บทที่ 638 ฟ่านเหยี่ยนมาเยือน
บทที่ 638 ฟ่านเหยี่ยนมาเยือน
ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับมาพร้อมกับแมวดำที่อยู่ในอ้อมแขน เมื่อเห็นฟ่านเหยี่ยนก็ค้อมคำนับอย่างถูกต้องตามมารยาท
“คารวะท่านอ๋อง”
ฟ่านเหยี่ยนเดินเข้าไปหานาง “ไม่ได้เจอเจ้ามาสักพักแล้ว ดูเหมือนเจ้าจะสูงขึ้น…”
“ท่านอ๋องมาพบท่านพ่อข้าหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เขารอท่านอยู่ที่ห้องตำรา”
“เขารู้ว่าข้าจะมาหรือ?” ฟ่านเหยี่ยนรู้ว่าการที่ตนถามคำถามนี้ออกไปช่างดูเหมือนคนโง่งม เขารับผิดชอบคดีนี้ คดีนี้เกี่ยวข้องกับบิดาและบุตรสกุลลู่ แน่นอนว่าเขาย่อมมาหาลู่อี้
ฟ่านเหยี่ยนอดสับสนกับความรู้สึกที่ตีกันในใจไม่ได้ ราวกับว่าเมื่อเจอแม่นางน้อยผู้นี้ สมองของเขาไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป ขุนนางบุ๋นบู๊ที่สนับสนุนเขาเหล่านั้นล้วนถูกหลงลืมราวกับเลือนหายไป
“ท่านพ่อบ้าน พาท่านอ๋องไปห้องตำราเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับพ่อบ้าน
“ขอรับ คุณหนู” พ่อบ้านรับคำ แล้วเอ่ยกับฟ่านเหยี่ยน “ท่านอ๋อง เชิญทางนี้ขอรับ”
ฟ่านเหยี่ยนไม่ค่อยได้พบลู่จื่ออวิ๋นบ่อยนัก ตอนนี้เขาไม่อยากนึกถึงเรื่องคดีเหล่านั้นอีกต่อไป เพียงแค่อยากพูดคุยกับนางสักสองสามคำ เพียงแต่แม่นางน้อยผู้นี้ราวกับเห็นเขาเป็นน้ำเหนือและสัตว์ร้าย*[1] ทุกครั้งที่นางพบเขาล้วนไม่มีสีหน้าที่ดีนัก เขาเคยเฝ้าถามตนเองว่าเขาไม่เคยรังแกนาง เหตุใดนางจึงไม่ชอบเขาถึงเพียงนี้?
ฟ่านเหยี่ยนจากไปพร้อมกับพ่อบ้าน
ลู่จื่ออวิ๋นถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงรู้สึกว่าฟ่านเหยี่ยนนับวันยิ่งทำให้คนรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะดูลุ่มหลงในตัวนาง ทว่าก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงอันตรายเช่นในตอนนี้ บัดนี้แววตาของเขาหลงเหลือความเป็นเด็กและความไร้เดียงสาน้อยลงไปทุกที กลับปรากฏหลายสิ่งที่ซับซ้อนและยากแก่การเข้าใจมาแทนที่
“ติงเซียง เจ้าดูแลเจ้าแมวน้อยไว้”
ติงเซียงรับแมวดำตัวนั้นมาแล้วเอ่ยถาม “คุณหนู นายน้อยเคยเป็นสหายร่วมเรียนของเซวียนอ๋อง ความสัมพันธ์ของพวกเขาแต่ไรมาก็ไม่เลว หากคดีนี้มอบให้เขาตรวจสอบ ถึงแม้ตรวจสอบออกมาได้ว่านายท่านและนายน้อยล้วนบริสุทธิ์ เกรงว่าจะไม่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อถือ”
“ขอแค่เพียงตรวจสอบความจริงออกมาได้ เหตุใดผู้อื่นจะไม่เชื่อเล่า?” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “คนเหล่านั้นที่กล่าวว่ามีสัมพันธ์อันดีกับพี่ชายของข้า เคยพูดคุยกับท่านพี่ข้าเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ทั้งยังเป็นการพูดคุยต่อหน้าทุกคน ส่วนของขวัญที่คนเหล่านั้นให้มาและผู้ดูแลรับเอาไว้ ท่านพ่อข้าและท่านพี่ยึดเอาไว้แล้ว หากมีผู้ใดคิดร้ายต่อท่านพี่และท่านพ่อ เช่นนั้นก็รอวันอับโชคเถอะ!”
