บทที่ 670 ไม่ใช่ฝีมือของบุรุษ
บทที่ 670 ไม่ใช่ฝีมือของบุรุษ
“เขาต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน ความเก่งกาจของเจียงหว่านเฉินเราก็ได้เห็นแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “นอกจากนี้ ลู่เยี่ยยังเป็นผู้ที่ท่านลุงเซี่ยของเจ้าฝึกฝนมา เขาไม่ใช่คนโง่ หากสู้ไม่ได้จะไม่รู้จักหลบซ่อนถ่วงเวลาไว้เชียวหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อนางเห็นพลุสัญญาณบอกว่าอันตราย นางจึงไม่ได้ลงไปบนเกาะให้ผู้อื่นฆ่า ทว่ายอมจากมาแต่โดยดี นางคิดว่าหากหาคนมาช่วยลู่เยี่ย ย่อมมีประโยชน์กว่าส่งคนไปเยี่ยมเยือนความตายถึงหน้าประตู
“เจ้าเห็นโจรเหล่านั้นแล้วหรือ? เขาพูดสำเนียงท้องถิ่นหรือไม่?”
“ฟังจากสำเนียงคล้ายคนท้องถิ่น ทว่าแปร่ง ๆ เล็กน้อย”
“เกรงว่าจะเป็นการปลอมตัวกระมัง! เจ้าพบอะไรอีกหรือไม่?”
“ข้าคิดว่าหัวหน้าโจรเหล่านั้นต้องการจะฆ่าข้า เขามองมาที่ข้าด้วยสายตาโหดเหี้ยม แม้นคำพูดเหล่านั้นจะหยาบโลน ทว่าในสายตาเขามีเพียงเจตนาฆ่าเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน”
“มาเพราะเจ้า? ไม่สิ คงมาเพราะครอบครัวเรา” มู่ซืออวี่เอ่ย “แม่ทัพเจียงคงคิดจับเป็น ถึงตอนนั้นเราจะได้รู้ว่าเทพองค์ไหนที่ต้องการจะฆ่าเรา”
สองแม่ลูกรออยู่ที่ชายฝั่ง
ราว ๆ หนึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดขบวนเรือก็เคลื่อนมาถึง
“เป็นเรือประมง”
“ดูเหมือนต้องเร่งสร้างเรือรบเพิ่มแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “เช่นนี้ถึงจะคู่ควรกับเหล่าทหารกล้า”
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นพวกเขาต่อสู้กันกลางทะเลด้วยสายตนเอง เพื่อที่จะกระโดดขึ้นเรือไปจับโจรเหล่านั้น ยังต้องใช้เชือกบ่วงไปคล้องกับเรือของอีกฝ่าย ทว่าอีกฝ่ายย่อมไม่นิ่งเฉย เขาคอยถอดเชือกบ่วงออกเสมอ ทหารจำนวนมากจึงตกลงไปในทะเล ทว่าร่างกายของเขายังว่ายน้ำในทะเลได้อย่างคล่องแคล่ว ประหนึ่งเป็นปลา เห็นได้ว่าการฝึกฝนระยะนี้ของแม่ทัพเจียงมีประโยชน์มาก เหล่าทหารจึงได้มีความคืบหน้าอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้”
“ในท้องทะเลยังมีอันตรายอีกมากมาย เจ้ามาอยู่ใกล้ทะเลนานเพียงนี้ เคยเห็นฉลามกินคนบ้างหรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ”
“นั่นนับว่าเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว หากฉลามได้กลิ่นเลือดมันจะตามกลิ่นเลือดมาอย่างง่ายดาย วันนี้มีผู้คนตายไปมากถึงเพียงนี้ ย่อมมีกลิ่นเลือดที่เข้มข้น หากล่าช้าไปแม้เพียงนิด เกรงว่าทหารของเราคงต้องประสบอันตราย ยังดีที่แม่ทัพเจียงรู้เหตุผลข้อนี้เช่นกันจึงพาพวกเขากลับมาได้ทันเวลา”
“เช่นนั้นเกาะพวกเรา… ระยะนี้คงก่อสร้างไม่ทันแล้วใช่หรือไม่?”
“ระยะนี้ยังไม่รีบร้อน ชีวิตคนสำคัญที่สุด อย่าได้เอาชีวิตของพวกเขาไปเสี่ยง”
ขบวนเรือมาถึงฝั่งแล้ว ทหารที่ชนะการต่อสู้ครั้งนี้ช่วยสหายร่วมรบที่ได้รับบาดเจ็บลงจากเรือ
มู่ซืออวี่ที่อยู่บนฝั่งได้เตรียมการไว้แล้ว ทันทีที่ทหารลงจากเรือก็มีท่านหมอเข้ามาดูแลทำแผลให้ทันที
“แม่ทัพเจียง เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ลู่เยี่ยยังมีชีวิตอยู่ คนที่เขาพาไปที่เกาะเสียชีวิตแล้วห้าคน ส่วนที่เหลือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่นายช่างบนเกาะนั้น…”
เจียงหว่านเฉินไม่ได้กล่าวต่อ ทว่าดูจากสีหน้าของเขาก็ทราบผลลัพธ์แล้ว
“แม่ทัพเจียง โจรเหล่านั้นเป็นผู้ใด? ท่านเค้นอะไรออกมาได้หรือไม่?”
“ข้ายังไม่ได้เอ่ยถาม ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง หากข้าพบเบาแสจะต้องแจ้งท่านอย่างแน่นอน”
มู่ซืออวี่มองทหารจับกุมโจรที่เหลือขึ้นฝั่ง
สายตาของนางหยุดอยู่ที่เท้าของโจรเหล่านั้น
“ท่านแม่…” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “รองเท้าที่โจรพวกนั้นสวมใส่ดูเหมือนจะเป็นแบบที่แพร่หลายในเมืองหลวง”
“ไม่ผิด” มู่ซืออวี่กล่าว “แม่ทัพเจียง ท่านตรวจสอบที่มาของคนเหล่านี้เสียก่อนเถิด หากพวกเขาเต็มใจพูดก็แล้วไป แต่หากไม่เต็มใจก็ไม่จำเป็นต้องเก็บพวกเขาเอาไว้ คนพวกนี้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่จำเป็นต้องสงสารพวกมัน”
“ฮูหยินโปรดวางใจ”
คนเหล่านี้มีกลิ่นอายรอบกายอย่างคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ย่อมไม่ใช่กลุ่มโจรทั่วไปอย่างแน่นอน หากเป็นโจรจริง ๆ ไฉนไม่มีกลิ่นอายอย่างพวกโจร แต่กลับมีกลิ่นอายเหมือนนักรบเดนตายเล่า ช่างแปลกจริง ๆ
ช่างฝีมือบนเกาะมรกตถูกสังหาร มู่ซืออวี่ในฐานะนายจ้างย่อมต้องรับผิดชอบพวกเขา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชาวบ้านมากมายที่สูญเสียผู้เป็นที่รัก มู่ซืออวี่ทำได้เพียงชดเชยพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากบ้านใดมีผู้ที่สามารถทำงานได้ นางก็จะให้มาทำงานกับนาง ทั้งยังให้ค่าตอบแทนสูงลิ่ว หากบ้านใดไม่มีผู้ใดที่ทำงานได้ นางก็จะให้เงินก้อนใหญ่แก่พวกเขา เป็นเงินที่เพียงพอต่อค่าอาหารการกินรวมถึงเครื่องนุ่งห่มไปตลอดชีวิต
แน่นอนว่า เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งยังไม่อาจเยียวยาความเจ็บปวดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักได้ อย่างไรก็ตาม คนตายไม่อาจฟื้นคืนชีพกลับมา นางจึงทำได้เพียงจ่ายค่าชดเชยให้ชีวิตภายภาคหน้าของคนที่เหลืออยู่ดีขึ้นเท่านั้น
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ช่างฝีมือจำนวนมากไม่ยินดีรับงานก่อสร้างบนเกาะอีก ดังนั้นมู่ซืออวี่จึงทำได้เพียงเรียกช่างไม้จากเมืองหลวงมาช่วยและจ้างช่างปูกระเบื้องที่ไม่กลัวตายด้วยค่าแรงสูงลิ่ว
“ฮูหยิน…” เจียงหว่านเฉินมาเยี่ยมเยือน
มู่ซืออวี่กำลังจะออกไป เมื่อได้ยินว่าเจียงหว่านเฉินมาแล้ว นางจึงต้องเลื่อนเวลาออกไปข้างนอก
“ท่านแม่ทัพเจียงยุ่งเพียงนี้ วันนี้กลับมาหาข้า หรือว่าโจรเหล่านั้นสารภาพออกมาแล้ว?”
