บทที่ 601 ใต้เท้าฉีช่างแปลกจริง ๆ
บทที่ 601 ใต้เท้าฉีช่างแปลกจริง ๆ
“เรื่องนี้ง่ายดาย ท่านไปเลือกเอาเถอะ!” ฉีเซียวกล่าว
หน่วยลับมีคนมากความสามารถทุกแขนง ขอแค่เพียงมีฝีมือ แม้นจะเป็นขโมยขโจรมาก่อนก็สามารถเข้าหน่วยลับได้
แน่นอนว่า ในเมื่อเข้ามาในหน่วยลับแล้วย่อมถูกควบคุมโดยหน่วยลับ หากคนของหน่วยลับกระทำความผิด บทลงโทษย่อมรุนแรงกว่าผู้อื่น คนที่หวงแหนชีวิตตนเองย่อมรู้ว่าไม่ควรฝ่าฝืนข้อห้าม
ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยลับอยู่ภายใต้การบัญชาการของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหรือความมั่นคั่งล้วนแต่สูงกว่ากรมกองอื่น ๆ มีเพียงคนโง่งมเท่านั้นที่จะเสี่ยงชีวิตกระทำผิด
ลู่อี้มองฉีเซียว
ฉีเซียวสวมหน้ากากเอาไว้ ย่อมมองไม่เห็นหน้าตาของเขา
ทว่าดวงตาของเขา…
ค่อนข้างเหนื่อยล้า
ไม่คมปลาบเยือกเย็นดังเช่นยามปกติแม้แต่น้อย
“ใต้เท้าฉี ท่านไม่เป็นอันใดจริงหรือ?”
“ข้าไม่เป็นไร”
สายตาของลู่อี้ยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างฉีเซียว
“วันนี้ใต้เท้าฉีดูสวมใส่เสื้อผ้าหนาไปหน่อยนะ”
“อากาศเริ่มหนาวขึ้นมาแล้ว ข้ากลัวความหนาว อดที่จะใส่ให้หนาหน่อยไม่ได้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ “เช่นนั้นรบกวนคนของใต้เท้าฉีนำทางด้วย ข้าจะไปเลือกคนประเดี๋ยวนี้”
ฉีเซียวจัดการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งนำทางลู่อี้ไป
ทันทีที่ลู่อี้จากไป ฉีเซียวก็ครางออกมาเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโต๊ะ
“ใต้เท้า ท่านได้รับบาดเจ็บ แทบลุกจากเตียงเดินไปเดินมาไม่ได้ ท่านควรนอนพักฟื้นสักสองสามวันนะขอรับ” คนสนิทข้าง ๆ กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อครู่นี้เจ้าไม่เห็นหรือ? ลู่อี้เริ่มสงสัยข้าแล้ว” ฉีเซียวเอ่ย “หากลู่อี้รู้ ไม่นานก็จะมีคนที่สอง คนที่สาม… คนที่รู้ตัวตนของข้าจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น ฉีเซียวก็ถอดหน้ากากบนใบหน้าออก
เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามเลิศล้ำ
หากมู่ซืออวี่อยู่ที่นี่ คงต้องตะลึงงันอย่างแน่นอน
หร่วนฉีคือฉีเซียว!
ฉีเซียวก็คือหร่วนฉี!
เห็นได้ชัดว่าเป็นคนสองคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย บัดนี้กลับกลายมาเป็นคนเดียวกันได้
แซ่หร่วนเป็นแซ่ของมารดาฉีเซียว นี่เป็นชื่อที่เขาใช้ยามปลอมแปลงตนอยู่ข้างนอก ส่วนฉีเซียวเป็นชื่อที่แท้จริงของเขา
เขาได้พบกับมู่ซืออวี่นับว่าเป็นโชคชะตา
ตอนนั้นเขาเดิมพันกับคนอื่นและพ่ายแพ้ดังที่ทุกคนคาดไว้ เขาจึงแปลงโฉมเป็นสตรี อาศัยอยู่ในเมืองฮู่เป่ยเป็นเวลาหนึ่งปี
เหตุผลที่เขาต้องอาศัยอยู่ในเมืองฮู่เป่ยเป็นเวลาหนึ่งปี แน่นอนว่าเพื่อจัดการคดี ตอนนั้นเจียงเก๋อเหล่ารั้งอยู่ในเมืองฮู่เป่ยด้วยข้ออ้างคือต้องการรักษาสุขภาพตนเอง ทว่ากลับเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ เป็นกิจการของสกุลหร่วน สกุลหร่วนแรกเริ่มเดิมทีเป็นสกุลช่างฝีมือที่ยอดเยี่ยม ช่างฝีมือสกุลโม่ที่มือชื่อเสียงโด่งดัง เดิมทีเรียนรู้มาจากสกุลหร่วน ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ งานฝีมือของสกุลหร่วนค่อย ๆ ถดถอยลง สกุลโม่จึงโดดเด่นขึ้นมานับแต่นั้น
