บทที่ 672 เซวียนหวางเฟยป่วยแล้ว
บทที่ 672 เซวียนหวางเฟยป่วยแล้ว
“ท่านอ๋อง แต่ไหนแต่ไรมาฮูหยินลู่ก็เป็นคนฉลาด นางไม่มีทางส่งของน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้มาล่วงเกินท่านโดยไร้หลักฐานเป็นแน่ หรือว่านางมีความนัยอื่น?” ที่ปรึกษาเอ่ยถาม
“มีความนัยอื่น?…”
“วันนี้หวางเฟยมีท่าทีแปลกไปเล็กน้อย” ผู้ติดตามที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ตอนที่นางมองศีรษะเหล่านั้น มีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้อง นอกจากความกลัวแล้ว ยังมีอารมณ์คล้ายกับว่าไม่เชื่อสายตาด้วย”
“เจ้าหมายความว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางอย่างนั้นหรือ?” เซวียนอ๋องยิ้มเยาะ “ดี! ไปตรวจสอบคนรอบกายหวางเฟย หาออกมาให้ได้ว่าระยะนี้สกุลหยางทำเรื่องชั่วช้าอะไร!”
หลังจากหยางอีเหรินกลับเข้ามาในห้องแล้ว นางก็ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หลับอยู่บนเตียง
สาวใช้ที่อยู่ข้างนอกตะโกนขึ้น “หวางเฟย ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?!”
“ศีรษะเหล่านั้น… คนเหล่านั้นตายตาไม่หลับ ดวงตาเบิกกว้าง พวกเจ้าคิดว่าพวกมันจะมาเอาชีวิตข้าหรือไม่?” หยางอีเหรินร้องอย่างหวาดผวา
เหล่าสาวใช้มองหน้ากันไปมา
“หวางเฟย คนพวกนั้นตายไปแล้วนะเจ้าคะ คนตายไม่อาจพูดได้ ย่อมไม่สร้างปัญหาให้หวางเฟยอย่างแน่นอน นอกจากนี้แล้ว หากคนตายเก่งกาจเพียงนั้น เช่นนั้นคนก่อนหน้านี้…”
ไม่ใช่ว่าหยางอีเหรินไม่เคยฆ่าคนมาก่อน ไม่เพียงแค่เคยฆ่าเท่านั้น แต่ยังเคยฆ่าด้วยสองมือของนางด้วย ในตอนนั้นนางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนี้ บัดนี้จู่ ๆ ต้องพบเจอกับศีรษะมากมายเพียงนั้นก็พลันทำตัวไม่ถูกขึ้นมา นั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดนางจึงสูญเสียการควบคุมตนเองเช่นนี้
“จะต้องเป็นนังปีศาจจิ้งจอกลู่จื่ออวิ๋นผู้นั้นส่งมาแน่!”
นอกจากนางก็ไม่มีผู้อื่นแล้ว
สาวใช้พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หยางอีเหรินส่งคนไปฆ่าอีกฝ่าย บัดนี้คนเหล่านั้นกลับถูกฆ่า ศีรษะยังถูกส่งมาถึงจวนอ๋อง นอกจากลู่จื่ออวิ๋นแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถทำเช่นนี้ได้
“หวางเฟย ไม่เช่นนั้นพวกเราหยุดลงมือกับคุณหนูผู้นั้นดีหรือไม่เจ้าคะ?” สาวใช้เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้นางอยู่เมืองซานหลิน อยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายวัน ท่านอ๋องก็ลืมนางไปนานแล้ว นอกจากนี้ ท่านก็เป็นพระชายาที่ท่านอ๋องส่งเกี้ยวแปดคนหามไปรับตัวมา หากท่านอ๋องอยากแต่งกับนางจริงก็ไม่อาจข้ามหัวท่านไปได้ ถึงตอนนั้น นางยังไม่ต้องยกน้ำชาคารวะท่านอีกหรือเจ้าคะ? หากนางแต่งเข้ามาแล้ว ย่อมสามารถควบคุมจัดการได้ง่ายกว่าเดิมเสียอีก”
หยางอีเหรินจะไม่เข้าใจกฎเหล่านี้ได้อย่างไร?
สกุลหยางมีสตรีเรือนหลังมากมาย ท่านแม่ของนางโดดเด่นออกมาจากลุ่มคนเหล่านั้นได้ เพราะนางมีวิธีการกำราบสามีของนาง
อย่างไรก็ตาม รูปโฉมของลู่จื่ออวิ๋นนั้นอันตรายเกินไป นางไม่อาจปล่อยให้คนที่ไม่อาจควบคุมได้ผู้นี้อยู่ข้างกาย
“เรื่องนี้ฟ้ารู้ ดินรู้ พวกเจ้ารู้ ข้ารู้ หากข้าได้ยินเรื่องเล่าลืออะไรข้างนอก หมายความว่าจะต้องเป็นหนึ่งในพวกเจ้าที่ทรยศข้า ถึงตอนนั้นอย่าได้หาว่าหวางเฟยผู้นี้ไม่ปรานี!”
“บ่าวไม่กล้า!”
จ้าวอวิ๋นซวงเดินอุ้มลูกอยู่ในสวน
แสงแดดส่องลงมาบนใบหน้าอ่อนโยนของนาง ราวกับแสงสว่างที่เปล่งประกายเพื่อนางโดยเฉพาะ
ขณะที่เซวียนอ๋องเดินผ่านก็เห็นใบหน้าด้านข้างที่คล้ายคลึงกับลู่จื่ออวิ๋นเข้าพอดี โดยเฉพาะยามที่นางแย้มยิ้มเช่นนี้ หว่างคิ้วกับดวงตาของนางยิ่งเหมือนกับคุณหนูผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีเขากำลังเตรียมตัวจะออกจากจวน แต่ยามนี้เซวียนอ๋องกลับหยุดชะงักไปชั่วขณะ
“อนุจ้าว ท่านอ๋องมาแล้ว” แม่นมเอ่ยเตือนนาง
จ้าวอวิ๋นซวงค่อย ๆ หมุนกาย จากนั้นจึงค้อมคำนับให้กับเซวียนอ๋อง
นับแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้เงยหน้ามองเขาแม้แต่น้อย ดูเฉยชาเป็นอย่างยิ่ง
“ซู่เอ๋อร์สูงขึ้นแล้ว” เซวียนอ๋องมองบุตรชายคนโตของตนเอง จากนั้นจึงรับมาจากอ้อมแขนของจ้าวอวิ๋นซวง
เด็กน้อยเพิ่งได้เห็นท่านพ่อของตนใกล้ถึงเพียงนี้ครั้งแรก ดวงตาของเขาฉายแววฉงน เขาเอื้อมแขนอ้วนป้อมของตนออกไปดึงผมของบิดา ใบหน้าประดับรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เซวียนอ๋องเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้กล้าไม่เบา”
“เหมือนท่านอ๋องตอนยังเด็กเลยนะขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยกับเขา “ตอนที่ท่านอ๋องยังเล็กก็เหมือนกับคุณชายซู่เอ๋อร์ไม่มีผิด เหล่าพระชายาพระสนมในวังล้วนชอบเล่นกับท่าน แม้แต่ยามที่ท่านพลิกตัวก็ยังน่ามองเป็นอย่างยิ่ง”
“กล้าเอ่ยคำโกหกตาไม่กะพริบเสียด้วย” เซวียนอ๋องเหลือบมอง “ในวังหลวงที่กลืนกินคนไม่คายกระดูกแห่งนั้น เสด็จแม่ของข้ามีลูกชาย พระสนมคนอื่น ๆ ไม่มีลูกชาย เกรงว่าแทบจะอดใจจับข้ายัดลงท้องไม่ไหวสิไม่ว่า จะชอบเล่นกับข้าได้อย่างไร?”
