บทที่ 629 ญาติผู้พี่สกุลเซี่ยว
บทที่ 629 ญาติผู้พี่สกุลเซี่ยว
ครั้นแม่ทัพซูและฮูหยินเซี่ยวไปถึงจวนลู่ สมาชิกสกุลลู่คนอื่น ๆ ก็กลับมาพร้อมหน้าแล้ว
บรรยากาศทั้งสกุลลู่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอย่างมาก เสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮาดังกึกก้องไปทั่ว เรื่องน่ากังวลทั้งหมดที่พบเจอภายนอกระหว่างวันดูเหมือนจะมลายหายไปในพริบตา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาแล้ว” ซูจือหลิ่วสังเกตเห็นพ่อแม่ของตนจึงรีบร้อนเข้ามาทักทาย
“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย” ลู่เซวียนตามมาทักทายพวกเขา
“ท่านแม่ทัพซู ฮูหยิน รีบเข้ามาเถิด” ลู่อี้เชิญพวกเขาเข้าไปในบ้าน
“เหตุใดไม่เห็นฮูหยินใหญ่ลู่เล่า?” เซี่ยวซื่อเอ่ยถาม
“พี่สะใภ้อยู่ในครัวเจ้าค่ะ” ซูจือหลิ่วเอ่ย “เดิมทีข้าอยากเข้าไปช่วย แต่การทำสิ่งที่เรียกว่าเค้กนั้นซับซ้อนยุ่งยากเกินไป ข้าไม่อาจเรียนรู้ได้จริง ๆ จึงไม่ได้รั้งอยู่ช่วย”
“ฮูหยินใหญ่กำลังตั้งครรภ์นะ เจ้าจะให้พี่สะใภ้เจ้าทำ… เค้ก ให้เจ้าได้อย่างไร!” เซี่ยวซื่อร้อนใจ “แม้ฮูหยินใหญ่จะเป็นสหาย อย่างไรเจ้าก็ควรรู้จักเกรงใจ”
“ฮูหยินไม่ต้องว่านางแล้ว เป็นข้าที่ตะกละ อยากกินเค้กเอง” มู่ซืออวี่เดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม “รีบเข้าไปคุยกันข้างในเถิด อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ประเดี๋ยวจะต้องลมจนป่วยเอาได้”
“เจ้าลูกคนนี้สร้างความลำบากให้เจ้าแล้ว” เซี่ยวซื่อเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “นางเป็นน้องสะใภ้ควรดูแลพี่สะใภ้ รบกวนพวกท่านอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?”
“สกุลพวกเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์มากมายเพียงนั้น อยู่ในสกุลเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องอยู่อย่างมีความสุข ผู้ใหญ่ดูแลผู้เยาว์ ผู้เยาว์ดูแลผู้ใหญ่ ทุกคนสามารถทำสิ่งที่ตนต้องการได้”
ถึงแม้มูซืออวี่จะไม่ได้ลงมือทำครัวด้วยตนเอง แต่อาหารวันนี้ก็ได้รับการกำกับควบคุมจากนาง รสชาติเป็นไปตามมาตรฐานของสกุลลู่ อาหารมื้อนี้ล้วนทำให้ทั้งเจ้าบ้านและแขกอิ่มหนำสำราญ
“สุราที่หมักก่อนหน้านี้หมดแล้ว สุราวันนี้เป็นสุราที่เราซื้อมาจากข้างนอก อาจจะอร่อยน้อยลง ทว่ารสชาติยังคงถือว่าไม่เลว” มู่ซืออวี่เอ่ยเรียกแม่ทัพซู “แม่ทัพซูดื่มให้เต็มที่เถิด”
เมื่อเอ่ยถึงสุรา นางหันไปมองลู่จื่ออวิ๋นแวบหนึ่ง
ลู่จื่ออวิ๋นยกถ้วยน้ำขึ้นปิดหน้าตนเอง สีหน้าดูรู้สึกผิด
ลู่ฉาวอวี่เคาะหน้าผากลู่จื่ออวิ๋นหนึ่งที
เห็นอย่างนี้ ดูเหมือนคนทั้งบ้านจะทราบแล้วว่าสุราไปอยู่ที่ใด
“ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ” แม่ทัพซูเอ่ย “บุตรสาวของข้านับว่าเป็นคนโชคดี สามารถแต่งเข้าสกุลลู่ได้ ทั้งยังได้รับการดูแลจากทุกคน จอกนี้ข้าขอคารวะใต้เท้าลู่และฮูหยินแทนบุตรสาว”
“ฮูหยินไม่อาจดื่มสุราได้ เชิญดื่มน้ำเปล่าแทนเถิด” เซี่ยวซื่อเอ่ย
หลังจากดื่มไปสองสามจอก พวกผู้ใหญ่ยังคงดื่มสุราพูดคุยกัน มู่เจิ้งหานลุกจากโต๊ะกลับไปยังห้องของเขา ส่วนลู่จื่ออวิ๋นและลู่ฉาวอวี่เดินออกมาจากห้องโถงหลักไปยังสวนด้านหลัง
ในสวนมีชิงช้า ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลงบนชิงช้านั้น
ลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่ข้างหลัง ค่อย ๆ ไกวชิงช้าออกไป
“ท่านพี่ ระยะนี้ท่านยุ่งกับอะไรอยู่หรือ?”
