บทที่ 664 เจ้าอย่ามายุ่งกับข้า
บทที่ 664 เจ้าอย่ามายุ่งกับข้า
“ท่านแม่ ท่านพ่อเขา…”
ลู่จื่ออวิ๋นเกิดความกังวลใจ
“เจ้าเชื่อคำพูดของคนผู้นั้นหรือ?” มู่ซืออวี่มองนาง “ไม่นานมานี้มีคนใส่ร้ายท่านแม่ทัพซูว่าเป็นไส้ศึก ท่านพ่อเจ้าและท่านอารองพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยล้างข้อกล่าวหา คนบางคนน่ะ เพียงแค่ไม่กี่ถ้อยคำก็สามารถทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดได้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าครอบครัวของผู้อื่นจะทนรับคำว่าร้ายเช่นนี้ได้หรือไม่ เพียงแต่คิดว่ามันมีประโยชน์ต่อตนหรือไม่ คนเช่นนั้นไร้ยางอายเป็นที่สุด กล่าวได้อีกอย่างคือ หากท่านพ่อของเจ้าตั้งใจจะทำเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจละเลยพวกเรา เหมือนกับจวนอู่อันโหว เขาจะต้องเตรียมหาที่ทางให้พวกเราก่อน เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว”
เอ่ยถึงจวนอู่อันโหวแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นพลันนึกถึงคำพูดที่เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยกับนาง เขาไม่ได้เขียนจดหมายถึงนางนานแล้ว ยิ่งไม่ได้ส่งของขวัญมาเหมือนก่อนหน้านี้
มู่ซืออวี่สังเกตว่าลู่จื่ออวิ๋นตกอยู่ในภวังค์จึงกระแอมขึ้นเบา ๆ “ข้าเอ่ยถึงจวนอู่อันโหว เหตุใดเจ้าเหม่อลอยไปเล่า?”
“ข้าคิดว่าฮูหยินอู่อันโหวเป็นคนสง่างามถึงเพียงนั้น ตอนนี้ที่นี่กลับไม่มีที่สำหรับนาง หากมีผู้ใดพบว่านางยังอยู่ในอาณาจักรนี้จะต้องนำนางมาแลกรางวัลเป็นแน่”
“โลกนี้เดิมทีก็เป็นเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่สูงล้วนใจดีมีเมตตาต่อทุกคน เพราะผู้คนมักจะแสดงด้านที่ ‘ไร้พิษภัย’ ของตนเองออกมา คนที่ครอบครัวตนเสื่อมถอยลงหรือเกิดเรื่อง พวกเขาจะพบว่าคนที่ปกติสนิทสนมคุ้นเคยนั้นเปลี่ยนไป ผู้ที่เคยรักใคร่พวกเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อพวกเขาแม้ในสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะธาตุแท้ยังไม่เปิดเผยออกมาก็อาจเป็นเพราะเป็นคนที่จริงใจและซื่อสัตย์”
“ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นห่วงท่านพี่ หากพวกเราทางนี้ถูกควบคุม ท่านพี่ทางนั้นคงไม่ได้ถูกคนสร้างความยุ่งยากให้กระมัง?”
“หากเซวียนอ๋องสร้างความลำบากให้พี่ชายเจ้า เขาจะต้องได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่ นิสัยของพี่ชายเจ้าผู้นั้นเจ้ายังไม่รู้หรือ เขาจะปล่อยให้ผู้อื่นก่อกวนได้อย่างไร? เซวียนอ๋องรู้จักเขามานานหลายปี ย่อมเข้าใจนิสัยใจคอของเขาดี”
ลู่จื่ออวิ๋นนึกถึงวิธีจัดการคนของลู่ฉาวอวี่แล้วก็วางใจ
พี่ชายของนางถอดแบบมาจากท่านพ่อ ย่อมไม่มีทางที่เขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากเซวียนอ๋องนึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนของพวกเขา หรือกล่าวอีกอย่างคือนึกถึงวิธีการของลู่ฉาวอวี่ ไม่ทำเรื่องที่ไม่จำเป็น ย่อมสามารถรักษาภาพพจน์ของตนไว้ได้
ทิวทัศน์ยามฤดูใบไม้ผลินั้นสวยงาม แม่นางทั้งหลายถอดเสื้อผ้าหนาเตอะของพวกนางออก สวมใส่เสื้อผ้าที่แสนบางเบา ออกไปเที่ยวชมทิวทัศน์ยามวสันต์ด้วยกัน
ลู่จื่ออวิ๋นอยู่ที่เมืองซานหลินได้สักพักหนึ่งแล้วจึงผูกมิตรเป็นสหายกับพี่หญิงน้องหญิงจำนวนหนึ่ง นัดหมายเอาไว้ว่าจะไปชื่นชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิด้วยกัน ระหว่างนั้นก็ดื่มด่ำสนุกสนานกับบรรยากาศการพบปะสังสรรค์
ทว่าทันที่รถม้าออกจากจวนก็ถูกคนขวางเอาไว้ก่อน
ติงเซียงเลิกม่านขึ้น มองจูเหนิงที่ด้านนอกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “จะทำอะไร?”
“คุณหนูจะไปที่ใด?”
“คุณหนูของพวกเราจะไปที่ใดเกี่ยวอะไรกับเจ้า พวกเราไปเพียงไม่ใกล้ไม่ไกลแถวนี้ ไม่ได้ออกไปจากเมืองซานหลิน พวกเจ้าคงไม่แม้แต่สนใจเรื่องนี้กระมัง?”
“พวกข้าจะส่งคนไปคุ้มกันคุณหนู”
“เจ้าส่งคนไปคุ้มกันคุณหนูพวกเรา เช่นนั้นผู้คุ้มกันบ้านเราคงไม่ต้องทำงานแล้วกระมัง ติงเซียงเอ่ย “นอกจากนั้น คนเหล่านี้ของพวกเจ้ามีความสามารถพอที่จะแตะปลายก้อยข้าได้หรือไม่?”
จูเหนิงได้ยินมานานแล้วว่าสาวใช้ข้างกายลู่จื่ออวิ๋นเป็นยอดฝีมือ เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูชมขึ้นมาทันที
“นี่เป็นความตั้งใจของเซวียนอ๋อง…”
ลู่จื่ออวิ๋นเปิดม่านแล้วเดินออกมา มองจูเหนิงด้วยสีหน้าเป็นกังวล “กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว ข้าไม่ควรปฏิเสธความหวังดีของเซวียนอ๋อง แต่ข้าเป็นคุณหนูผู้หนึ่งที่ยังไม่ออกเรือน พวกเจ้าเป็นบุรุษมากมายเพียงนี้ติดตามข้านับเป็นอะไร? เซวียนอ๋องของพวกเจ้าให้เจ้ามาคุ้มครองข้า แต่คงไม่ได้ให้พวกเจ้ามาทำลายชื่อเสียงของข้ากระมัง?” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“คุณหนูกังวลมากไปแล้ว พวกเราเป็นบ่าวที่ต้องคอยปกป้องท่าน ย่อมไม่เข้าใกล้ท่านมากเกินไป ยิ่งไม่อาจทำลายชื่อเสียงอันดีงามของคุณหนู” จูเหนิงเอ่ย “คุณหนูกลับเข้าไปนั่งเถิด…”
ลู่จื่ออวิ๋นก้มหน้าลง แล้วเอ่ยด้วยความโมโห “ใต้เท้าจู ข้าเรียกท่านว่าใต้เท้าอย่างสุภาพ ท่านคงไม่ปฏิบัติกับข้าเฉกเช่นนักโทษที่ต้องคอยคุมตัวกระมัง?”
“จะกล้าได้อย่างไร? คุณหนูลู่เป็นผู้สูงศักดิ์ ข้าน้อยย่อมไม่กล้าเลินเล่อ” จูเหนิงเอ่ย “อย่างไรก็ตาม ผู้สูงศักดิ์อย่างคุณหนูลู่ ออกนอกบ้านย่อมต้องมีผู้คุ้มกัน”
“วันนี้ข้าไม่ต้องการให้ท่านคุ้มครอง เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าข้ามองข้ามความหวังดีของท่านหรือ?”
“ข้าน้อยไม่กล้า!”