เมื่อหันกลับไปมองจ้าวอวิ๋นซวงอีกครั้ง เซวียนอ๋องจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าเลี้ยงดูสั่งสอนลูกนับว่ามีความชอบ นับแต่นี้ไปเจ้าคือกุ้ยเฉี้ย*[1] สามารถสร้างโรงครัวเล็ก ๆ ขึ้นเองได้ อยากทานอะไรก็ให้บ่าวไปทำให้”
“ขอบคุณท่านอ๋อง” จ้าวอวิ๋นซวงเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งสุขุม
เซวียนอ๋องมองจ้าวอวิ๋นซวง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าสีหน้าเฉยชาเช่นนี้ของนางคล้ายคลึงกับลู่จื่ออวิ๋นยิ่งนัก
“วันนี้ข้าจะไปหาเจ้า”
“เพคะ”
เซวียนอ๋องหมุนกายจากไปแล้ว
ทันทีที่เขาจากไป แม่นมข้าง ๆ ก็ร้อนรนขึ้นมา
“วันนี้พบกับท่านอ๋องอย่างหาได้ยากนัก เหตุใดท่านไม่เอ่ยสักสองสามคำ? ท่านต้องทำให้ท่านอ๋องรู้ว่าท่านคิดถึงเขาเพียงใด ให้เขาจดจำท่านได้สิเจ้าคะ ไม่เช่นนั้น ผ่านไปนานวันเข้า เขาก็คงจะจำไม่ได้ว่าท่านเป็นผู้ใดแล้ว ท่านไม่คิดถึงตนเอง ท่านก็ควรคิดถึงคุณชายน้อยซู่เอ๋อร์ เขาเป็นบุตรชายคนโตของจวนอ๋อง อีกทั้งยังเป็นทายาทชายเพียงคนเดียวจนถึงตอนนี้”
“แม่นม ข้าขอแนะนำท่านสักคำ หากไม่ใช่ของของเรา เราก็อย่าได้คิดมากถึงเพียงนั้น ไม่เช่นนั้นจะดีใจเก้อเสียเปล่า ในทางกลับกันจะกลายเป็นการทำร้ายสุขภาพตนเองด้วย” จ้าวอวิ๋นซวงอุ้มฟ่านซู่แล้วเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าได้อยู่กับซู่เอ๋อร์ ไม่มีผู้ใดมารบกวนชีวิตของพวกเรา”
“แต่ว่า ทางหวางเฟย…”
“ข้าให้กำเนิดซู่เอ๋อร์ ไม่ว่าหวางเฟยจะโกรธเพียงใดก็ไม่กล้าทำอะไรลูกชายข้า ไม่เช่นนั้นท่านอ๋องต้องไม่ปล่อยนางไปเป็นแน่ สิ่งเดียวที่ข้าหวังในตอนนี้คือขอให้ซู่เอ๋อร์ได้เติบใหญ่อย่างปลอดภัย สิ่งอื่นล้วนไม่ใช่ของข้ามาตั้งแต่ต้น”
ระยะนี้เซวียนอ๋องมักจะมาที่ห้องของจ้าวอวิ๋นซวง หลังจากหยางอีเหรินทราบเรื่อง นางก็เปลี่ยนชุดเครื่องเรือนชุดแล้วชุดเล่า ท้ายที่สุดวันหนึ่ง หลังจากรู้ว่าทางอนุเจ้าขอน้ำถึงสามครั้งกลางดึก หยางอีเหรินก็ล้มป่วย
หลังจากหยางอีเหรินล้มป่วย เซวียนอ๋องไม่ได้มาเยี่ยมนาง ทั้งยังส่งต่ออำนาจในการจัดการเรือนให้จ้าวอวิ๋นซวง
อำนาจในการควบคุมดูแลจวนเซวียนอ๋องถูกส่งต่อไปให้อนุผู้หนึ่ง เรื่องนี้ไม่ต่างจากการตบหน้าหยางอีเหริน
ทันทีที่หยางอีเหรินล้มป่วย นางก็ไม่มีโอกาสได้ฟื้นตัวขึ้นมาอีก สกุลหยางมาเยี่ยมเยือน ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกขวางเอาไว้ข้างนอก ด้วยเหตุผลว่าเซวียนหวางเฟยต้องการพักผ่อน สถานการณ์ภายในจวนอ๋องเป็นอย่างไรนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้
มู่ซืออวี่ได้ยินลูกน้องรายงาน ใบหน้าของนางพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องเอาคืนนางแล้ว อย่างไรก็ตาม ป่วยไปง่ายดายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเซวียนหวางเฟยผู้นี้จะร่างกายไม่แข็งแรงนัก”
“จะว่าไปแล้วก็แปลกยิ่งนัก พวกเราส่งศีรษะเหล่านั้นไปคงไม่ทำให้นางกลัวถึงขั้นล้มป่วยกระมัง?” ซางจือเอ่ย “ได้ยินว่าเซวียนหวางเฟยฆ่าคนมาไม่น้อย นางคงไม่ได้ขี้กลัวเพียงนั้น”
“สกุลหยางไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เซวียนหวางเฟยโง่เขลาเพียงนี้ เซวียนอ๋องจะเก็บสถานะหวางเฟยของนางไว้ได้อย่างไร ย่อมต้องว่างเว้นสถานะนี้ไว้เสียก่อน ภายหน้ายังเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้”
[1] กุ้ยเฉี้ย คือ อนุที่มีบุตรชาย เป็นสถานะของอนุที่สูงศักดิ์