เมื่อฟ่านเหยี่ยนได้พบลู่อี้ เขาก็ถามคำถามออกไปตามปกติ อีกทั้งยังได้พบผู้ดูแลสองคนที่รับของขวัญ จากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ถามอีก
ขอเพียงมีสมองย่อมมองออกว่านี่เป็นการใส่ไฟ ทว่าสำหรับคนบางคน นี่จะเป็นการใส่ไฟหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะพวกเขาต้องการเพียง ‘ความยุติธรรม’
สิ่งที่เรียกว่า ‘ความยุติธรรม’ นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความจริง แต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขา จะดีที่สุดหากเรื่องนี้ใหญ่โตขึ้นแล้วทำให้คนไม่กี่คนตกต่ำ บางทีนั่นอาจเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
“ไม่ได้ไปมาหาสู่กับฉาวอวี่นานแล้ว ในเมื่อวันนี้มา ไม่รู้ว่าข้าไปหาฉาวอวี่หน่อยได้หรือไม่?” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยถาม
“เวลานี้หากใกล้ชิดกับฉาวอวี่มากเกินไปจะไม่เป็นผลดีต่อท่าน” ลู่อี้เอ่ย “เป็นวันอื่นเถิด! ท่านอ๋องอย่าได้รั้งอยู่ที่นี่นานเกินไปนัก”
ฟ่านเหยี่ยนไม่มีอะไรจะกล่าว ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำ
ในเมื่อเขารับคดีนี้มาแล้ว ย่อมต้องตรวจสอบให้ทุกคนเชื่อ ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าเป็นการโยนหินทับเท้าตนเอง
หลังจากฟ่านเหยี่ยนกลับไป ลู่อี้ก็ไปหามู่ซืออวี่
“ได้ยินว่าเซวียนอ๋องมาหา เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าต้องการเพียงผลลัพธ์ ดูว่าเขาจะจัดการอย่างไร เรื่องอื่นไม่สำคัญ” ลู่อี้เอ่ย “ทว่า ยามนี้เขาคงไม่ทำให้ข้าขุ่นเคืองเป็นการชั่วคราว ความสัมพันธ์ของข้ากับจงอ๋องเป็นความลับ ตอนนี้ในสายตาคนนอก ข้าเพียงแค่ยังไม่เลือกข้าง เขาคงอยากดึงข้าไปเป็นพวก”
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่ถอดใจเรื่องเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์
นับแต่เซวียนอ๋องเข้ามาในจวน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็ถูกจับตามอง ถ้อยคำที่เขาพูดกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ถ่ายทอดมายังลู่อี้โดยละเอียด นายท่านของจวนลู่ย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
“เสี่ยวซื่อของพวกเรายังไม่ได้ตั้งชื่อเลยนะ!” มู่ซืออวี่มองเจ้าอ้วนน้อยที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ในเปล
“ฉาวจิ่งเป็นอย่างไร?” ลู่อี้เอ่ย “ไม่จำเป็นต้องเปล่งประกายแวววาวดุจหยก ขอแค่เพียงโชคดีสมความปรารถนา”
“ดี” มู่ซืออวี่จิ้มแก้มเจ้าอ้วนน้อย “ฉาวจิ่ง ชื่อนี้เพราะจริง ๆ ลู่ฉาวจิ่ง”
“อยากไปสูดอากาศสักหน่อยหรือไม่?” ลู่อี้เห็นนางเป็นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า “ให้แม่นมดูเขาเถอะ ข้าจะไปกับเจ้า”
คดีโกงข้อสอบยังคงถกเถียงกันอยู่สามสี่วัน ท้ายที่สุดเซวียนอ๋องจึงเปิดโถงพิจารณาคดีเพื่อไต่สวนเรื่องนี้
สาเหตุที่คนเหล่านั้นเขียนคำตอบได้เกินกว่าความสามารถของพวกเขา เป็นเพราะมีคนทำข้อสอบรั่วไหลออกไป และผู้ที่ทำข้อสอบรั่วไหลออกไปเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการผู้หนึ่ง เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นญาติกับเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ วกวนไปมาสุดท้ายเรื่องก็ยังมาจบที่ลู่อี้
อย่างที่ลู่อี้คาดการณ์ เซวียนอ๋องฟ่านเหยี่ยนจะไม่สร้างความบาดหมางกับเขาในตอนนี้ ดังนั้นคดีจึงต้องไต่สวนไปอย่างที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ยังคงกระทบต่อชื่อเสียงของใต้เท้าลู่