เสนาบดีกรมโยธาธิการคนปัจจุบันเป็นคนสกุลโม่ เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการหลายคนก็มาจากสกุลโม่ สกุลโม่หลงลืมรกรากและบรรพบุรุษของตนว่าเป็นผู้ใดไปนานแล้ว
นี่ออกนอกประเด็นไปแล้ว
ฉีเซียวถอดเสื้อคลุมของเขาออก เผยให้เห็นบาดแผล
ตรงนั้นมีเลือดไหลออกมา
“ข้าน้อยจะไปเชิญท่านหมอมาประเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง” ฉีเซียวเอ่ย “เจ้าเข้ามาช่วยข้าพันแผลก็ใช้ได้แล้ว”
“ข้าน้อยไม่ได้มือเบา เกรงว่าหากทำให้ท่านเจ็บคงไม่ดีแน่”
“ไม่เป็นไร”
ลู่อี้พาห้าคนออกไปจากหน่วยลับ
เขานั่งอยู่บนรถม้า มองไปทางหน่วยลับ
ฉีเซียวผู้นี้…
ดูเหมือนต้องตรวจสอบอีกครั้งแล้ว
ณ ศาลต้าหลี่ เซี่ยคุนฟังการคาดเดาของลู่อี้แล้วจึงกล่าวขึ้น “ใต้เท้าฉีไม่เคยถอดหน้ากากออก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาหน้าตาเช่นไร มีคนกล่าวว่าเขาน่าเกลียดน่ากลัวราวกับผีร้าย การคาดเดาของใต้เท้าไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ บางทีข่าวลือนั้นที่บอกว่าเขาน่าเกลียดราวกับผีร้ายอาจเป็นเขาที่ปล่อยออกมาเอง เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสนใจในรูปโฉม เอาเป็นว่าข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”
“ตรวจสอบอย่างลับ ๆ หากตรวจสอบอันใดออกมาไม่ได้ก็อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น กล่าวกันตามเหตุผลแล้วเขาจะเป็นผู้ใดก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่หากเขาใกล้ชิดสนิทสนมกับฮูหยิน ข้าย่อมต้องตรวจสอบ”
“ใต้เท้าห่วงว่าเขาจะล่อลวงฮูหยินหรือ?”
“ฮูหยินไม่ได้ถูกหลอกง่ายดายเพียงนั้น แต่เขาเข้าหาฮูหยิน จะต้องมีจุดประสงค์เป็นแน่ ข้าไม่อาจปล่อยความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตรายใด ๆ ขึ้น ต้องตรวจสอบออกมาให้กระจ่างข้าจึงจะวางใจ”
การเก็บความลับของหน่วยลับแน่นหนาเป็นอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดเซี่ยคุนก็ตรวจสอบออกมาไม่ได้ ลู่อี้สอบถามเรื่องของหร่วนฉีกับมู่ซืออวี่ แต่สิ่งที่มู่ซืออวี่รู้กลับมีไม่มากนัก รู้เพียงแค่ว่าฝีมือทำงานไม้ของเขาดียิ่งกว่านาง ส่วนเรื่องที่เขาสวมชุดพรางตัววันนั้น นางก็ไม่เคยพบหร่วนฉีในสภาพเช่นนี้มาก่อน แม้แต่นางยังสงสัยว่าตนจำคนผิดหรือไม่
ในเมื่อตรวจสอบไม่พบ นั่นหมายความว่ามีคนปิดบังไม่ให้พวกเขาตรวจสอบพบ ทำให้มีพิรุธยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ในใจของลู่อี้มีการคาดเดาแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องล้วงลึกไปให้ถึงต้นตอ
ท่ามกลางความวุ่นวายยุ่งเหยิงทั้งปวง ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานจะสอบขุนนาง
อายุครรภ์ของมู่ซืออวี่ได้สามเดือนแล้ว หน้าท้องเพิ่งโผล่ออกมาให้เห็นเล็กน้อย
ระยะนี้นางทำอาหารรสเลิศให้ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานทานทุกวัน โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนช่วยบำรุงสมอง นางทำทุกอย่างที่สามารถเพิ่มรอยหยักในสมองได้ อีกนิดก็แทบจะทำให้ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานอาเจียนออกมาแล้ว
และแล้วการสอบเซียงซื่อ*[1] ก็เดินทางมาถึง
“ฮูหยิน มีแขกมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดหรือ?”
