บทที่ 650 เลื่อนขั้นเร็วเกินไป
บทที่ 650 เลื่อนขั้นเร็วเกินไป
“กงกง เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่เหลือบมองฉานอี
ฉานอียัดถุงเงินตุง ๆ ถุงหนึ่งใส่มือของกงกงทันที
เมื่อกงกงสัมผัสได้ว่าเป็นใบไม้ทองคำ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขากลับกลายเป็นจริงใจมากขึ้น
“ใต้เท้าลู่มีความสามารถ ฮูหยินรู้แค่ว่านี่เป็นเรื่องดีสำหรับพวกท่านก็พอ เรื่องอื่นต้องรอใต้เท้าลู่กลับมาแล้วค่อยถามเขา ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่เข้าใจสิ่งใดทั้งสิ้น”
“กงกงถ่อมตัวเกินไปแล้ว นอกจากสกุลพวกเรา ยังมีสกุลอื่นได้รับพระราชโองการอีกหรือไม่?”
“นายท่านรองลู่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมพระคลัง ใต้เท้าฉีเซียวได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จิ้งอันโหว ยังมีใต้เท้าอีกหลายท่านที่ได้รับพระราชทานรางวัลมากมาย แน่นอนว่า มีคนยินดีปรีดาประสบความสำเร็จ ย่อมมีคน…”
กงกงที่มาถ่ายถอดราชโองการไม่ได้เอ่ยจนจบ แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจว่าคำพูดที่ยังไม่ทันกล่าวจบหมายถึงอะไร
มีคนยินดีปรีดาประสบความสำเร็จ ย่อมมีคนกลายมาเป็นนักโทษ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ขณะที่พวกเขาไม่รู้เรื่องราวนั้นมีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองหลวง และสามีของนางก็มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์นี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้รับพระราชทานรางวัลใหญ่เช่นนี้
บรรดาศักดิ์ที่สามารถสืบทอดได้นั้นไม่ใช่ผู้ใดก็มีได้ มีเพียงผู้ที่ร่วมก่อตั้งอาณาจักรเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติเช่นนี้ นางหลับไปเพียงหนึ่งตื่นก็กลับกลายมาเป็นฮูหยินจวนโหวแล้ว เรื่องนี้จะต้องสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วหล้าเป็นแน่
หลังจากส่งกงกงที่มาถ่ายทอดราชโองการกลับไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็ให้ฉานอีออกไปสอบถามเรื่องนี้
ไม่นานหลังจากนั้น ฉานอีก็กลับมารายงานข่าวให้นางทราบ
“บีบบังคับให้สละราชสมบัติหรือ?”
“เจ้าค่ะ พรรคพวกของเจียงเก๋อเหล่าล้วนถูกโยนเข้าคุกแล้ว คดีนี้ถูกส่งต่อไปให้สามศาล”
“เมื่อคืนเขาไปทำเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้น”
มู่ซืออวี่ไร้ซึ่งกะจิตกะใจจะไปที่ร้านเช่นกัน
เมื่อลู่อี้กลับมาก็ดึกมากแล้ว ทว่าวันนี้แตกต่างออกไปจากปกติ ปกติแล้วมู่ซืออวี่รอเขาไม่ไหวก็จะเข้าพักผ่อนก่อน แล้วเหลือแสงไฟไว้ให้เขาที่ประตู ทว่าวันนี้ไฟที่ประตูดับไปแล้ว แสงเทียนด้านในห้องกลับยังสว่างไสว
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ” มู่ซืออวี่นั่งอยู่บนเตียง ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง นางเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ท่านโหวอยู่ข้างนอกลำบากแล้ว น้องไม่ได้ออกไปต้อนรับท่าน ช่างละเลยหน้าที่ตนเองเสียจริง”
ลู่อี้ “…”
ดูท่าไม่ดีนัก
อย่าได้เห็นว่ารอยยิ้มของนางน่ามอง จากการเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีทำให้เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แสนอันตราย
“ฮูหยิน ข้ามีบางอย่างจะสารภาพกับเจ้า” ลู่อี้ก้าวเข้าไปหานาง “ทุกสิ่งเกิดขึ้นกะทันหันเป็นอย่างยิ่ง ข้าเองก็ไร้ทางเลือก ทำได้เพียงต้องจัดการ…”
มู่ซืออวี่มองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม
“กะทันหัน? ไร้ทางเลือก? จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม “หากท่านไม่ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าจริง ๆ แต่ควบคุมสถานการณ์ที่ฝ่ายเจียงเก๋อเหล่าตระเตรียมวางแผนมาอย่างถี่ถ้วนได้ง่ายดายเพียงนี้ ฝ่ายเจียงเก๋อเหล่าคงไร้ความสามารถเกินไปแล้วกระมัง เขาสามารถก่อคลื่นลมในราชสำนักมาได้หลายปีเพียงนี้ ที่แท้เป็นเพราะผู้อื่นไร้ความสามารถเกินไป หรือก่อนหน้านี้เขาโชคดีเกินไปหรือ?”
