บทที่ 593 ข้าเตรียมสินเดิมไว้ให้พวกเจ้าแล้ว
บทที่ 593 ข้าเตรียมสินเดิมไว้ให้พวกเจ้าแล้ว
สาวใช้สองคนของมู่ซืออวี่แต่งงานออกไปก่อน
จื่อซูแต่งงานกับผู้ดูแลที่นางตกหลุมรักก่อนหน้านี้
นอกจากนั้น ลู่อี้ยังหาผู้มีพระคุณของจื่อเยวี่ยนพบแล้วเช่นกัน เขายังไม่ได้แต่งงาน นิสัยและพื้นเพครอบครัวของเขาไม่เลวเลยทีเดียว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นถึงนายกอง
มู่ซืออวี่ออกหน้าไปหานายกองแซ่เฉียนผู้นั้นแล้วเอ่ยถึงเรื่องนี้ อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าต้องการหารือเรื่องนี้กับคนที่บ้านเสียก่อน หากแต่ต้องการพบจื่อเยวี่ยนก่อน หลังจากทั้งสองคุยกันอยู่ตามลำพังพักหนึ่ง นายกองท่านนั้นจึงตอบตกลงเรื่องงานแต่ง
อีกฝ่ายปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม จัดงานแต่งงานตามพิธีการแต่งงาน ไม่ดูถูกจื่อเยวี่ยนเพราะนางเป็นสาวใช้แม้แต่น้อย
สาวใช้ทั้งสองแต่งงานออกไปแล้วจึงไม่สามารถเป็นสาวใช้คนสนิทได้อีกต่อไป สาวใช้คนสนิทข้างกายมู่ซืออวี่จึงกลายมาเป็นฉานอีและซางจือ
แท้จริงแล้วฉานอีทำเรื่องต่าง ๆ ให้นางมากมาย ทว่าแทบไม่ได้ดูแลนางอย่างใกล้ชิดเลยแม้แต่น้อย บัดนี้ถูกย้ายมาอยู่ข้างกายนาง อีกฝ่ายก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว กลับเป็นมู่ซืออวี่เสียอีกที่ไม่สามารถปรับตัวได้ในตอนนี้
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนได้รับหน้าที่ให้ทำงานที่ ‘เรือนกรุ่นฝัน’
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำได้โดยผ่านการเห็นชอบจากแม่สามีของอีกฝ่าย หากครอบครัวของสามีถือสาที่พวกนางจะทำงานหลังจากแต่งงานแล้ว หรือทั้งคู่ไม่ต้องการทำสิ่งใดอีกแล้ว มู่ซืออวี่ย่อมไม่บังคับ
เมื่อสาวใช้ทั้งสองแต่งงาน มู่ซืออวี่ตระเตรียมสินเดิมให้พวกนางอย่างใจกว้าง ทรัพย์สินของพวกนางไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณหนูสกุลพ่อค้าวาณิชย์ทั่วไปแม้แต่น้อย
มู่ซืออวี่กลับมาที่ ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ของตนเอง
ทันทีที่นางนั่งลง นางก็ร้องเรียก “จื่อเยวี่ยน สมุดบัญชีเป็นอย่างไร?”
จื่อเยวี่ยนที่มวยผมอย่างสตรีออกเรือนแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมสมุดบัญชีปึกหนึ่ง “นี่เป็นสมุดบัญชีของเดือนที่แล้ว ข้าพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ฮูหยิน ดูสิเจ้าคะ…”
มู่ซืออวี่มองตำแหน่งที่นางชี้จึงเห็นว่าในส่วนนั้นมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
“คนในร้านเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีคนมากขึ้นก็ยากที่จะจัดการ ในเมื่อเจ้าพบปัญหาแล้ว เช่นนั้นก็มอบให้เจ้าจัดการ!”
“เจ้าค่ะ”
“นอกจากนี้ยังมีอีกอย่างเจ้าค่ะ” จื่อเยวี่ยนกล่าว “เถ้าแก่จางจากร้านผ้า เถ้าแก่จินจากร้านข้าว และยังมีเถ้าแก่อีกหลายคนส่งจดหมายเรียนเชิญฮูหยิน เพื่อปรึกษาหารือกันเรื่องการจัดตั้งกลุ่มการค้าเจ้าค่ะ”
“จัดตั้งกลุ่มการค้าหรือ?”
“หลังจากเรื่องกลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยของเราเล่าลือออกไป คนบางส่วนเริ่มสนใจเรื่องนี้และต้องการจัดตั้งกลุ่มการค้าเจ้าค่ะ แต่เมืองหลวงเป็นสถานที่มีคนจากทั่วทุกสารทิศ ผู้ใดก็ตามที่จะมาเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าไม่อาจโน้มน้าวใจคนหมู่มากได้ ท้ายที่สุดหากความเห็นไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ คราวนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะมีคนโน้มน้าวใจทุกคนได้แล้วจริง ๆ ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถจัดตั้งได้จริง ๆ นะเจ้าคะ”
“เมื่อไหร่?”