หลังจากไต่สวนคดีแล้ว มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เจ็ดถึงแปดคน นอกจากผู้เข้าสอบที่โกงแล้ว ยังมีคนอีกสิบกว่าคนถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้
ทว่าเรื่องนี้ยังคงไม่สิ้นสุด
ในเมื่อข้อสอบมีปัญหา เช่นนั้นก็ต้องจัดการสอบใหม่ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้คนเชื่อใจได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ ราชสำนักจึงหารือเรื่องนี้อยู่ถึงสองสามเช้าด้วยกัน ท้ายที่สุดจึงได้ข้อสรุปว่า ทั้งหกกรมจะต้องแต่งตั้งขุนนางรับผิดชอบการสอบขุนนางครั้งนี้เพิ่มเป็นพิเศษ
ลู่เซวียนเป็นหนึ่งในนั้น
ในวันที่มีการจัดสอบขุนนาง ขณะที่ยังไม่เริ่มการสอบ ลู่เซวียนกล่าวกับผู้เข้าสอบทุกคน “ข้าก็แซ่ลู่เช่นกัน เป็นคนเมืองฮู่เป่ย หากมีผู้เข้าสอบที่มาจากเมืองฮู่เป่ยที่ทำได้ไม่ดีนัก สามารถมาแนะนำตัวกับข้าหรือไปแนะนำตัวกับใต้เท้าผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ได้ หากมีบัณฑิตมากพรสวรรค์จริง ๆ ข้าอาจจ้างเป็นที่ปรึกษา”
ทุกคน “…”
ขุนนางคุมสอบหลายคนที่อยู่ข้าง ๆ “…”
ลู่เซวียนเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้แล้วยังคงทำหน้าที่เป็นผู้คุมสอบต่อไป ประหนึ่งไม่ได้รับรู้ว่าถ้อยคำของเขาทำให้ผู้คนมากน้อยเพียงใดตกตะลึง
“มองอะไร? มีปัญหาหรือ? ข้าอยากรับผู้เข้าสอบที่มีความสามารถให้ตนเองสักสองสามคน ไม่ได้หรือ?”
“ได้ ๆ แน่นอนว่าได้” ขุนนางที่อยู่ข้าง ๆ เขายิ้มออกมา “ใต้เท้าลู่ยังคงสร้างความประหลาดใจให้ข้าได้จริง ๆ”
ในยามนี้ เขาไม่ได้หลบเลี่ยงความสงสัย แต่ยังเป็นฝ่ายกล่าวว่าตนมาจากเมืองฮู่เป่ยและมีแซ่ลู่ นี่ไม่เท่ากับว่าอนุญาตให้ผู้เข้าสอบเหล่านั้นสร้างปัญหาต่อไปหรือ?
“ใต้เท้าลู่ผู้นี้ไม่ใช่อาจารย์ซวีไฮว่ที่เขียนบทละครพื้นบ้านชื่อก้องหล้าผู้นั้นหรือ?”
“ยังต้องบอกอีกหรือ? แน่นอนว่าเป็นเขา สองพี่น้องสกุลลู่แต่ละคนล้วนเป็นขุนนางขั้นสูง อีกทั้งฮูหยินลู่ยังร่ำรวยพอที่จะสร้างอาณาจักรขึ้นมาได้อาณาจักรหนึ่ง ฮูหยินรองลู่ก็เป็นแม่ทัพทหาร นายน้อยลู่ที่รุ่นราวคราวเดียวกับเรายังเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียง หากสามารถเป็นที่ปรึกษาให้สกุลลู่ได้ เช่นนั้นคงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ”
เช่นนี้เองสายตาที่ทุกคนใช้มองลู่เซวียนจึงเปลี่ยนไป
เมื่อครู่นี้เขายังเป็นขุนนางธรรมดาทั่วไป ตอนนี้กลับกลายเป็นชิ้นเนื้ออ้วนพีไปเสียแล้ว
ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานก็ต้องสอบใหม่เช่นกัน
เมื่อเห็นข้อสอบ ทุกคนต่างตะลึงงัน
ข้อสอบในครั้งนี้ยากยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
ไม่เพียงเท่านั้น ในข้อสอบยังมีหัวข้อและเนื้อหาอีกมากมาย หากตอบไม่ชัดเจนอาจไม่ได้คะแนนด้วยซ้ำ หากตอบแข็งกร้าวเกินไป เช่นนั้นก็อาจทำให้ขุนนางอาวุโสขุ่นเคืองได้ง่าย ๆ
ผู้เข้าสอบอดคิดไม่ได้ว่าการสอบใหม่ครั้งนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
สามวันต่อมา ผู้เข้าสอบบางคนออกจากห้องสอบด้วยท่าทีคับข้องใจ ขณะที่บางคนดูภาคภูมิใจ ประหนึ่งว่าสอบผ่านแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ฉาวอวี่ การสอบขุนนางครั้งนี้ยากมาก!”
“ข้อสอบเกี่ยวข้องกับเรื่องราชสำนัก สถานการณ์ปัจจุบันในหลาย ๆ ที่ อีกทั้งยังเป็นมุมมองของบัณฑิต เกษตรกร โรงงาน และผู้ทำการค้า หาคำตอบไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
[1] น้ำเหนือและสัตว์ร้าย หมายถึง ภัยพิบัติใหญ่หลวง