ฉินเหวินหานเดินเข้ามาจากข้างนอก ประกบมือคำนับมู่ซืออวี่ “คารวะฮูหยินลู่”
“นายน้อยฉิน ไม่ถูกสิ ตอนนี้ควรเป็นเถ้าแก่ฉินแล้ว ข้าได้ยินซูอวี้บอกว่าท่านได้รับสืบทอดสกุลฉินแล้ว”
ฉินเหวินหานยิ้มบาง ๆ แล้วตอบ “ใช่”
“รีบนั่งเร็วเข้า”
ฉินเหวินหานนั่งลงแล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “วันนี้ข้ามาส่งขนมงานมงคล”
“ท่านจะแต่งงานแล้วหรือ?”
“ใกล้แต่งงานแล้ว” ฉินเหวินหานเอ่ย “เจ้าสาวข้า ท่านเองก็รู้จัก”
“คงไม่ใช่ซูอวี้กระมัง?”
ฉินเหวินหานยิ้มบาง ๆ “ใช่”
“ตอนนั้นข้าคิดว่าพวกท่านมีอะไรบางอย่าง แต่เพราะสกุลท่านจัดการงานสมรสให้ท่านแล้ว ยังคิดว่าพวกท่านไม่มีโชคชะตาต่อกันเสียอีก” มู่ซืออวี่เอ่ย “ปีก่อนข้ายังได้รับจดหมายจากซูอวี้ บอกว่านางกำลังจะแต่งงาน แต่เจ้าบ่าวที่เอ่ยถึงในนั้นไม่ใช่ท่านนี่!”
“ขอเพียงแค่มีความจริงใจ แม้เป็นหินทองคำก็ยังสั่นสะเทือนได้ ตอนแรกเริ่มนั้นนางเข้าใจข้าผิดจึงมีคนฉกฉวยโอกาสนี้ไป ข้าจึงต้องแย่งชิงนางกลับมา ข้าใช้ความพยายามมากมายกว่าจะชิงงานแต่งนี้มาได้ จากนั้นก็ใช้ความจริงใจของข้าทำให้นางใจอ่อน นางจึงรับปากจะแต่งให้ข้า ทว่านางกล่าวว่าต้องการให้ท่านเห็นด้วย หากข้าผ่านการทดสอบของท่านไปไม่ได้ นางจะยังไม่แต่งงาน ดังนั้นฮูหยินลู่ ท่านช่วยเอ่ยคำพูดดี ๆ ให้ข้าด้วยเถิด”
“เป็นเช่นนี้เองหรือ…” มู่ซืออวี่ยิ้มออกมา “เถ้าแก่ฉินจริงใจเช่นนี้ ข้าย่อมอวยพรให้พวกท่าน”
ฉินเหวินหานจึงเล่าเรื่องถงซื่อและคนอื่น ๆ ให้ฟัง
เจิ้งซูอวี้เอ่ยกำชับมาว่ามู่ซืออวี่อยู่ทางนี้จะต้องคิดถึงถงซื่อเป็นแน่ จึงให้เขาเล่าเรื่องของพวกเขาให้ฟังมาก ๆ
“จริงสิ ครั้งนี้ท่านจะอยู่กี่วันหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็มาเยี่ยมท่านเลย คงอยู่ต่ออย่างน้อยประมาณครึ่งเดือน”
“น้องเล็กเจิ้งหานกำลังสอบ หากท่านไม่รีบร้อนอยู่รออีกสักสองสามวันเถิด รอผลสอบเซียงซื่อประกาศออกมา รอดูว่าน้องเล็กสอบผ่านหรือไม่แล้วค่อยไป เช่นนี้จะได้ไปแจ้งข่าวให้พวกท่านแม่ข้าด้วย”
“ได้ ไม่มีปัญหา” ฉินเหวินหานเอ่ย “ฮูหยินลู่ตั้งครรภ์อีกแล้วหรือ?”
มู่ซืออวี่ยกมือขึ้นลูบท้อง “สายตาท่านเฉียบแหลมยิ่งนัก”
สกุลฉินมีเรือนย่อยอยู่ในเมืองหลวง หลังจากสนทนากันแล้ว ฉินเหวินหานจึงขอตัวกลับไป
ฉินเหวินหานมอบของขวัญไว้ให้ไม่น้อย แน่นอนว่ายังมีกล่องที่เจิ้งซูอวี้มอบให้มู่ซืออวี่ต่างหาก
[1] เซียงซื่อ คือการสอบขุนนางระดับมณฑล จัดขึ้นทุก ๆ สามปี ผู้ที่สอบผ่านจะได้เลื่อนเป็นจวี่เหริน จากนั้นจึงจะมีสิทธิ์สอบระดับที่สูงขึ้น