“พรุ่งนี้ยามบ่ายเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่เปิดจดหมายเรียนเชิญนั้นดู แล้วกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นก็ไปดูเถอะ!”
ณ ศาลต้าหลี่ ลู่อี้เปิดดูบันทึกคดี คดีแล้วคดีเล่า
“คนที่รับผิดชอบคดีนี้ล้วนตายไปแล้ว”
“ไม่ผิด” เซี่ยคุนกล่าว “ข้าตามเบาะแสมามากกว่าสิบวัน ผลลัพธ์คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ล้วนตายไปแล้ว การตายของคนเหล่านั้นล้วนแปลกประหลาด ไม่พบร่องรอยการถูกสังหารแม้แต่น้อย กลับดูเหมือนเป็นการตายตามธรรมชาติมากกว่า ทว่าแม้จะเป็นการตายตามธรรมชาติ พวกเขากลับตายภายในระยะเวลาเพียงสองสามปี นี่ช่างดูแปลกพิกลจริง ๆ”
“ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะไม่ใช่คนธรรมดา”
“ยังจะตรวจสอบหรือ? ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าหากคนผู้นั้นพบว่าท่านกำลังตรวจสอบคดีนี้ ท่านอาจเป็นผู้โชคร้ายรายถัดไป”
“แค้นฆ่าบิดามารดา ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน หากข้ายอมล้มเลิกอย่างง่ายดาย เมินเฉยต่อการตายอย่างอยุติธรรมของผู้ให้กำเนิด ท่านคิดว่าข้ายังคู่ควรแก่การเป็นบุตรชายอีกหรือไม่?”
“ได้ ข้าจะช่วยท่านตรวจสอบต่อไป”
“ระยะนี้ทางเจียงเก๋อเหล่ามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?”
“องค์ชายรองพาพระที่ไม่รู้ที่มาที่ไปมารูปหนึ่ง กุข่าวลือให้ฝ่าบาทหลงเข้าใจผิด ฝ่าบาทหลงเชื่อแล้ว นักพรตเต๋าคนเก่าจึงถูกนำตัวไปขังคุก จากนั้นพระรูปนั้นจึงถูกนำมาใช้สอย” เซี่ยคุนกล่าวว่า “คนโหดเหี้ยมเลอะเลือนไร้ความสามารถเช่นนี้ เหตุใดจึงมีคุณสมบัติครองตำแหน่งนั้น”
“ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม” ลู่อี้กล่าว “เจียงเก๋อเหล่าและจวนพระสัสสุระกำลังจับตามองพวกเราอยู่ จิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้นเป็นปัญหาใหญ่ ตอนนี้ยังลงมือไม่ได้”
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ทั้งสองได้ยินเสียงจึงหยุดพูดคุยกัน
ลู่เยี่ยเดินเข้ามารายงานลู่อี้ “ใต้เท้า คนของเราใช้นกพิราบส่งสารมาแจ้งว่าหัวหน้าจือเชียนถูกตามล่าขณะที่กำลังตรวจสอบคดีนี้ ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ทราบที่อยู่ขอรับ”
“เขาหายไปจากที่ใด” เซี่ยคุนเอ่ยถาม
ลู่เยี่ยตอบ “บริเวณใกล้ ๆ วัดนั้นขอรับ ที่นั่นมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านเตียนเจียงขอรับ”
“ข้าจะจัดเตรียมคนกลุ่มหนึ่งออกตามหาเขา” เซี่ยคุนเอ่ย “หากใต้เท้าไม่มีคำสังอื่นใดแล้ว ข้าจะถอยออกไปก่อน”
“ออกไปเถอะ!”
วันรุ่งขึ้น มู่ซืออวี่ไปที่ภัตตาคาร ‘กรุ่นกลิ่น’ ตามคำเชิญ
เมื่อนางมาถึง เถ้าแก่หลายสิบคนก็มาถึงแล้ว
ทันทีที่มู่ซืออวี่ปรากฏตัว ทุกคนต่างยิ้มและทักทายนาง ราวกับเป็นสหายเก่าแก่ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับคนเหล่านี้
การเปิดร้านในเมืองหลวงหากไม่มีผู้หนุนหลังย่อมเป็นเรื่องยาก ในสถานที่ที่สามารถพบเจอขุนนางขั้นเจ็ดขึ้นไปได้ตามท้องถนนเช่นนี้ หากไม่มีความสามารถจะอยู่รอดได้อย่างไร?