“เล่าเรียนหนังสือ ติดตามท่านอาจารย์ไปยังสำนักบัณฑิตหลาย ๆ แห่งเพื่อเรียนรู้ให้มากขึ้น”
“ท่านพี่ของข้าเก่งกาจยิ่ง”
“ระยะนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีเจ้าค่ะ”
ลู่ฉาวอวี่ไกวชิงช้าให้ลู่จื่ออวิ๋นอย่างอ่อนโยน
“ดีทีเดียวจริง ๆ สุราที่ท่านแม่หมัก ท่านพ่อยังพยายามดื่มทีละนิด เจ้ากลับใจกว้างส่งให้อีกฝ่ายหลายไหในคราเดียว”
“ท่านพี่ เหตุใดพวกท่านล้วนรู้เรื่องกันหมดเล่า?” ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับไปมองลู่ฉาวอวี่ “พวกท่านไม่ได้ยุ่งอยู่กับการงานของตนเองหรือ!”
“ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเป็นท่านพ่อท่านแม่ ไม่ว่าพวกเราจะยุ่งอย่างไร เรื่องของเจ้าก็ไม่อาจปิดบังได้ เพราะพวกเราล้วนห่วงใยเจ้า” ลู่ฉาวอวี่ปล่อยมือ “เซี่ยซื่อจื่อช่วยเจ้าไว้ เจ้าตอบแทนเขา ไม่นับเป็นอะไร เพียงแต่อวิ๋นเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ายังเล็ก กับบุรุษเหล่านั้นยังคงหลีกเลี่ยงไว้ดีกว่า อย่าได้สร้างปัญหาที่ไม่จำเป็น”
“ท่านพี่… ข้ารู้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เพียงแต่ เซี่ยซื่อจื่อช่วยข้าเอาไว้ไม่น้อยจริง ๆ ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาก็นับว่าเป็นสหายผู้หนึ่ง หากมีคนนอกอยู่ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเสียมารยาท แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ทำตัวคุ้นเคยกับชายแปลกหน้าเช่นกัน”
ลู่ฉาวอวี่ลูบลงบนผมของลู่จื่ออวิ๋น
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์โตแล้ว ไม่ใช่สาวน้อยที่ชอบเพียงพี่ชายผู้นี้อีกต่อไป”
“ผู้ใดกล่าว? ข้ายังรักท่านพ่อท่านแม่ ท่านพี่ อีกทั้งยังรักเสี่ยวชิงเอ๋อร์เป็นที่สุด จริงสิ ยังมีน้องชายในท้องท่านแม่ด้วย”
บนโต๊ะตอนนี้มีฮูหยินเซี่ยว มู่ซืออวี่ ซูจือหลิ่ว และอันอวี้
เซี่ยเสี่ยวอันพาลู่จื่อชิงเล่นตัวต่อไม้อยู่ด้านข้าง
“ไม่ใช่ ๆ นี่ไม่ถูก” เซี่ยเสี่ยวอันเอ่ย “เจ้าควรทำอย่างนี้…”
“ข้าจะสร้างบ้าน”
“สร้างบ้านมีอะไรสนุกกัน? ข้าสร้างม้าตัวใหญ่ให้เจ้าเป็นอย่างไร?”
