สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 611 บิดาเอวไม่ดี

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 611 บิดาเอวไม่ดี

บทที่ 611 บิดาเอวไม่ดี

ในห้องตำรา มู่ซืออวี่มองข้อมูลแผ่นแล้วแผ่นเล่า แล้วจึงเอ่ยว่า “สตรีในพระตำหนักกานลู่ล้วนเป็นสตรีจากหอโคมเขียวทั้งหมดเลยหรือ?”

“ไม่ผิด” เซี่ยคุนเอ่ย “ล้วนเป็นสตรีจากหอโคมเขียวที่มาจากหลายแห่ง บ้างเป็นคณิกามีชื่อ บ้างเป็นนางคณิกาลับ ๆ ยังมีส่วนหนึ่งเป็นม้าผอมจากหยางโจว*[1] ด้วย”

“น่าสนใจจริง ๆ”

ถึงแม้จะรู้ว่าฮ่องเต้ผู้นี้ไม่เอาไหน ทว่าความไม่เอาไหนนี้ก็เป็นสิ่งแปลกประหลาดเล็ก ๆ ท่ามกลางสิ่งแปลกประหลาดอีกมากมาย กษัตริย์เป็นเช่นนี้แล้วยังไม่มีคนก่อกบฏ เห็นได้ชัดว่าเขาเก่งกาจเรื่องการถ่วงดุลอำนาจ

นางค้นหาข้อมูลของสตรีที่เห็นในวันนี้ท่ามกลางข้อมูลของสตรีเป็นปึก

ไม่รู้ว่าตนคิดมากเกินไปหรือไม่ ถึงได้รู้สึกว่าสายตาของสตรีนางนั้นยามจ้องมองนางไม่ได้ดูเป็นมิตรนัก

ถึงแม้สตรีตั้งครรภ์จะอ่อนไหวเป็นเรื่องธรรมดา ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับคนที่ทำให้นางรู้สึกเช่นนี้ ดังนั้นตรวจสอบเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ตามมาน่าจะดีกว่า

“ฮูหยินกำลังหาอะไรหรือ?” เซี่ยคุนเอ่ยถาม “หรือว่าท่านอยู่ในวังแล้วพบเจอเรื่องบางอย่างเข้า?”

“วันนี้ข้า…” มู่ซืออวี่เล่าเรื่องที่ตนพบเจอให้เซี่ยคุนฟัง

“สถานที่รกร้างว่างเปล่าเช่นนั้นขุดพบศพมากมาย ฮูหยินยังกล้ารั้งอยู่ในวังหลวง ข้าไม่เคยพบเจอสตรีที่กล้าหาญชาญชัยอย่างท่านเลยจริง ๆ” เซี่ยคุนสั่นศีรษะเบา ๆ “ทั่วทั้งใต้หล้า คงมีเพียงใต้เท้าลู่ของพวกเราที่รับนิสัยใจคออันไม่ด้อยไปกว่าบุรุษของท่านได้”

“พี่เซี่ยว่าร้ายอะไรข้าอีกหรือ?” ลู่อี้เดินเข้ามา “ได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่าพวกเจ้ากำลังปรึกษาเรื่องบางอย่างกัน เดิมทีข้าไม่อยากรบกวน ทว่าพวกเจ้าพูดคุยกันนานเพียงนี้ ข้าจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว”

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มู่ซืออวี่ถึงได้คิดจะปิดเขา แล้วหันไปปรึกษากับเซี่ยคุนโดยตรง

“ฮูหยินบ้านท่านร้ายกาจนัก” เซี่ยคุนเอ่ย “เรื่องนี้ยังคงให้ใต้เท้าลู่ช่วยแนะนำท่านเถอะ ข้าเพียงแค่คอยช่วยเหลือเท่านั้น หากมีเรื่องอะไรก็ให้ใต้เท้าลู่สั่งข้ามา”

เซี่ยคุนไปแล้ว ในห้องตำราเหลือเพียงมู่ซืออวี่และลู่อี้เท่านั้น

สองสามีภรรยาปรึกษาหารือจำเป็นต้องใช้ห้องตำราที่ใดกัน กลับไปยังห้องของพวกเขาไม่ดีกว่าหรือ ถ้านอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ต้องการปรึกษาสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น อย่างไรก็ดี ลู่อี้หยิบภาพเหมือนมาจากมือของภรรยา สังเกตภาพเหมือนและชื่อที่อยู่บนนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน

“เจ้ากำลังตรวจสอบพระตำหนักกานลู่หรือ?”

