บทที่ 600 กฎหมายการค้าประกาศใช้แล้ว
บทที่ 600 กฎหมายการค้าประกาศใช้แล้ว
เมื่อ ‘กฎหมายการค้า’ ประกาศใช้ คนในกลุ่มการค้าเมืองหลวงไม่ทันได้ตั้งตัว
หนังสือกฎหมายนี้ถูกมอบให้กับร้านค้าต่าง ๆ เพื่อให้ทุกครัวเรือนเข้าใจกฎหมายใหม่ของราชสำนัก หากฝ่าฝืนกฎระเบียบ เช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษ
หนังสือทั้งเล่มมีทั้งหมดห้าพันคำ แต่ละบทเป็นกฎหมายควบคุมผู้ทำการค้า ขอเพียงทำการค้าอย่างซื่อสัตย์สุจริตย่อมไม่มีอะไร แต่หากมีเจตนาไม่ดี บทลงโทษย่อมร้ายแรงเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มการค้าเมืองหลวงจึงมีอยู่เพียงแต่ในนามเท่านั้น
กรมพระคลังมีอำนาจควบคุมผู้ทำการค้าเหล่านี้ หากเกิดอันใดขึ้นก็ไปร้องเรียนทวงความเป็นธรรมได้ที่กรมพระคลัง
คนของจวนพระสัสสุระถูกไต่สวนแล้วจึงปล่อยตัวออกมา
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดมาก่อปัญหาในร้านของมู่ซืออวี่อีก แสดงให้เห็นว่าคนของจวนพระสัสสุระรู้ดีว่าลู่อี้ยุ่งด้วยไม่ได้ง่าย ๆ
ดึกมากแล้ว มู่ซืออวี่อ้าปากหาวขึ้นไปในรถม้า
ทันทีที่นางขึ้นรถม้าก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ในรถม้ามีกลิ่นเลือด
“ฉานอี ซางจือ…”
สาวใช้ทั้งสองเข้าใจความหมายของนางทันที
มู่ซืออวี่ลงมาจากรถม้า สาวใช้สองนางพบชายผู้หนึ่งจากช่องด้านใน
“ฮูหยิน ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
ชายคนนั้นหมดสติ ใบหน้าละเอียดประณีตของเขาขาวราวกับหยกในยามค่ำคืน
“หร่วนฉี!”
“ฮูหยินรู้จักเขาหรือเจ้าคะ?”
“รู้จัก…” กระมัง!
หร่วนฉีที่นางรู้จักมักจะสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ทว่า ‘หร่วนฉี’ ผู้นี้กลับแต่งกายในชุดสีดำทำให้นางรู้สึกแปลกออกไป
“เขาได้รับบาดเจ็บ บนร่างกายมีร่องรอยบาดแผลมากมาย ดูเหมือนจะถูกตามล่ามา หากพวกเราพาเขาไปเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางหรือไม่ เถ้าแก่หร่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคือพี่ชายของชายผู้นี้ พวกเจ้าไปดูหน่อยว่าเขายังอยู่ในร้านหรือไม่”
ฉานอีไปสอบถามแล้ว ไม่นานก็กลับมาแจ้งว่า “เถ้าแก่หร่วนไปจัดการเรื่องกิจการที่เมืองใกล้เคียง อาจต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนจึงจะกลับมาเจ้าค่ะ”
“ซางจือ เจ้าช่วยทำแผลให้เขาหหน่อย!”
“เจ้าค่ะ”
“หากทำแผลเสร็จแล้วเล่าเจ้าคะ?” ฉานอีเอ่ยถาม
“เอาเขาไปไว้ในร้านก่อน” มู่ซืออวี่กล่าว “รอข้ากลับไปที่บ้าน บอกใต้เท้าลู่สักหน่อย แล้วค่อยให้เขามาจัดการเถอะ! ข้าเองก็จัดการเรื่องเหล่านี้ไม่เก่งเช่นกัน”
คนขับรถม้าอุ้มหร่วนฉีเข้าไปไว้ในห้องตำราของมู่ซืออวี่ ก่อนจะวางเขาลงบนเบาะนุ่มเบา ๆ
ซางจือทำแผลให้หร่วนฉี
หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จสิ้น มู่ซืออวี่ก็รออยู่เป็นเวลานานแล้ว นางหิวเสียจนไส้กิ่ว สิ่งสำคัญที่สุดคือนางง่วงเสียจนแทบลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
ก่อนที่นางจะได้กลับไป ลู่อี้ก็มาหานางก่อน
เพราะดึกแล้วเห็นภรรยายังไม่กลับมา ลู่อี้รู้สึกไม่วางใจจึงมาที่ร้านเพื่อตามหา
“ท่านมาพอดี” มู่ซืออวี่ชี้ไปยังผู้บาดเจ็บที่อยู่บนเบาะนุ่ม “นี่คือหร่วนฉี เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองฮู่เป่ยข้าสนิทกับเขามาก วันนี้ข้าพบเขาได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้เช่นกันว่าผู้ใดทำให้เขาบาดเจ็บเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะจัดการอย่างไร มอบให้ท่านจัดการเถอะ! รอเขาตื่นขึ้นมาแล้ว ท่านก็ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น”
ลู่อี้มองรูปโฉมของหร่วนฉี
“หน้าตางดงาม นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะมีสหายที่โดดเด่นเพียงนี้”
“เหตุใดคำพูดนี้จึงรู้สึกเปรี้ยว*[1] นัก?” มู่ซืออวี่เลิกคิ้ว “แก่เฒ่าเพียงนี้แล้วยังหึงหวงอยู่อีกหรือ?”
“สามีเพียงชื่นชมว่าสหายของฮูหยินผู้นี้พิเศษก็เท่านั้น” ลู่อี้แตะข้อมือของหร่วนฉี “เขาถูกยาพิษแล้ว”
“จะทำอย่างไรดี?”
“หร่วนฉีผู้นี้ได้รับบาดเจ็บมาอย่างไร พวกเราเองก็ไม่รู้ ไม่อาจร้อนใจบุ่มบ่ามไปเชิญท่านหมอข้างนอกมา”
เมื่อเห็นว่ามู่ซืออวี่ง่วงนอนมาก ลู่อี้จึงสั่งฉานอีกับซานจือ “พวกเจ้าพาฮูหยินกลับจวนก่อน ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”
“ข้าเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้เถิด พาเขากลับไปที่บ้านก่อน ติงเซียงสาวใช้ของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เชี่ยวชาญการขับพิษ ให้นางลองดู”
เมื่อครู่นี้นางไม่กล้าพาหร่วนฉีไปเพราะกังวลว่าจะมีการซุ่มโจมตีระหว่างทาง ตอนนี้ลู่อี้อยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก เขาจะต้องมีวิธีแน่นอน
“เช่นนั้นก็ได้ พากลับไปก่อน”
ลู่อี้อยู่บนหลังม้า ตามมาด้วยผู้คุ้มกันกว่าสิบคน
ตอนนี้ตำแหน่งขุนนางของเขาเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อำนาจของเขาก็มากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าย่อมสร้างศัตรูมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้กระทั่งรอบกายของมู่ซืออวี่ยังมีผู้คุ้มกันอยู่ลับ ๆ ก่อนหน้านี้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ยินดีให้ผู้ใดติดตามนาง ทว่าตอนนี้นางยอมรับไว้แล้ว บางทีผ่านไประยะหนึ่งนางอาจคุ้นชินกับชีวิตเช่นนี้
คนทั้งขบวนกลับมายังสกุลลู่อย่างเอิกเกริก
ฉานอีไปเรียกติงเซียงมา เมื่อติงเซียงมองอาการบาดเจ็บของหร่วนฉีแล้วจึงกล่าวว่า “พิษนี้รักษาได้ไม่ยาก ข้าจะไปเตรียมยาประเดี๋ยวนี้”
“ดียิ่งนัก” มู่ซืออวี่กล่าว “ไม่เช่นนั้นคนที่งดงามเพียงนี้คงต้องมาตายที่นี่แล้ว”
“งดงามหรือ?” ลู่อี้เลิกคิ้วขึ้น
มู่ซืออวี่เข้าไปกอดแขนเขา “สามีของข้างดงามที่สุด”
ลู่อี้ดีดหน้าผากนางเบา ๆ “เมื่อครู่นี้เจ้าง่วงนอนเสียจนลืมตาไม่ได้ไม่ใช่หรือ? รีบไปหาอะไรทานรองท้องหน่อยเถอะ ตอนนี้เจ้าต้องทานอาหารเลี้ยงคนสองคน”
มู่ซืออวี่กลับมาที่ห้องของนาง ขณะที่กำลังสะลึมสะลือ นางสังเกตเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ข้าง ๆ จึงลืมตาขึ้นมามอง เมื่อเห็นลู่อี้จึงเอ่ยถาม “เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังไม่ฟื้น”
“อ้อ”
เช้าวันถัดมา มู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมาแล้วไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“วันนี้ข้าจะไม่ออกไปข้างนอก เพียงแค่มวยผมง่าย ๆ เถอะ!”
“เจ้าค่ะ”
“คุณชายหร่วนฟื้นหรือยัง?”
“บ่าวรู้ว่าฮูหยินจะต้องนึกถึงคุณชายที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนนี้เป็นแน่จึงไปดูตั้งแต่เช้าตรู่ ถึงได้พบว่าเขาจากไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”
“ไปแล้ว?”
“ได้ยินมาจากบ่าวรับใช้ในจวนว่าเขาเพิ่งฟื้นก็จากไปแล้วเจ้าค่ะ”
“พิษในร่างกายเขาคงยังขับออกมาไม่หมดกระมัง?”
“ติงเซียงบอกว่ามันเป็นเพียงยาพิษธรรมดา ข้าคิดว่าตัวเขาเองคงรู้จึงออกจากที่นี่และไปพบท่านหมอแล้วกระมังเจ้าคะ”
“คนผู้นี้เป็นอะไรไปนะ? เหตุใดต้องทำตัวลึกลับ?” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้ารู้แล้ว เขาต้องไม่รู้ว่าที่นี่คือจวนของข้าเป็นแน่จึงรีบจากไปเช่นนี้”
“ก่อนที่เขาจะจากไป เขาถามว่าผู้ใดช่วยชีวิตเขาเอาไว้ด้วย เขาทราบแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่หัวเราะเหอะ ๆ ออกมา “เจ้าหมาป่าตาขาวผู้นี้ ครั้งหน้าอย่าตกลงมาในรถม้าของข้าเชียว มิฉะนั้นข้าจะโยนออกไปเสีย”
“บางทีเขาอาจมีเรื่องด่วนต้องจัดการกระมังเจ้าคะ!” ซางจือที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมา
“นี่… ก็มีความเป็นไปได้” มู่ซืออวี่กล่าว “เพียงแต่เขาได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บจากอาวุธหลายชนิด ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ณ หน่วยลับ ลู่อี้นั่งอยู่ในห้องตำรา เมื่อเห็นฉีเซียวเดินเข้ามาจากข้างนอก เขาก็ยืนขึ้นและเอ่ยว่า “ใต้เท้าฉี ข้ารอท่านอยู่ที่นี่นานแล้ว”
“ใต้เท้าลู่มีเรื่องอันใด?”
“มีเรื่องเล็กน้อย”
“เช่นนั้นใต้เท้าลู่เล่าสั้น ๆ เถิด ข้ากำลังยุ่งอยู่กับบางอย่างเช่นกัน ไม่มีเวลาพูดคุยลงรายละเอียดเท่าใดนัก”
“ใต้เท้าฉีดูไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า คงไม่ได้ป่วยแล้วกระมัง?” ลู่อี้มองฉีเซียว
ฉีเซียวเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งสงบ “เปล่า เพียงแต่ช่วงนี้มีเรื่องมากมาย ข้าจึงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น”
“เช่นนั้นช่างน่าเสียดายจริง ๆ เดิมทีข้าต้องการหยิบยืมความช่วยเหลือจากหน่วยลับ ในเมื่อใต้เท้าฉีเหนื่อย ข้าคงต้องหาทางออกด้วยตนเอง”
“ใต้เท้าลู่ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”
“คราวนี้นักโทษคนสำคัญหนีไปที่จวนขององค์ชายรองแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “ข้าอยากจะยืมคนจากใต้เท้าฉีสักสองคนให้ลอบเข้าไปสืบหาข้อมูลที่จวนองค์ชายรอง”
[1] เปรี้ยว เป็นคำที่สตรีมักใช้เมื่อคนรักมีท่าทีอิจฉา