“ไม่เอา…” ลู่จื่อชิงผลักเซี่ยเสี่ยวอันหนึ่งที
เซี่ยเสี่ยวอันก้นกระแทกลงกับพื้น
เพียงแค่มู่ซืออวี่กำลังจะก้าวออกไป อันอวี้กลับดึงนางไว้
“ไม่ต้องร้อนใจไป ให้พวกเขาเล่นกันเองเถอะ”
แน่นอนว่ามู่ซืออวี่รู้ว่าการทะเลาะเบาะแว้งของเด็ก ๆ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นางกังวลว่าอันอวี้จะห่วงเด็ก ๆ จึงต้องออกไปห้ามเสียหน่อย
ในเมื่ออันอวี้เอ่ยเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
เซี่ยเสี่ยวอันไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่ลุกขึ้นจากพื้นแล้วเอ่ยว่า “เอาเถอะ เจ้าชอบบ้าน เช่นนั้นก็สร้างบ้าน”
ลู่จื่อชิงกลับรู้สึกไม่สบายใจ เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว “เสี่ยวอัน ข้าอยากเห็นเจ้าสร้างม้าแล้ว”
ผู้ใหญ่หลายคนเห็นพวกเขาเล่นกันด้วยดี ไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำลายความสนุกของพวกเขาแม้แต่น้อย จึงมองหน้ากันแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
“เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่าเด็ก ๆ วุ่นวายเสียงดัง ตอนนี้ถึงได้พบว่าเวลาเด็ก ๆ เล่นกันเสียงดังค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว” ซูจือหลิ่วเอ่ย
“เจ้าและน้องสามีต้องเร่งมือแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยกระเซ้า “ทว่าเรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา หากมีโชคชะตา เมื่อน้ำมาคลองย่อมเกิด”
แม่ทัพซูดื่มไปมาก จึงรั้งอยู่ค้างคืนที่จวนลู่
เซี่ยคุนพาอันอวี้และลูกกลับไปแล้ว
แม่ทัพซูและฮูหยินเซี่ยวอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าซูจือหลิ่วและลู่เซวียนไม่อาจจากไป ดังนั้นจึงรั้งอยู่ที่นี่เช่นกัน
วันถัดมา เหล่าบุรุษทานอาหารเช้าแล้วจึงไปยังท้องพระโรง ขณะที่เหล่าสตรีอยู่ที่จวนทำเนื้อย่าง พูดคุยเรื่องภายในบ้าน
เมื่อถึงยามบ่าย บ่าวรับใช้จวนซูมาหาเซี่ยวซื่อที่จวนลู่ รายงานว่าญาติสกุลเซี่ยวมาหา เซี่ยวซื่อจึงกล่าวลามู่ซืออวี่ ซูจือหลิ่วก็ติดตามเซี่ยวซื่อกลับไปยังจวนซูแล้วเช่นกัน
อย่างไรเสียก็เป็นญาติของเซี่ยวซื่อ นั่นหมายความว่านับเป็นญาติของซูจือหลิ่วเช่นกัน ย่อมไม่อาจไม่ไปดูได้
“ท่านอาหญิง…” เซี่ยวเจินเข้ามาทักทาย “ในที่สุดก็ได้พบท่านเสียที ท่านนี้คือ…”
“นี่เป็นญาติผู้น้องเจ้า จำไม่ได้แล้วหรือ?” เซี่ยวซื่อเอ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ “เจินเอ๋อร์ พวกเราไม่ได้พบกันห้าหกปีแล้วกระมัง?”
“ใช่แล้ว ท่านอาหญิง” เซี่ยเจินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่น่ะ ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็มาหาท่านอาหญิงทันที ข้าคิดถึงท่านอาหญิงจริง ๆ น้องหญิง เจ้าอย่าได้แปลกใจไป ข้าเพียงแต่ไม่ได้พบเจ้ามาหลายปีจึงจำเจ้าไม่ได้ เจ้างดงามขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“พี่หญิงล้อเล่นแล้ว ข้าเองก็จำท่านไม่ได้ อย่างไรเวลาก็ผ่านไปห้าหกปีแล้ว ล้วนจดจำได้ไม่ชัดเจน” ซูจือหลิ่วยิ้มบาง ๆ “ข้างนอกอากาศหนาว พวกเราเข้าไปพูดคุยกันข้างในเถิด!”
“ใช่ ๆ รีบเข้าไปเถอะ” เซี่ยวซื่อจูงเซี่ยวเจินเดินเข้าไปข้างใน “ท่านแม่เจ้าบอกว่าเจ้าแต่งไปเมืองถงหนานแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้ว! ตอนนี้ข้าตามสามีกลับมาเมืองหลวง!” เซี่ยวเจินเอ่ย
สกุลเดิมของเซี่ยวซื่อไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นเมื่อซูจือหลิ่วแต่งงานจึงไม่มีคนจากสกุลมารดามาช่วย บัดนี้ได้พบคนจากสกุลมารดา เซี่ยวซื่อยังคงดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“แล้วสามีเจ้าเล่า?”
“เขา… เฮ้อ เขาป่วยแล้ว” สีหน้าของเซี่ยวเจินเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง