บทที่ 631 จวนอู่อันโหวตกที่นั่งลำบาก
บทที่ 631 จวนอู่อันโหวตกที่นั่งลำบาก
มู่ซืออวี่ลุกขึ้นยืน
“ท่านช้าลงหน่อย” ซูจือหลิ่วเห็นการเคลื่อนไหวของมู่ซืออวี่ก็รีบดึงนางไว้อย่างกระวนกระวายใจ “ท่านทำให้ข้าตกใจแทบตาย ท้องท่านโตเพียงนี้ รีบร้อนลุกขึ้นยืนเช่นนี้ ไม่กลัวหกล้มบ้างหรือไร”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์อยู่กับเขา ข้ากลัวว่าเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์จะตกใจ” มู่ซืออวี่ลูบท้องของนางเพื่อปลอบโยนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่กำลังหวาดกลัว
ก่อนที่พวกนางจะไปถึงสนามม้าก็เห็นฉีเซียวและคนของเขาควบคุมตัวเซี่ยเฉิงจิ่นลงสะพานเล็ก ๆ มาแล้ว
แม้จะกล่าวว่าควบคุมตัว ทว่าอันที่จริงกลับไม่ได้แตะต้องเขาแม้แต่น้อย เซี่ยเฉิงจิ่นเดินอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยคนจากหน่วยลับ โดยมีฉีเซียวเดินอยู่ด้านหน้า
“ใต้เท้าฉี ขอเวลาพูดคุยกับท่านสักครู่ได้หรือไม่?”
ฉีเซียวพยักหน้า “ได้”
มู่ซืออวี่เดินนำ ส่วนฉีเซียวเดินตามหลังนางไป
ซูจือหลิ่วมองฉีเซียวด้วยสายตาเคลือบแคลง
ระยะห่างของฉีเซียวไม่ใกล้ไม่ไกลจากมู่ซืออวี่ เห็นได้ว่าภาษากายของเขากำลังปกป้องพี่สะใภ้ จากมุมของเขา เขาสามารถมองเห็นได้ทั่วทุกพื้นที่และสามารถยับยั้งไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันได้
“ใต้เท้าฉี จวนอู่อันโหวเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ใต้เท้าลู่ได้บอกท่านหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเฟิ่งหลินหายตัวไปที่อาณาจักรของเรา? ภายหลังยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าลู่ที่พบเบาะแสแล้วส่งต่อให้กับจวนอู่อันโหว”
“เคยกล่าว”
“อาณาจักรเฟิ่งหลินมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ บริเวณพรมแดนของทั้งสองอาณาจักรไม่มั่นคง เกรงว่าจะเกิดสงคราม”
มู่ซืออวี่เข้าใจแล้ว
เมื่อทั้งสองอาณาจักรเข้าสู่สงคราม สถานการณ์ของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเฟิ่งหลินผู้นั้น หรือก็คือฮูหยินอู่อันโหวเกรงว่าจะต้องกระอักกระอ่วน
หากทั้งสองอาณาจักรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สถานะของนางสูงศักดิ์กว่าฮูหยินสกุลขุนนางทั่วไป แม้กระทั่งองค์หญิงยังต้องมอบของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้นาง บัดนี้สองอาณาจักรเข้าสู่สภาวะสงคราม นางย่อมกลายเป็นหนามยอกอก
ส่วนครอบครัวของนาง รวมไปถึงสามีและบุตร ย่อมต้องถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดหรือแม้กระทั่งถูกสั่งขังคุก
ซูจือหลิ่วหันไปมองเซี่ยเฉิงจิ่น
เซี่ยเฉิงจิ่นนับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงคนหนึ่ง ยามเข้าร่วมงานเลี้ยงมักจะได้ยินชื่อเขาจากปากของบุตรสาวสกุลขุนนางเหล่านั้น
เห็นได้ชัดว่ายามเกิดอันตรายอย่างยิ่งยวด สีหน้าของเขากลับเป็นปกติยิ่ง ราวกับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
มู่ซืออวี่และฉีเซียวกลับมาแล้ว
ฉีเซียวนำตัวคนไป
“สถานการณ์เป็นอย่างไร?” ซูจือหลิ่วเอ่ยถาม
“ชายแดนไม่สงบแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “จวนอู่อันโหวจำต้องถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด”
“ท่านซื่อจื่อผู้นั้น…”
“ในตอนนี้ยังไม่มีอันตรายอะไร เพียงแต่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เหมือนเมื่อก่อน ดูเหมือนจะต้องอยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง” มู่ซืออวี่เอ่ย “เรื่องในราชสำนักพวกเราไม่อาจเข้าใจ ไปหาเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์กันเถิด”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินมาได้ครึ่งทางก็พบซูจือหลิ่วและมู่ซืออวี่
“ท่านแม่ ท่านอาสะใภ้”
“อวิ๋นเอ๋อร์ คนจากหน่วยลับเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำให้เจ้ากลัวกระมัง?”
“ท่านแม่วางใจ ใต้เท้าฉีสุภาพเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นลำบากใจ แต่ว่าท่านแม่ จวนอู่อันโหวเกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”
“เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริง ๆ ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกเราเข้าไปข้างในเถอะ หิมะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ อากาศหนาวขึ้นมาเล็กน้อย”
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ลู่อี้และลู่เซวียนก็ไม่อาจรั้งอยู่ที่เรือนพักผ่อนบนภูเขาได้อีกต่อไป ทั้งสองคนต้องรีบรุดกลับไปยังเมืองหลวงทันที
ลู่จื่ออวิ๋นนึกถึงข่าวที่นางเพิ่งรู้มา ในหัวของนางเต็มไปด้วยภาพที่เซี่ยเฉิงจิ่นมอบม้า มอบขนจิ้งจอกให้… ยังมีเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ อีกมากมายที่เขาทำเพื่อนาง
นางรู้สึกราวกับว่านางและเซี่ยเฉิงจิ่นนับเป็นสหายกันแล้ว บัดนี้สหายของนางกำลังตกที่นั่งลำบาก นางย่อมไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้สิ่งใด จึงเอ่ยกับมู่ซืออวี่ว่าต้องการกลับเมืองหลวงเร็วขึ้นกว่าเดิม
ลู่จื่ออวิ๋นต้องการกลับแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่มีกะจิตกะใจเล่นสนุกต่อ พวกเขาจึงตามกลับไปเมืองหลวงด้วยกัน
“เจ้าเป็นห่วงเรื่องสกุลเซี่ยเพียงนี้” มู่ซืออวี่เอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น “เป็นเพราะเหตุใด?”
“ท่านแม่ เซี่ยซื่อจื่อช่วยข้าเอาไว้ไม่น้อย พวกเรานับว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หากเกิดอะไรขึ้นกับสหายท่าน ท่านจะไม่สนใจหรือ?”
“แน่นอนว่าข้าต้องสนใจ”
“ใช่หรือไม่เล่า!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้จะถามคนนอก ข้าเพียงแค่อยากถามท่านพ่อ”
ลู่อี้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ชายแดนมีความเคลื่อนไหว ทว่ายังไม่ถึงขั้นจุดชนวนสงคราม จวนอู่อันโหวตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ถูกกักบริเวณและไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจเท่านั้น”
นี่เป็นการส่งสัญญาณถึงอาณาจักรเฟิ่งหลิน หากพวกเขายังใส่ใจองค์หญิงที่แต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ผู้นี้ ก็ควรรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด
หากอาณาจักรเฟิ่งหลินยังคงไม่สนใจ กว่าร้อยชีวิตในจวนอู่อันโหวย่อมต้องสละให้กับสงคราม ท้ายที่สุดย่อมไม่มีผลลัพธ์ที่ดีอะไร
“คนของหน่วยลับเคลื่อนกำลังพลแล้ว คิดว่ามีปัญหาอะไรเป็นแน่”
“ข้าได้ข่าวมาว่าองค์รัชทายาทอาณาจักรเฟิ่งหลินผู้นั้นกลับไปยังอาณาจักรของตน แล้วก็กลายเป็นหุ่นเชิด ถูกขุนนางใหญ่ควบคุม อาณาจักรเฟิ่งหลินในยามนี้ไม่แน่ใจว่าผู้ใดปกครอง สงครามครั้งนี้มีโอกาสจุดชนวนขึ้นมาได้จริง ๆ”
“หากเกิดสงคราม เช่นนั้นคนในจวนอู่อันโหวจะไม่รอดหรือ?”