“ฮูหยินอย่าได้โกรธข้าเลย”
“ข้าไม่ได้โกรธ” มู่ซืออวี่ปิดหนังสือดังตุ้บ “อากาศร้อนเกินไป ข้าอยากนอนคนเดียว ท่านไปนอนที่อื่นเถอะ!”
ลู่อี้จะผละไปได้อย่างไร?
หากวันนี้เขาไปจริง ๆ เช่นนั้นการจะง้อฮูหยินของเขาไม่ยากขึ้นไปกว่าเดิมหรือ
นอกจากนี้ ตอนนี้นางโกรธแล้ว หากง้อนางได้ เช่นนั้นนางย่อมสงบลง หากเขาไปจริง ๆ นั่นจะไม่ทำให้ยิ่งทำให้นางโกรธมากกว่าเดิมหรือ เขาทนปล่อยให้นางบึ้งตึงอยู่เพียงลำพังไม่ได้
“ฮูหยิน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า”
“ข้าไม่ได้เป็นห่วงท่าน ข้าเพียงแค่คิดว่าหากจะแต่งงานใหม่คงยุ่งยากยิ่งนัก”
ลู่อี้ดึงมือมู่ซืออวี่ไปกอบกุมไม่ยอมปล่อย “เมื่อคืนข้าไม่ได้นอนทั้งคืน ยามดาบเหล่านั้นพุ่งเข้ามา สมองของข้าพลันว่างเปล่า…”
มู่ซืออวี่ “…”
เขาเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว
เขารู้ว่านางเป็นห่วงจึงจงใจเอ่ยสิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้นางใจอ่อน
“ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?” แม้มู่ซืออวี่จะรู้ว่านั่นเป็นลูกไม้ของเขา ทว่ายังคงอดเป็นห่วงไม่ได้
“วางใจเถิด ข้าพาคนไปมากพอ ไม่ปล่อยให้ตนเองต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน” ลู่อี้บีบมือนางเบา ๆ “ไม่ต้องโกรธแล้ว ครานี้อันตรายอยู่บ้างเล็กน้อย ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นห่วง จำต้องปิดบังเจ้า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หากภายหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ข้าจะบอกกล่าวเจ้าล่วงหน้า เช่นนี้ดีหรือไม่?”
มู่ซืออวี่ไม่จำเป็นต้องแสร้งงอนอีกต่อไป เมื่อนางคิดถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ในใจของนางยังหวาดผวาอยู่ครู่หนึ่ง
แม้ว่าเขาจะไม่เป็นไร ทว่าเขามักจะกระทำตัว ‘ไม่หวาดกลัวความตาย’ เช่นนี้ หากวันใดวันหนึ่งโชคไม่ดีขึ้นมา เช่นนั้นนางจะทำอย่างไร? นางนึกไม่ออกเลยว่าหากถึงตอนนั้นตนจะสิ้นหวังเพียงใด
เมื่อเป้าหมายสำเร็จลุล่วงและได้รับคำยืนยันจากเขาแล้ว นางเองย่อมไม่ทรมานลู่อี้อีกต่อไป
มู่ซืออวี่ขยับไปด้านข้าง ปล่อยให้สามีขึ้นมาพูดคุยบนเตียง
“ได้ยินมาว่าน้องสามีก็ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วเช่นกัน”
“ไม่ผิด ตอนนี้เขาเป็นเสนาบดีกรมพระคลังแล้ว”
“พวกท่านสองพี่น้องเลื่อนขั้นกันเร็วจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ทางฮูหยินซูคืบหน้าอย่างไรบ้าง?”