“ข้ากลับเห็นว่าท่านกล้ายิ่งนัก”
“คุณหนูลู่ ท่านไม่อยากให้พวกเราตามไปเช่นนี้ คงไม่ได้มีปัญหาอะไรกระมัง?” จูเหนิงยิ้มบาง ๆ
“ข้าจะมีปัญหาอะไร? เหตุใดท่านไม่เรียกข้าว่ากบฏเลยเล่า? พวกท่านชอบกล่าวหาผู้อื่นเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ?” สิ้นคำ ลู่จื่ออวิ๋นก็ค้ำมือลงไปบนราวจับข้าง ๆ “หัวข้า… ปวดยิ่งนัก… พวกท่านรังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว”
“คุณหนู คุณหนูท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” ติงเซียงรีบเข้าไปพยุงนาง
“ติงเซียง พวกเรากลับจวนเถอะ! ข้ารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่”
“คุณหนู ท่านจะต้องถูกคนทำให้โกรธแล้วเป็นแน่เจ้าค่ะ สารถี คุณหนูป่วยแล้ว ไปเชิญท่านหมอมาตรวจอาการคุณหนูประเดี๋ยวนี้”
ลู่จื่ออวิ๋นล้มป่วยแล้ว ไม่อาจลุกออกจากเตียงได้
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป จูเหนิงนึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เซวียนอ๋องใส่ใจลู่จื่ออวิ๋นเพียงใด ผู้อื่นไม่ทราบ ทว่าเขาที่เป็นผู้ติดตามเก่าแก่ผู้นี้รู้ดีแก่ใจ ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่า เขาหยาบคายกับมู่ซืออวี่ได้ แต่ไม่อาจหยาบคายต่อลู่จื่ออวิ๋นเป็นอันขาด อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าภายหน้าลู่จื่ออวิ๋นจะเป็นอย่างไร
จูเหนิงอยากเข้าไปดูให้เห็นกับตา ทว่าบ่าวรับใช้ในบ้านลู่ไม่ปล่อยให้เขาเข้าไป เขาย่อมไม่กล้าบุกเข้าไปเช่นกัน อย่างไรเสีย สภาพหน้าอับอายขายขี้หน้าเช่นนั้น เผชิญกับมันครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว จูเหนิงไม่กล้าให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีกเป็นอันขาด
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้เพียงลอบเข้าไปเท่านั้น
เขาลอบเข้าไปทางประตูหลังเพียงลำพัง เดินบนเฉลียงทางเดินที่ทอดยาว พยายามหาที่พักของลู่จื่ออวิ๋น อย่างยากลำบาก
“สกุลลู่สกุลนี้ ชักจะร่ำรวยเกินไปแล้ว บ้านในเมืองซานหลินแห่งนี้เป็นเพียงที่พักอาศัยชั่วคราว กลับทั้งกว้างขวางโอ่อ่ายิ่งกว่าจวนเซวียนอ๋องเสียอีก ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงมีคนมากมายอิจฉา”
ในเมืองหลวงเกิดความวุ่นวายมาสักพักแล้ว สถานการณ์ของลู่อี้ไม่แน่ชัด มู่ซืออวี่สตรีทำการค้าที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้ากลายมาเป็นเนื้ออ้วนพีที่ทุกคนล้วนอยากกัดทึ้ง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางผู้คนมากมายไม่มีผู้ใดกล้าก้าวออกมา ประการแรก อำนาจของลู่อี้ยังคงอยู่ ตราบใดที่ยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกเขาย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ ประการที่สอง ลู่อี้มีลูกน้องมากมาย ยังมีคนมากมายที่คอยปกป้องสกุลลู่
ทว่าจูเหนิงทราบดีว่าไม่ช้าไม่นาน สกุลลู่ก็จะถูกเซวียนอ๋องกลืนกิน
เซวียนอ๋องต้องการหาพรรคพวก ทว่าเขาขาดแคลนทุนทรัพย์อย่างรุนแรง หากกลืนกินสกุลลู่ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเซวียนอ๋องจะได้รับการแก้ไข ถ้าเขาต้องการตำแหน่งนั้นย่อมง่ายดายกว่าเดิม
“ไปทางไหนนี่…” จูเหนิงมองไปรอบ ๆ จู่ ๆ ก็เกิดเสียงดัง ‘คลิก’ ที่ใต้เท้าเขา
จูเหนิงปิดปากตนเอง สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
เขาเหยียบลงไปบนบางอย่างจนเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาแล้ว
ผู้บุกรุกคนเก่งนั่งยอง ๆ พยายามใช้แรงง้าง ‘กับดับหนู’ นั้นออก แล้วนั่งลงหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
“คุณหนู ท่านไม่รู้หรอกว่าคนผู้นั้นน่าขันเพียงใด” สาวใช้บอกลู่จื่ออวิ๋นถึงสิ่งที่นางพบเห็น
ลู่จื่ออวิ๋นผู้ที่ควรจะ ‘ป่วย’ นั่งทานผลไม้อยู่ที่นั่น ฟังสิ่งที่สาวใช้เล่า ก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ “เขาชอบเล่นสนุกถึงเพียงนั้น เช่นนั้นก็หาบางอย่างให้เขาได้สนุก สกุลลู่ของเรารับรองแขกได้ดีที่สุด พวกเราต้องสร้างความบันเทิงให้กับแขกดี ๆ ถึงจะถูก!”