“คนเหล่านั้นปากแข็งเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะตีพวกเขาเพียงใดก็ไม่ยอมสารภาพ วันนี้มีหลายคนกินยาพิษฆ่าตัวตาย”
“กินยาพิษหรือ?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “หากพวกเขาคิดจะตาย คงกินยาพิษตั้งแต่แรก ย่อมไม่มากินในตอนนี้อย่างแน่นอน ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่าถูกลอบฆ่า”
“ไม่มีผู้ใดเห็นผู้อื่นเลย”
“แม่ทัพเจียง หรือว่าข้างกายท่านมีสายของพวกมัน?” มู่ซืออวี่เอ่ย “คนเป็นดั่งป่าไม้ใหญ่ ไม่ว่านกอะไรล้วนมี ข้างกายท่านมีผู้ใต้บังคับบัญชามากมายเพียงนี้ หากมีผู้ใดซื้อตัวไปสักคนสองคนก็เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง”
“ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง” เจียงหว่านเฉินเอ่ย “ถึงแม้พวกเขาจะไม่สารภาพ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย ข้าพบเบาะแสบางอย่างที่พวกมันเผยออกมา พวกมันมาจากเมืองหลวงจริง ๆ ทว่าเป้าหมายของพวกมัน ดูเหมือนจะไม่ใช่ท่าน ฮูหยิน หากแต่เป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลลู่”
“ลูกสาวข้า?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “เด็กคนนั้นเป็นเพียงแม่นางน้อยผู้หนึ่ง ห่างไกลจากเรื่องทางโลก หมู่นี้ก็เพียงเข้ามาช่วยข้าดูแลกิจการเท่านั้น เหตุใดนางถึงได้กลายเป็นหนามยอกอกผู้อื่นเล่า? หากมาเพื่อบุตรสาวข้าจริง ๆ เช่นนั้นผู้ที่น่าสงสัยก็น้อยลงแล้ว ผู้ใดจะกล้าลงมือทำเรื่องโหดร้ายเช่นนั้นกับแม่นางน้อยเช่นนี้? เพื่อที่จะจัดการกับนาง ถึงกับยอมเล่นละครฉากใหญ่ เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นคิดจะฆ่าลูกสาวข้า แต่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่านางถูกลอบสังหาร โดยต้องการให้ผู้อื่นคิดว่าลู่จื่ออวิ๋นถูกโจรฆ่ากลางทะเล แผนการหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้จะเป็นฝีมือของบุรุษได้อย่างไร เกรงว่าคนที่คิดจะจัดการลูกสาวข้าคงเป็นสตรี”
“ฮูหยินมีผู้ที่สงสัยอยู่ในใจแล้วใช่หรือไม่?”
“แม่ทัพเจียงฉลาดหลักแหลมเพียงนี้ คิดว่าคงตรวจสอบออกมาได้นานแล้วกระมัง?” มู่ซืออวี่เอ่ย “เช่นนั้นข้าเชื่อใจแม่ทัพเจียง เรื่องนี้ข้าฝากฝังไว้กับท่านแล้ว นอกจากนี้ คนของท่านยังได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยลูกสาวของข้า ค่าตรวจอาการและค่ายาของพวกเขา ข้าจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่”
“ขอบคุณฮูหยิน” เจียงหว่านเฉินลุกขึ้นยืน “ในเมื่อฮูหยินฝากฝังเรื่องนี้ไว้กับข้า เช่นนั้นข้าย่อมต้องตัดสินใจเองแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้ามาจากด้านนอก “พี่ใหญ่เจียง เป็นเซวียนหวางเฟยใช่หรือไม่?”