“นั่นต้องดูว่าพวกเขาวางแผนจะทำอย่างไรต่อ”
จวนอู่อันโหวอยู่ภายใต้การควบคุม
ทุกวันมีเพียงคนส่งอาหารที่สามารถเข้าออกจวนอู่อันโหวได้ แม้กระทั่งบ่าวรับใช้ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก หากต้องการซื้อสิ่งใด ทำได้เพียงเขียนรายการให้ทหารที่เฝ้า และจะมีคนมาส่งของให้ถึงหน้าประตู
อู่อันโหวกำลังวาดภาพเหมือนอยู่ในสวน โดยมีฮูหยินอู่อันโหวที่สวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงามและเสื้อคลุมชั้นดี นางแต่งกายอย่างหรูหราฟู่ฟ่าทำหน้าที่เป็นแบบให้กับอู่อันโหว
“ฮูหยิน หนาวหรือไม่? ไม่เช่นนั้นไปวาดข้างในเป็นอย่างไร?”
“ไม่ต้อง” ฮูหยินอู่อันโหวกระชับเสื้อคลุม “ข้าจะวาดตรงนี้ให้คนข้างนอกได้เห็น พวกเขาคิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะทำให้ข้าไม่มีความสุข หารู้ไม่ว่าข้าสบายเพียงใด พวกเขาชอบจับตามองก็จับตามองไปเถอะ ฮูหยินผู้นี้กลัวพวกเขาที่ใดกัน?”
“พวกเราไม่มีอะไรต้องกังวล กลัวแค่เพียงเจ้าเด็กคนนั้นจะเบื่อเอา”
“ลูกชายของท่านฉลาดเช่นนี้ จะถูกคนข้างนอกสร้างปัญหาให้ได้อย่างไร?”
เซี่ยเฉิงจิ่นยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูหิมะที่กำลังตกหนักด้านนอก
เซี่ยชิงโจวเอ่ยว่า “ท่านคิดจะสงบเสงี่ยมอยู่เช่นนี้จริง ๆ หรือ?”
“อากาศหนาวยิ่งนัก อยู่ที่บ้านก็ไม่เห็นเป็นไร”
“ทางอาณาจักรเฟิ่งหลินเกิดเรื่องขึ้นแล้ว” เซี่ยชิงโจวเอ่ย “ท่านน้าของท่านผู้นั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกขุนนางเบื้องล่างควบคุม”
“ข้าทราบ เขาถูกขายมาที่นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่คนฉลาด อย่างไรก็ต้องมีวันนี้ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ข้าเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าการที่เขาไร้ความสามารถจะดึงท่านพ่อท่านแม่ข้าเข้ามาพัวพัน ด้วย เรื่องนี้ไม่อาจอภัยได้”
“คนที่เราวางไว้ในอาณาจักรเฟิ่งหลินสามารถควบคุมสถานการณ์หรือหลีกเลี่ยงสงครามครั้งนี้ได้”
“ไม่จำเป็นต้องหยุด” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ยิ่งวุ่นวายโกลาหลสิยิ่งดี”
“ท่านคิดจะพาท่านพ่อท่านแม่กลับไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินเมื่อใด?”
“ตอนนี้ยังเร็วไป ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน”
“ไม่ใช่ว่าท่านตัดใจไม่ได้กระมัง?” เซี่ยชิงโจวเอ่ย “หากตัดใจไม่ได้จริง ๆ ท่านก็ไปสู่ขอนางที่สกุลลู่ ให้พวกเขาเก็บลูกสาวไว้ให้ท่านแต่งงานเสีย”
“เจ้าคิดว่าลู่อี้ผู้นี้เป็นอย่างไร?”
“โหดเหี้ยม สถานที่เช่นศาลต้าหลี่ไม่ได้ควบคุมได้ง่ายดาย บัดนี้ผู้ที่เชื่อฟังเขากลายเป็นพรรคพวกของเขาส่วนผู้ที่ไม่เชื่อฟังย่อมไม่ได้พบจุดจบที่ดี”
“ดังนั้น เจ้าคิดว่าหากข้าเอ่ยเช่นนั้นออกไป ข้ายังจะกลับไปที่อาณาจักรเฟิ่งหลินได้หรือไม่?” เซี่ยเฉิงจิ่นปรายตามองสหาย “ใช้สมองก่อนจะเอ่ยอะไรออกมาหน่อยเถิด…”