บทที่ 605 นางจัดการได้ดีทีเดียว
บทที่ 605 นางจัดการได้ดีทีเดียว
ทั้งฮูหยินหวังและฮูหยินหร่วนล้วนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
เรื่องราวทั้งหมดแสดงขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้ข้อติ พวกนางไม่อาจปกป้องลูกสาวของตนได้แม้จะต้องการปกป้องเพียงใด ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของลูกสาวพวกนางคงป่นปี้ และชื่อเสียงด้านคุณธรรมจริยธรรมของพวกนางก็จะเสื่อมเสียไปด้วย
มู่ซืออวี่และฮูหยินเจี่ยที่รุดมาเดินเข้ามาในตอนนี้เอง
“ได้ยินว่าแม่นางทั้งสองลื่นตกลงไปในสระน้ำหรือ?” มู่ซืออวี่ถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นกัน? บ่าวรับใช้ดูแลอย่างไร?”
“ฮูหยินลู่….” ฮูหยินหวังและฮูหยินหร่วนเอ่ยทักทายมู่ซืออวี่
สีหน้าของมู่ซืออวี่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ฮูหยินทั้งสองท่าน ต้องขออภัยจริง ๆ บ่าวรับใช้ของข้าดูแลท่านได้ไม่ดีเอาเสียเลย นึกไม่ถึงว่าจะทำให้แม่นางทั้งสองตกน้ำแล้ว ได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่? เชิญท่านหมอแล้วหรือยัง?”
“ไม่ได้ร้ายแรงอะไร” ฮูหยินหวังเอ่ย “ไม่โทษบ่าวรับใช้จวนท่าน เป็นเด็กบ้านข้าที่เสียมารยาทเอง รอกลับไปที่จวน ข้าจะต้องให้แม่นมสั่งสอนขนบธรรมเนียมนางให้ดี”
“แม่นางสองนี้เดิมทีก็ได้รับความตื่นตระหนก ไม่อาจให้พวกนางต้องได้รับความหวาดกลัวอีกได้” มู่ซืออวี่เดินเข้าไปหาคุณหนูหวังและคุณหนูหร่วน “แม่นางทั้งสอง ข้าให้บ่าวรับใช้ทำน้ำขิงมาให้ พวกเจ้าดื่มขับไล่ความหนาวเถิด”
“ขอบคุณฮูหยิน”
คุณหนูหวังและคุณหนูหร่วนกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจภายใต้สายตาตักเตือนจากมารดาของตน
“ลื่นไถลตกลงน้ำไปจริง ๆ หรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่มา นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“ฮูหยินลู่ เป็นพวกนางไม่ระวัง จึงตกลงไปในน้ำจริง ๆ” ฮูหยินหร่วนเอ่ยขึ้น “ท่านวางใจเถิด ไม่ได้ร้ายแรงอะไร”
“มีเพียงปลาตายยี่สิบตัวเจ้าค่ะ” ติงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ กล่าว
แม่ลูกสกุลเจียงและสกุลหร่วนแสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
สกุลลู่คงไม่ให้พวกนางชดใช้เรื่องปลากระมัง?
ปลาสามพันตำลึงเงิน ผู้ใดจะร่ำรวยอู้ฟู่ได้เท่าสกุลลู่อีกเล่า?
“พูดถึงปลาอะไรกัน?” มู่ซืออวี่เหลือบตามองติงเซียง “วันนี้มีเรื่องมากมายหลายอย่างให้ต้องทำ รอข้าเสร็จเรื่องราวแล้วจะมาจัดการพวกเจ้า แม้กระทั่งปลาก็ยังดูแลได้ไม่ดี”
ท้ายที่สุดคุณหนูหวังและคุณหนูหร่วนไม่ได้ปริปากบ่นแม้แต่น้อย เรื่องราวจึงจบลงเช่นนี้
ฮูหยินทั้งสองพาลูกสาวของพวกนางออกไปจากที่นี่
เมื่อห้องว่างลงแล้ว ฮูหยินเจี่ยจึงตำหนิเจี่ยหลิงหลง “เหตุใดเจ้าบุ่มบ่ามเช่นนี้? ผู้อื่นกล่าวสิ่งใดก็ให้กล่าวไป ไม่ใช่ว่าจะเสียเนื้อไปชิ้นสองชิ้นเสียหน่อย”
“ข้า…” เจี่ยหลิงหลงอ้าปากอย่างไม่ยินยอม ทว่าท้ายที่สุดนางยังคงไม่กล่าวแย้งคำตำหนิของมารดา
“ท่านน้าเจี่ย ไม่ใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านคิดว่านี่เป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ ทว่าคนเหล่านี้มักจะประจบประแจงผู้สูงกว่าและเหยียบย่ำผู้ต่ำกว่าเสมอ การยินยอมของท่านรังแต่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนถูกต้อง และคิดว่าเกียรติของท่านเป็นสิ่งไร้ค่าที่พวกเขาสามารถเหยียบย่ำได้ตามใจชอบ ท่านอยู่ที่บ้านทั้งวัน ไร้เรื่องไร้ราวกับผู้ใด นี่ไม่นับเป็นอะไร แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าผู้อื่นจะดูแคลนหลิงหลง เช่นนั้นภายภาคหน้าเรื่องแต่งงานของหลิงหลงจะทำอย่างไร? สกุลสูงกว่าไม่ได้ ทำได้เพียงแต่งกับสกุลต่ำลงมา ทว่าหลังจากแต่งงานแล้ว หลิงหลงจะหลีกเลี่ยงคำนินทาว่าร้ายเหล่านี้ได้หรือ? เช่นนี้เดิมทีการหลบเลี่ยงก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้แต่น้อย”
“ฟังเอาซี ท่านยังไม่เข้าใจเท่าเด็กคนหนึ่งเลย” มู่ซืออวี่เอ่ย “อยากให้ผู้อื่นให้ความเคารพพวกท่านสองแม่ลูก พวกท่านก็ต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นมา”
“ข้าเองก็รู้ เพียงแค่วันนี้ไม่อยากสร้างปัญหาให้พวกท่าน” ฮูหยินเจี่ยเอ่ย
“วันนี้ไม่อยากสร้างปัญหาให้ข้า วันพรุ่งไม่อยากสร้างปัญหาให้ผู้อื่น อย่างไรเสียท่านก็มีเหตุผลมากมายก่ายกอง” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้ากลับรู้สึกว่าหลิงหลงมีความกล้าเช่นนี้เพื่อมารดาของนาง นางทำได้ดียิ่ง หากคนผู้หนึ่งดูหมิ่นมารดาเจ้าต่อหน้าเจ้า เช่นนี้แล้วยังสามารถทนได้ นั่นไม่ใช่ความรอบคอบถี่ถ้วน แต่เป็นความขลาดเขลา”
ด้านหลังภูเขาจำลอง ลู่ฉาวอวี่ถอดเสื้อคลุมออกแล้วหาที่นั่ง
วันนี้แขกทั้งหลายล้วนมาที่นี่เพื่อเขา ถึงแม้เขาจะยังเล็กไม่ต้องดื่มสุรา ทว่าการถูกลากตัวไปมาเพื่อทักทายและฟังคำเยินยอต่าง ๆ นานาก็ทำให้เขาหมดความอดทน
ในที่สุดความเงียบสงบของที่นี่ก็ทำให้เขาผ่อนคลายลงได้
“เจ้าชอบภูเขาจำลองแห่งนี้ จึงมานั่งเล่นอยู่ที่นี่โดยเฉพาะหรือ?”
น้ำเสียงใสกระจ่างรื่นหูเสียงหนึ่งดังขึ้น
ลู่ฉาวอวี่ลืมตาขึ้น หันไปมองทางที่มาของเสียง
ปรากฏว่ามีหัวน้อย ๆ หัวหนึ่งโผล่ออกมา แม่นางน้อยที่มวยผมแกละห้อยลงมาสองข้างนอนอยู่บนก้อนหินกำลังมองลงมาที่เขา สายตาเฉลียวฉลาดคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
“เจ้าเป็นผู้ใด?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม
“มีใครหยาบคายอย่างเจ้ากัน เจ้าไม่ควรบอกชื่อสกุลของตนก่อนจะถามชื่อข้าหรือ?” แม่นางน้อยผู้นั้นเอ่ยพร้อมกับยิ้มตาหยี
“ข้าลู่ฉาวอวี่”
“ลู่ฉาว… เจ้าคือเจี้ยหยวนครั้งนี้หรือ” แม่นางน้อยเอ่ย “ท่านพ่อของข้าเอ่ยถึงเจ้า บอกว่าบทความที่เจ้าเขียนทำให้บัณฑิตที่มีชื่อเสียงมากมายรู้สึกว่าตนด้อยกว่า ที่แท้เจ้าเยาว์วัยเพียงนี้ อีกทั้งหน้าตายังดียิ่ง…”
“เจียซือ… เจียซือ…”
“อ๊ะ ข้าอยู่นี่…”
แม่นางน้อยขานรับ ก่อนจะเอ่ยกับลู่ฉาวอวี่ “พี่หญิงของข้าเรียกหาแล้ว ข้าไปก่อน”
ลู่ฉาวอวี่มองแม่นางน้อยผู้นั้นกระโดดลงไป ราวกับกระต่ายตัวน้อยตัวหนึ่ง
เขาสั่นศีรษะเบา ๆ หาตำแหน่งใหม่ก่อนจะพิงลงไปพัก
เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลบซ่อนตัว เพียงแค่อยากอยู่เงียบ ๆ สักครู่ รอจิตใจสงบลงแล้วค่อยกลับไปพูดคุยต่อ
“สิงเจียซือ เหตุใดเจ้าวิ่งไปทั่วเช่นนี้?” หญิงสาวอายุราว ๆ สิบห้าสิบหกผู้หนึ่งดีดหน้าผากแม่นางน้อยเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ที่นี่คือจวนลู่ ไม่ใช่บ้านเรา หากไปก่อเรื่องเข้า ดูซิว่าท่านพ่อท่านแม่จะลงโทษเจ้าอย่างไร”
“จวนลู่งามมากเลย” สิงเจียซือเอ่ย “โดยเฉพาะหินเหล่านี้ งามเหลือเกิน…”
“ใต้หล้านี้มีคนแปลกประหลาดอย่างเจ้าได้อย่างไรกัน? ผู้อื่นชมชอบทอง เงิน เครื่องประดับ เจ้ากลับชอบหินแปลก ๆ พวกนี้”
“ทุกคนล้วนมีความสนใจแตกต่างกัน! ท่านพ่อชอบสะสมแท่นฝนหมึก ท่านแม่ชอบสะสมปิ่นปักผมที่งดงาม พี่หญิงชอบสะสมพัด ข้าก็ชอบหิน นี่ผิดหรือ?”
สิงเจียโหรวส่ายหน้าเบา ๆ “พึ่งพาอะไรเจ้าไม่ได้จริง ๆ”
“ท่านไม่ต้องพึ่งพาอะไรข้า ท่านเพียงแค่พึ่งพี่เขยก็พอแล้ว” สิงเจียซือชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยว่า “นั่น พี่เขยมาแล้ว”
สิงเจียโหรวมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความขัดเขิน
“เจ้ารีบกลับไปอยู่ข้างกายท่านแม่เถอะ นางหาเจ้าอยู่นานแล้ว”
“ข้ารู้แล้ว ข้าไม่รบกวนท่านและพี่เขยตอนกระซิบกระซาบกันหรอก”
หลังจากมู่ซืออวี่จัดการเรื่องของสกุลหวังและสกุลหร่วนแล้ว นางกลับไปยังเรือนรับรองแขกฝ่ายหญิง นอกจากจวิ้นจู่ หวางเฟย และเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายที่คบหาได้ไม่ง่าย ผู้อื่นยังคงไว้หน้านางเป็นอย่างมาก
สิงเจียซือกลับมาอยู่ข้างกายฮูหยินสิงพอดี
เมื่อมู่ซืออวี่เห็นสิงเจียซือก็รู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก คล้ายคลึงกับลู่จื่อชิงลูกสาวคนเล็กของนางเป็นอย่างยิ่ง
“คุณหนูห้าอายุเท่าใดแล้วหรือ?”
“สิบปีแล้ว” ฮูหยินสิงเอ่ย “ทั้งวันนางไม่เคยอยู่นิ่งราวกับเป็นลิงป่า ทำให้ฮูหยินลู่ขบขันแล้ว”
“ท่านแม่พูดไปเรื่อย ลิงป่าที่ใดจะน่ารักอย่างข้าเล่า?” สิงเจียซือกล่าวจบก็หันไปมองมู่ซืออวี่ “ฮูหยิน ข้าขอของอย่างหนึ่งจากท่านได้หรือไม่?”
“เจียซือ!” ฮูหยินสิงตกตะลึง มองบุตรสาวด้วยความโมโห
มู่ซืออวี่กลับไม่ได้โกรธอะไร เพียงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ไหนว่ามา ดูว่าข้าจะทำได้หรือไม่”
“ภูเขาจำลองของท่านมีหินสีแดงก้อนหนึ่ง ข้าเห็นว่ามันสวยดี ข้าอยากขอมันจากท่าน” สิงเจือซือกล่าว “ได้หรือไม่เจ้าคะ?”