“เถ้าแก่หร่วน”
ชายหนุ่มรูปงามเดินผ่านประตูเข้ามา เมื่อทุกคนเห็นเขา แต่ละคนล้วนเข้าไปทักทาย คราวนี้ความกระตือรือร้นของพวกเขาดูจริงใจมากขึ้น ดูเหมือนว่าหร่วนจวินโจวผู้นี้จะเป็นที่นิยมอย่างมาก
“สวัสดีเถ้าแก่ทุกท่าน!” หร่วนจวินโจวเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่มู่ซืออวี่ “เถ้าแก่เนี้ยมู่ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
“คนไม่ได้พบ หากแต่ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ของพวกท่านกลับได้พบกันทุกวัน” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “คราวนี้พวกท่านขโมยลูกค้าประจำของเราไปสามคนแล้ว ใช้ได้นี่นา เถ้าแก่หร่วน”
“เถ้าแก่เนี้ยมู่โปรดอย่าได้ถ่อมตัว ร้านเรือนกรุ่นฝันของพวกท่านก็แย่งชิงคนของเราไปไม่น้อยเช่นกัน ใครให้เรามีฝีมือสูสีกันเล่า ลูกค้าจะลังเลก็เป็นเรื่องธรรมดา”
เถ้าแก่จากทุกสาขาอาชีพทยอยมาถึงที่นี่คนแล้วคนเล่า
เมื่อมู่ซืออวี่เห็นเถ้าแก่ของหอร้อยบุปผามาที่นี่ นางพลันขมวดคิ้วมุ่น
ไม่ใช่ว่านางดูแคลนสตรีจากหอโคมเขียว ทว่าการกระทำของหอร้อยบุปผานั้นโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง สตรีหลายคนถูกบังคับให้ขายเรือนร่างตน
“ทุกคนมาที่นี่แล้ว” ชายหนุ่มอายุราวสามสิบปีเดินหัวเราะเข้ามา “ขออภัย ข้ามาเป็นคนสุดท้าย”
มู่ซืออวี่หันไปมองคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น
หร่วนจวินโจวเข้ามาหานาง แล้วเอ่ยเบา ๆ “คนผู้นี้คือผู้รับผิดชอบคนใหม่ของสกุลหลี่สกุลพ่อค้าประจำราชสำนัก สกุลพวกเขาทำกิจการเกี่ยวกับผ้าไหมเป็นหลัก รับผิดชอบเรื่องผ้า หอซือเป่าของลูกสาวท่านรับสินค้ามาจากพวกเขา คนทางนั้นคือสกุลหยางสกุลพ่อค้าประจำราชสำนัก พวกเขารับผิดชอบเรื่องภาชนะเครื่องใช้ต่าง ๆ นอกจากนี้…”
“เช่นนั้น งานคราวนี้ผู้ใดเป็นคนจัด?”
“เถ้าแก่เนี้ยมู่ฉลาดเพียงนี้จะมองไม่ออกได้อย่างไรกัน? เรื่องในครั้งนี้แน่นอนว่าสกุลหลี่เป็นคนจัดขึ้นมา” หร่วนจวินโจวเอ่ย “พวกท่านเมืองฮู่เป่ยจัดตั้งกลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยขึ้นมา ในฐานะหัวหน้ากลุ่มการค้า มีทั้งอำนาจปกครองและตัดสินชี้ขาด พวกเขาจึงโลภมากน่ะสิ!”
“หากพวกเราไม่เข้าร่วมเล่า?”
“เบื้องหลังสกุลหลี่คือจวนพระสัสสุระ” หร่วนจวินโจวมองนาง “เถ้าแก่เนี้ยมู่มีความสามารถที่จะไม่ไว้หน้าพวกเขาจริง ทว่าเหล่าพ่อค้าธรรมดาทั่วไปย่อมไม่กล้า ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้คงไม่มีการเตรียมการอย่างต่อเนื่อง ท่านคิดว่าทุกคนยินยอมพร้อมใจจริงหรือ?”
“สรุปคือ พวกเขาใช้กำลังกลั่นแกล้งผู้อื่น” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ก็แค่นี้เอง ข้าจะดูซิว่าพวกเขามีลูกไม้อันใด!”
หลี่คงรุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากกล่าวถึงกลุ่มการค้า ในหมู่พวกเราที่นี่มีเพียงเถ้าแก่เนี้ยมู่ที่มีประสบการณ์ เหตุใดพวกเราไม่ให้เถ้าแก่เนี้ยมู่อธิบายวิธีก่อตั้งกลุ่มการค้าให้ฟังเล่า?”
“เถ้าแก่หลี่ล้อเล่นแล้ว เมืองฮู่เป่ยเป็นเพียงสถานที่เล็ก ๆ กิจการร้านค้าที่นั่นใหญ่เพียงทะนาน*[1] ข้าว กิจการที่ทำล้วนเป็นกิจการเล็ก ๆ น้อย ๆ จะนำมาเทียบกับทุกท่านในเมืองหลวงได้ที่ใดกัน? หากใช้การจัดการของกลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยมาเป็นแนวทาง เช่นนั้นจะไม่เหมาะสมไปสักหน่อย ในเมื่อเถ้าแก่หลี่เป็นพ่อค้าของราชสำนัก ย่อมต้องมีประสบการณ์มากกว่าเถ้าแก่เล็ก ๆ เช่นนั้นให้เถ้าแก่หลี่วางแผนเถิด!”
[1] ทะนาน คือ พาหนะที่ใช้ตวงข้าวสารหรือของเหลว ในที่นี่ตั้งใจอุปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่ากิจการในเมืองฮู่เป่ยเล็กกว่าในเมืองหลวงมาก