเขาที่อดทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความอดทนต่อฮูหยินรองซู น้องสะใภ้ผู้นี้
ทว่าไม่ว่าเขาจะอดทนเพียงใด ก็ไม่อาจยอมให้นางมาสร้างปัญหาให้กับภรรยาและลูกสาวได้
ลู่เซวียนกำลังดื่มชาอยู่ห้องโถงหลัก
เมื่อซูเสิ้งและภรรยารวมถึงฮูหยินรองซูปรากฏตัว เขาก็ลุกขึ้นยืน
เดิมทีซูจือหลิ่วอยากกลับไปที่ห้องของนาง แต่กลับถูกซูจือฮุ่ยรั้งตัวไว้
“พี่หญิง ท่านไม่อยากรู้หรือว่าเขามาทำอันใดที่นี่?” ซูจือฮุ่ยเอ่ยขึ้นมา
“ไม่ว่าจะมาทำอะไร พวกเราก็ไม่ควรแอบฟังอยู่ตรงนี้” ซูจือหลิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าแค่อยากรู้ว่าใต้เท้าลู่มาที่นี่เพื่อสู่ขอหรือไม่ หากว่าใช่ เขาจะมาสู่ขอผู้ใด?”
“น้องหญิงจือฮุ่ยกำลังรอคอยอะไรอยู่หรือ? หรือว่าเจ้าคาดหวังว่าเขาจะไปสู่ขอบ้านรองของเจ้า ทว่าไม่รู้ทางจึงมาที่นี่ก่อน เขาอายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ได้เป็นรองเสนาบดีกรมพระคลังแล้ว คงไม่โง่งมปานนั้นกระมัง?”
ซูจือฮุ่ยถูกคำพูดนั้นทิ่มแทงกลางหัวใจ
นางเบ้ปากแล้วกล่าวว่า “เมื่อก่อนก็ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเสียหน่อย ครั้งก่อนไม่ใช่หรือไร?”
“คราก่อนที่คุณชายจางท่านนั้นต้องการจะสู่ขอน้องหญิง ทว่ากลับบังเอิญบุกเข้ามาในบ้านใหญ่ของเรา ทั้งหมดนี้เป็นเหตุบังเอิญ ท่านพ่อของข้าใจกว้างมาตลอด แต่ข้าไม่ชอบเสียเปรียบจึงให้คนไปตรวจสอบดู เจ้าเดาสิว่าข้าพบอะไร?” ซูจือหลิ่วมองซูจือฮุ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “หลังจากคุณชายจางผู้นั้นทำเรื่องน่าขันเช่นนี้แล้ว หนี้พนันของเขาก็หมดสิ้นไป ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนจ่ายคืน หลังจากนั้นผู้คนข้างนอกยังแพร่กระจายข่าวลือว่าข้าก้าวร้าวและหยาบคายอย่างไร ทั้งยังไล่ทุบตีคนที่มาสู่ขอออกไป ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่ได้เอ่ยสักคำว่าคนที่มาสู่ขอหยามเกียรติข้าก่อน”
“พี่หญิง ไยท่านจึงบอกข้าเรื่องนี้?” ซูจือฮุ่ยกล่าว “จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าข้าต้องไปเยี่ยมท่านย่า ข้าจะไปแสดงความเคารพท่านย่า”
เหตุผลที่บ้านรองเหิมเกริมเพียงนี้ เป็นเพราะพวกเขามีทายาทที่เป็นบุรุษ ฮูหยินผู้เฒ่าซูจึงปลาบปลื้มในตัวพวกเขา
แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซูจะอาศัยอยู่กับบ้านใหญ่ ทว่าหัวใจของนางกลับอยู่ที่บ้านรอง นับแต่โบราณมาก็ให้ความสำคัญกับการแสดงความกตัญญูเสมอ เมื่อซูเสิ้งไม่อยู่ เซี่ยวซื่อจึงไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ่อยครั้ง ซูจือหลิ่วเติบโตมาอย่างบุตรชาย
เมื่อใดก็ตามที่นางกวัดแกว่งกระบี่ แม้แต่ท่านย่าของนางยังหวาดกลัว ไม่กล้าทรมานเซี่ยวซื่ออีกต่อไป เมื่อนางไปร่วมงานเลี้ยงต่าง ๆ บุตรสาวสกุลผู้ดีเหล่านั้นต่างก็ไม่กล้ายั่วโมโห
“ไม่รีบร้อน เจ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าใต้เท้าลู่มาทำอันใดที่นี่?” ซูจือหลิ่วลากซูจือฮุ่ยไป “เช่นนั้นก็รั้งอยู่ฟังเสีย”
ในห้องโถง แม่สื่อได้อธิบายจุดประสงค์ที่มาที่นี่ของลู่เซวียนแล้ว
“กล่าวกันตามเหตุผลแล้วควรเป็นผู้อาวุโสที่มาสู่ขอ ทว่าท่านแม่ทัพซูเองก็ทราบสถานการณ์ของสกุลข้า ข้ามีเพียงพี่ชายและพี่สะใภ้เท่านั้น อีกทั้งพี่ชายและพี่สะใภ้ข้ารู้สึกว่าท่านแม่ทัพซูอาจไม่ยินดีให้ลูกสาวของท่านแต่งให้ข้า พวกเขาไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ฉันสหายที่มีกับท่านแม่ทัพซูสั่นคลอน ดังนั้นจึงอยากจะยืนยันให้แน่นอนก่อนจึงจะมาเยี่ยมเยืยน”
ตอนนี้ลู่อี้ขึ้นมามีอำนาจ ขั้นขุนนางของเขาสูงกว่าซูเสิ้ง ทั้งยังกุมตำแหน่งสำคัญในศาลต้าหลี่ คนส่วนใหญ่ระแวดระวังอำนาจของเขาอยู่บ้างจริง ๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่อยากให้การแต่งงานครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์
“ข้าสัมผัสได้ถึงความจริงใจของใต้เท้าลู่แล้ว” ซูเสิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าลู่ต้องการแต่งงานกับครอบครัวข้าจากใจจริง ลูกสาวของข้าเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน โชคดีได้ลูกเขยที่ดีอย่างใต้เท้าลู่ พวกเราย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
ซูจือหลิ่วโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของซูจือฮุ่ย “คุณชายผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัวมานานแล้ว? น้องหญิงรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูจือฮุ่ยตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ข้าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพ บิดาข้าปกป้องดินแดนด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อ ในฐานะบุตรสาวของเขา ข้าไม่อาจเล่นลูกไม้ตื้น ๆ เช่นนั้นได้ ทว่าหากมีผู้ใดกล้าแตะต้องข้า ข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้เขาได้หลั่งเลือด” ซูจือหลิ่วเอ่ย “น้องสาวจำได้แล้วหรือยัง?”
“พี่หญิงเป็นเช่นนี้ ไม่กลัวว่าขุนนางพลเรือนอย่างใต้เท้าลู่จะกลัวหรือ?” ซูจือฮุ่ยเอ่ย “ไม่มีบุรุษคนใดชอบสตรีที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้!”