“ยังตรวจสอบอยู่ แต่ไม่นานผลก็จะออกมาแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “ดึกมากแล้ว นอนเถอะ!”
มู่ซืออวี่เห็นรอยคล้ำใต้ตาของเขาจึงซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนสามีอย่างว่าง่าย
ลู่อี้ได้กลิ่นหอมดอกไม้จากผมของนางจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
มู่ซืออวี่ลืมตาขึ้น มองดูสีหน้าเหนื่อยล้าของเขา สายตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ
“อันที่จริงพวกเราในตอนนี้ดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม ท่านก็มีความคิดเป็นของท่าน ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ข้าก็จะสนับสนุน…”
ตอนนี้ลู่จื่ออวิ๋นเป็นคุณหนูจวนโหวแล้ว นางได้รับคำเชิญมากมายนับไม่ถ้วนทุกวัน นางจะเลือกเฉพาะคนที่นางยินดีจะสานสัมพันธ์ ส่วนคนอื่นเพียงแค่ละเลยไป คุณหนูลู่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของนางไปกับการเรียน
“คุณหนู มีจดหมายถึงท่าน” ติงเซียงส่งจดหมายให้นาง “คุณหนู ภายหน้าอย่าได้รับจดหมายเลยนะเจ้าคะ เพียงแค่ส่งคืนกลับไปก็พอแล้ว”
“เจ้ากลัวอะไร?”
“ข้างนอกล้วนเล่าลือ…”
“แม้จะเป็นเรื่องจริง ข้าก็ไม่ได้บอกสิ่งที่ไม่ควรบอกกับเขา หรือบอกสิ่งที่เขาไม่ควรพูดออกไป พวกเราเพียงแค่ติดต่อกันอย่างสหายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันไม่ได้เลยหรือ?”
สิ้นคำ ลู่จื่ออวิ๋นก็เปิดจดหมายนั้นออก
เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เห็นตัวอักษรต่างหน้า ‘รอเจ้าได้รับจดหมายนี้แล้ว ข้าคงกลับไปที่อาณาจักรเฟิ่งหลินแล้ว…’
ลู่จื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว
เขากลับไปอาณาจักรเฟิ่งหลินแล้วจริง ๆ
เช่นนั้นหลังจากนี้…
พวกเราคงเป็นศัตรูกันแล้วกระมัง?
‘ระยะเวลาห้าปียังไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าอย่าได้คิดโกง ทว่าข้าคงไม่มีวิธีติดต่อเจ้าแล้ว รอข้าจัดการทางนี้แล้ว จะต้องเขียนถึงเจ้าอีกครั้งอย่างแน่นอน’
ติงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม “เขาเขียนว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร” ลู่จื่ออวิ๋นเผาจดหมายกับเปลวเทียน
“วันนี้ก็มีหลายสกุลมาทาบทามอีกแล้ว” ติงเซียงเอ่ย “ฮูหยินล้วนปฏิเสธไปหมด ทว่าข้างนอกยังมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับคุณหนู ประมาณว่าคุณหนูช่างทะนงตน แม้กระทั่งบุตรชายภรรยาจวนกั๋วกงยังไม่ชอบ ภายหน้าเกรงว่าคงเหลือเพียงเข้าวังเป็นพระนางแล้ว”
“คำพูดเหล่านี้พวกเขาก็กล้าเพียงเอ่ยลับหลังข้าเท่านั้น ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่ คนต่ำช้าขี้ขลาดตาขาวประเภทนี้ ทำได้เพียงระบายโทสะตนเองเท่านั้น มีอะไรให้ต้องคิดเล็กคิดน้อยกัน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ไม่ได้ขี่ม้ามานานแล้ว วันนี้พวกเราไปขี่ม้ากันเถอะ!”
ลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้ไปที่สนามม้าเรือนย่อย แต่ไปที่สนามม้าของเซี่ยชิงโจว…