“ข้าไม่ได้ต้องการตรวจสอบพระตำหนักกานลู่ แต่ต้องการตรวจสอบสตรีนางหนึ่งที่อยู่ในนั้น” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าบังเอิญพบฮ่องเต้และสตรีนางหนึ่งวันนี้ สตรีผู้นั้นดูเหมือนจะคิดร้ายต่อข้า”

“เจ้าบอกรูปร่างลักษณะของนางมา ข้าจะไปตรวจสอบ”

“นางหน้าตา… ข้าจำไม่ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่านางงดงามทีเดียว แต่ข้ากลับจดจำไม่ได้เลย” มู่ซืออวี่เอ่ย “จริงสิ ข้ามองไม่เห็นทั้งใบหน้าของนาง”

จากมุมมองของมู่ซืออวี่แล้ว นางเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างหรือด้านหลังศีรษะของอีกฝ่ายเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถจำได้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม จากใบหน้าด้านข้างนั้นก็ยังพอมองออกว่าใบหน้าของสตรีนางนี้ไม่เลวเลย

“วันนี้นางนั่งเสลี่ยงมังกรมากับฝ่าบาท คิดว่าคนที่พบเห็นคงมีไม่น้อย ลองสอบถามดูรอบ ๆ ย่อมได้ความว่าเป็นผู้ใด”

“สามีช่างเก่งกาจจริง ๆ”

“ไทเฮาจงใจควบคุมเจ้าไว้ในกำมือของนาง เจ้ารู้ความลับของนางแล้ว หากไม่กลายเป็นคนตายก็ต้องเป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกับนาง ยายเฒ่าผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก”

“ข้ามีท่านอยู่ ข้าไม่กลัวนางหรอก”

“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว”

เขามีจุดอ่อนของไทเฮาอยู่ในกำมือ ปกติสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หากนางกล้าแตะต้องฮูหยินของเขา เช่นนั้น เรื่องฉาวโฉ่เหล่านั้นของไทเฮาย่อมไม่อาจปิดบังไว้ได้อีกต่อไป ถึงตอนนั้นดูซิว่านางจะแสร้งเป็นมารดาของใต้หล้าต่อไปอย่างไร

หลังจากออกมาจากห้องตำรา มู่ซืออวี่และลู่อี้ไปหาเด็ก ๆ

ลู่ฉาวอวี่นั้นไม่ต้องเอ่ยถึง เขาเริ่มอ่านตำราอย่างขะมักเขม้นอีกครั้ง

นางจึงลากเขาออกมาและพาเขาไปหาลู่จื่ออวิ๋นและลู่จื่อชิง

ลู่จื่ออวิ๋นกำลังย้อมผ้า มือทั้งสองของนางเต็มไปด้วยสีย้อมผ้า กระทั่งใบหน้าเล็ก ๆ นั่นยังมีสีเปรอะเปื้อน ดูน่าขันและน่าปลื้มปีติไปในคราวเดียวกัน

เมื่อดูลูกสาวและลูกชายของนางแล้ว แต่ละคนล้วนโดดเด่น เพียงแค่มองเช่นนี้หัวใจก็รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา

“เจ้าอ่านอะไรน่ะ?” ลู่อี้เอ่ยกับลู่ฉาวอวี่

ด้วยเหตุนี้ มู่ซืออวี่จึงพาลูกสาวทั้งสองของนางเล่นถักเชือก บิดาและบุตรชายคู่นั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ กัน พูดคุยเรื่องในราชสำนัก สนทนากันเรื่อง ‘บ้านทองคำ’*[2]

มู่ซืออวี่กับลู่จื่ออวิ๋นมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา

สองแม่ลูกเข้าใจกันเป็นอย่างดีในตอนนี้เอง

ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยว่า “ท่านพ่อ เสี่ยวชิงเอ๋อร์อยากขี่ม้า”

“ดึกเพียงนี้…” เริ่มแรกลู่อี้ยังคงไม่รู้สึกตัว ยังไม่ทันสิ้นคำ เขาก็เข้าใจแล้วว่าเป็น ‘ม้าตัวนี้’ ไม่ใช่ ‘ม้าตัวอื่น’

เขาหันกลับไปมองลู่ฉาวอวี่ “พ่อเจ้าอายุมากแล้ว เอวไม่ดีนัก ไม่สู้ม้านี้ให้คุณชายเจี้ยหยวนเป็นแล้วกัน”

มุมปากของลู่ฉาวอวี่กระตุกโดยพลัน “เพื่อไม่ต้องเป็นม้าให้นาง แม้กระทั่งคำพูดเช่นนี้ท่านยังเอ่ยออกมาได้ ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องหญิงอยู่ที่นี่ ท่านไม่รักษาหน้าตาแล้วหรือไร?”

“หน้าตาล้วนมีไว้ให้คนนอกดู ต่อหน้าพวกเจ้าแล้ว พ่อก็คือพ่อ ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง” สิ้นคำ ลู่อี้ก็พาลู่ฉาวอวี่ไปเป็น ‘ม้า’ ให้ลู่จื่อชิง

มู่ซืออวี่แตะลงบนท้องของนาง มองดูพ่อลูกเล่นกันอย่างสนุกสนาน นางระบายรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า

“เป่าเป่า เห็นพ่อที่ดูเหมือนยังไม่โตของเจ้าหรือไม่? ยังมีพี่ชายของเจ้า พี่หญิงทั้งสองของเจ้า พวกเขาล้วนรอให้เจ้ามาเกิดอยู่นะ! รอเจ้าเกิดมาแล้ว เจ้าก็จะมีม้าขี่เช่นกัน”

ทารกในท้องราวกับสัมผัสบางอย่างได้ จึงเตะท้องนางเบา ๆ หนึ่งที

สายตาของมู่ซืออวี่แสดงความประหลาดใจออกมา “เขาเตะข้าแล้ว”

ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ครรภ์แรก แต่ทุกครรภ์ล้วนให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป

ลู่จื่ออวิ๋นยื่นมือมาแตะท้องของมู่ซืออวี่ เมื่อมือเล็ก ๆ ของนางสัมผัสรอยเตะจากน้องชายหรือน้องสาวในท้องได้ แววตาสุกสว่างของนางพลันเต็มไปด้วยความสุข

“น้องชายเตะข้าแล้ว”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นน้องชาย?”

“มีแรงเยอะถึงเพียงนี้จะไม่ใช่น้องชายได้อย่างไรเจ้าคะ? ตอนนั้นแรงเตะของเสี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่ได้มากเพียงนี้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ในท้องท่านแม่ครั้งนี้จะต้องเป็นน้องชายเป็นแน่”

“ข้าอย่างไรก็ได้ แค่เพียงเป็นลูกข้ากับพ่อเจ้าเป็นพอ ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงข้าล้วนชอบทั้งสิ้น”

หลังจากเล่นไปพักหนึ่งก็ดึกมากแล้ว เด็ก ๆ ถึงเวลากลับไปพักผ่อนที่ห้องของแต่ละคน

เสี่ยวชิงเอ๋อร์กอดคอของลู่ฉาวอวี่ไม่ยอมปล่อย “ท่านพี่อุ้ม ข้านอนกับท่านพี่”

“เสี่ยวชิงเอ๋อร์โตแล้ว นอนกับพี่ไม่ได้” ลู่ฉาวอวี่รีบห้ามนางโดยเร็ว

“เจ็ดปีไม่นั่งใกล้ เสี่ยวชิงเอ๋อร์ยังไม่เจ็ดปีเสียหน่อย”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

เขาหันกลับไปมองมู่ซืออวี่ “ท่านแม่ ท่านสอนหรือ?”

“จำเป็นต้องให้ข้าสอนด้วยหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ย “เสี่ยวชิงเอ๋อร์เกาะติดคนทั้งวัน ครั้งก่อนยังไปติดกับคุณชายน้อยบ้านใต้เท้าหยวนไม่ยอมปล่อย แม่นมข้างกายจึงกล่าวว่าคุณชายน้อยเจ็ดขวบปีแล้ว ไม่อาจนั่งใกล้กัน”

ลู่จื่อชิงอ้าปากหาว เปลือกตาของนางแทบลืมไม่ขึ้นแล้ว ทว่ายังคงไม่ยอมปล่อยลู่ฉาวอวี่ไป

“วันนี้เจ้าก็ดูแลนางดี ๆ เถอะ” ลู่อี้คว้ามือมู่ซืออวี่ไปกุม แล้วเอ่ยกับลู่ฉาวอวี่ “เสี่ยวชิงเอ๋อร์อายุเท่าใดกัน นางเพียงแค่ชอบพี่ชายมากเท่านั้น จึงได้ให้เจ้าทำเรื่องมากมาย”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดประโยคนี้ ดูเหมือนจะเป็นบิดาผู้ ‘เอวไม่ดี’ เป็นคนกล่าว

ตอนนั้นเขาและเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์อายุเจ็ดขวบ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ในตอนนั้นก็เกาะติดเขาไม่ห่างเช่นกัน บิดาจึงพูดประโยคเจ็ดปีไม่นั่งใกล้นี้เพื่อสั่งสอน บัดนี้ถึงคราวเสี่ยวชิงเอ๋อร์ เสี่ยวชิงเอ๋อร์นั้นยังไม่เจ็ดปี แต่เขาเลยเจ็ดปีมานานแล้วนะ บิดาไม่มีหลักการเพียงนี้เชียวหรือ?

“ท่านพ่อ ในเมื่อท่านเอวไม่ดี เช่นนั้นท่านควรรักษาร่างกายตนเองให้ดี ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าช่วยท่านเชิญท่านหมอมาตรวจเป็นอย่างไร?” ลู่ฉาวอวี่กล่าว

[1] ม้าผอมจากหยางโจว คือ เด็กหญิงหน้าตาดีที่ถูกซื้อมาจากครอบครัวยากจน ฝึกฝนให้ร้อง เล่น เต้นรำ บรรเลงดนตรี เดินหมาก คัดตัวอักษร วาดภาพ เพื่อขายให้ไปเป็นอนุของคนรวย (เปรียบเหมือนนำม้าตัวผอมมาขุนให้โต) การเลี้ยงม้าผอมในหยางโจวได้รับความนิยมมากที่สุด

[2] บ้านทองคำ มาจากประโยค ‘ในตำรามีบ้านทองคำและสาวงาม’ เป็นประโยคที่ผู้คนมักใช้ปลุกใจลูกหลานของตน เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งในยุคสมัยโบราณ การศึกษาเป็นสิ่งที่ทำให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง เกียรติยศ และความมั่งคั่ง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท