สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 680 ความเท็จไม่อาจเป็นความจริง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 680 ความเท็จไม่อาจเป็นความจริง

บทที่ 680 ความเท็จไม่อาจเป็นความจริง

เมื่อลู่อี้ปรากฏกาย สีหน้าของเซวียนอ๋องยิ่งไม่น่าดูชมมากกว่าเดิม

จงอ๋องกลับมาเมืองหลวงเร็วกว่าที่คาดไว้ครึ่งเดือน ตามแผนการของเซวียนอ๋อง เมื่อจงอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวง เขาจะต้องขึ้นครองราชบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว แล้วนี่ยังมีลู่อี้โผล่มาอีก นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาแล้วอย่างลับ ๆ อีกทั้งคนของเซวียนอ๋องเองก็ยังไม่ได้ข่าวคราวแม้แต่น้อย

ผู้เชี่ยวชาญที่ลู่อี้พามาเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในท้องที่ หลาย ๆ คนล้วนรู้ว่าเขาประสบความสำเร็จด้านศิลปะการคัดตัวอักษร ด้วยเหตุนี้เมื่อเขากล่าวว่า ‘ราชโองการพระราชทานราชสมบัติเป็นของปลอม’ สีหน้าของทุกคนจึงได้แปลกประหลาดถึงเพียงนั้น

ราชโองการพระราชทานราชสมบัตินี้แน่นอนว่าต้องเป็นของปลอม

ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงพระอักษรนานแล้ว เขาจะเขียนถ้อยคำที่มีพลังเพียงนี้ได้อย่างไร? ถ้อยคำหยาบโลนที่เขาเขียนถึงเหมยเฟยต่างหากจึงจะปกติ

บัดนี้องค์ชายทั้งสองล้วนตอบโต้กันไปมาอย่างดุเดือด เหล่าขุนนางต่างตกใจกลัวกันถ้วนหน้า

“ทหาร พาองค์หญิงใหญ่เข้ามา!” จงอ๋องเอ่ยขึ้น

“ช้าก่อน…” องค์หญิงใหญ่ตะโกนขึ้น “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า?!”

“ราชโองการพระราชทานราชสมบัตินี้เป็นองค์หญิงใหญ่ที่นำมามอบให้ เหตุใดจะไม่เกี่ยวข้องเล่า?” ลู่อี้เอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ใต้เท้าฉี หน่วยลับของท่านเป็นพวกกินพืชหรือไร?”

ฉีเซียวผู้เงียบมาโดยตลอดหันไปมององค์หญิงใหญ่ จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของหน่วยลับที่อยู่ข้าง ๆ

เมื่อองค์หญิงใหญ่เห็นคนจากหน่วยลับตรงเข้ามาหาจึงเอ่ยขึ้นด้วยโทสะ “ฉีเซียว เจ้ากล้ารึ!”

“หน่วยลับฟังรับคำสั่งจากฝ่าบาทเท่านั้น” ใต้เท้าผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าฉีกลายเป็นสุนัขรับใช้ของใต้เท้าลู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน? ใต้เท้าลู่บอกให้กัดผู้ใด ใต้เท้าฉีก็จะกัดผู้นั้นหรือ!”

“ใต้เท้าหวังกล่าวได้ถูกต้อง เป็นความจริงที่หน่วยลับของเราคิดจะกัดผู้ใดก็กัดผู้นั้น ทหาร เชิญใต้เท้าหวังไปเยี่ยมเยือนคุกของหน่วยลับสักสองสามวัน!”

“ท่านอ๋อง ท่านจะนิ่งดูดายมองหน่วยลับที่สมคบคิดกับศาลต้าหลี่ แล้วกลายเป็นสมุนของจงอ๋องเช่นนี้หรือ?!” ใต้เท้าหวังหน้าเปลี่ยนสีด้วยความกลัว เขาร้องตะโกนไปทางเซวียนอ๋อง

แน่นอนว่าเซวียนอ๋องย่อมต้องปกป้องใต้เท้าหวัง ไม่เช่นนั้นขุนนางที่ติดตามเขาจะไม่ผิดหวังหรือ?

“ใต้เท้าฉี ใต้เท้าหวังไม่ได้ทำอะไรผิด หน่วยลับของพวกท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะลงมือกับเขา ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยลับรับคำสั่งจากฮ่องเต้เท่านั้น ก่อนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ใต้เท้าฉีหยุดพักก่อนจะดีกว่า”

“เรื่องนี้ง่ายดายนัก” ลู่อี้เอ่ยด้วยท่าทีสุขุม “กระหม่อมขอเชิญจงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์!”

“กระหม่อมขอเชิญจงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์!” ลู่เซวียนคุกเข่าลง

“กระหม่อมขอเชิญจงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์!” ฉีเซียวก็คุกเข่าลงเช่นเดียวกัน

เหล่าขุนนางคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันไปมา

แน่นอนว่าผู้ที่เดิมทีภักดีต่อจงอ๋องย่อมแสดงจุดยืนของพวกเขาโดยไม่ลังเล คนที่ทุกข์ร้อนย่อมเป็นขุนนางฝ่ายเซวียนอ๋อง บัดนี้พวกเขาขยับตัวไปทางไหนก็ไม่ได้จึงทำได้เพียงมองเซวียนอ๋องเท่านั้น

“ท่านอ๋อง ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?” ขุนนางอาวุโสผู้หนึ่งเอ่ยถามเซวียนอ๋อง

เซวียนอ๋องย่อมไม่ยินดีพ่ายแพ้ ทว่าตอนนี้จงอ๋องมีทั้งกองทัพและขุนนางที่นำโดยลู่อี้ที่ภักดี เขาเองไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย

เขามีทางเลือกเพียงสองทาง หนึ่งคือกบฏ หากเขากบฏก่อนที่จงอ๋องจะขึ้นครองบัลลังก์ ย่อมมีโอกาสชนะอยู่บ้าง สองคือยอมพ่ายแพ้ แม้เขาจะไม่อยากกล้ำกลืนฝืนทนก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนมันลงไป ท้ายที่สุด จงอ๋องย่อมไม่กล้าทำอะไรเขา

“ท่านอ๋อง ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าพวกเราแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ลู่อี้กลับมาแล้ว ข้างนอกย่อมต้องเตรียมการมาเป็นอย่างดี คนเพียงหยิบมือของเราไม่เพียงพอแล้ว”

“ลู่อี้ จงอ๋อง…” เซวียนอ๋องกำหมัดแน่น “ข้าไม่ยินดีพ่ายแพ้ เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างพร้อมพรักแล้ว ขาดเพียงลมบูรพาเท่านั้น!”

“ขอเพียงขุนเขายังเขียวขจี ไม่กลัวไม่มีฟืนเผา!*[1]”

“ข้าขอแสดงความยินดีกับเสด็จพี่ที่ขึ้นครองราชบัลลังก์” เซวียนอ๋องข่มความโกรธเอาไว้ในใจแล้วกล่าวด้วยความเคารพ

ขุนนางคนอื่น ๆ เห็นดังนี้จึงดับไฟโทสะลง

ขุนนางคนแล้วคนเล่าคุกเข่าลงเบื้องหน้าจงอ๋อง แสดงความซื่อสัตย์ภักดีต่อเขา

สีหน้าขององค์หญิงใหญ่ไม่น่าดูชมนัก

ราชโองการพระราชทานราชสมบัติเป็นสิ่งที่นางนำออกมา ยามนี้ผู้อื่นล้วนยอมรับจงอ๋องเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว เช่นนั้นทั้งหมดที่นางทำไปนับเป็นอะไร?

นางจ้องมองเซวียนอ๋องอย่างดุร้าย

ทว่าเซวียนอ๋องราวกับมองไม่เห็นสายตาคู่นั้น อีกทั้งยังไม่รับรู้ถึงความโกรธของนาง

“เสด็จพี่ องค์หญิงใหญ่เพียงสับสนไปชั่วขณะ เสด็จพี่ได้โปรดเมตตาด้วยเถิด” เซวียนอ๋องเอ่ย

“ข้าไม่ใช่คนใจคอคับแคบ เพียงแต่คิดว่าองค์หญิงใหญ่คงกังวลที่เสด็จพ่อจากไปกะทันหัน อีกทั้งยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท คงเกรงว่าพวกเราสองพี่น้องจะห้ำหั่นกัน องค์หญิงใหญ่มีเจตนาดี ข้าไม่ตำหนินาง”

จงอ๋องโบกมือหนึ่งครั้ง ผู้ที่จับกุมองค์หญิงใหญ่จึงปล่อยนาง

ท้ายที่สุดองค์หญิงใหญ่จึงผ่อนคลายลง

“เพียงแต่ การปลอมแปลงราชโองการพระราชทานราชสมบัติถือเป็นการกระทำความผิดร้ายแรง ข้าไม่อาจปล่อยองค์หญิงใหญ่ไปอย่างง่ายดาย เอาเช่นนี้เถอะ องค์หญิงใหญ่กลับไปทบทวนความผิดตนเองก็แล้วกัน จากนี้ไม่อนุญาตให้ออกจากจวนองค์หญิงเป็นเวลาครึ่งปี!”

เมื่อเหล่าขุนนางออกมาจากท้องพระโรง ทั่วทั้งร่างกายพวกเขาล้วนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

สถานการณ์เมื่อครู่นี้ ขอเพียงแค่มีอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อย พวกเขาทั้งหมดจะถูกกำจัดทันที

“เซวียนอ๋องจะยอมรับง่าย ๆ เช่นนี้หรือ?”

“ไม่ยอมรับแล้วจะทำอย่างไรได้? จงอ๋องนำกองทัพทหารนับหมื่นนายกลับมา แล้วไหนจะลู่อี้อีก ท่านคิดว่าเขาไม่มีไพ่ตายอยู่ในมือหรือ?”

“ฮ่องเต้สวรรคตได้แปลกยิ่งนัก!”

“ชู่ว! คำพูดเช่นนั้นก็อย่าได้เอ่ยออกมาเลย ถึงอย่างไรครานี้เซวียนอ๋องก็ยกหินทับเท้าตนเองแล้ว”

“เขาทำเรื่องมากมายมานานเพียงนี้ กลับเป็นตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นเสียแล้ว”

จงอ๋องเพิ่งกลับมาย่อมต้องจัดการกองกำลังทหารของเขา หลังจากเขาจัดการทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ได้จัดประชุมลับกับขุนนางหลายคนที่ใกล้ชิด

“ท่านอ๋อง เซวียนอ๋องยอมรับโชคชะตาของตนเช่นนี้? เหตุใดจึงรู้สึกว่านี่ง่ายเกินไปหน่อยแล้ว?” แม่ทัพผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ว่าเขายังมีแผนการอื่นอีกกระมัง?”

“ข้าพบว่ามีเด็กรับใช้ผู้หนึ่งเอ่ยกระซิบบางอย่างข้างหูของเซวียนอ๋อง จากนั้นเซวียนอ๋องก็ยอมสวามิภักดิ์ข้า เด็กรับใช้ผู้นั้นกระซิบอะไร พวกท่านผู้ใดรู้บ้าง”

“เด็กรับใช้ผู้นั้นแจ้งว่าทหารที่เดิมทีเซวียนอ๋องเตรียมไว้ข่มขู่ขุนนางถูกควบคุมไว้แล้ว เดิมทีพวกเขาก็ไม่มีกองกำลังมาเล่นหมากล้อมกระดานใหญ่กระดานนี้ พวกเขาแพ้ไปก่อนที่จะเริ่มเสียด้วยซ้ำ”

“ท่านจัดการหรือ?” จงอ๋องรู้ว่านี่เป็นฝีมือของลู่อี้โดยไม่ต้องคาดเดา

“ถึงแม้ข้าจะจากเมืองหลวงไปนาน ทว่าสายตาของข้าก็คอยจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเซวียนอ๋อง นอกจากนี้ เซวียนอ๋องได้ล่วงเกินสกุลหยาง สกุลหยางจึงมอบข้อมูลมากมายออกมา”

ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “หวางเฟยของเซวียนอ๋องไม่ได้มาจากสกุลหยางหรือ? สกุลหยางย่อมตระหนักถึงสถานการณ์ในยามนี้ดี นึกไม่ถึงว่าจะทอดทิ้งลูกเขยแล้วหันมาหาท่านอ๋อง”

“เซวียนอ๋องใช้งานสกุลหยางมานาน บัดนี้สกุลหยางไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป เซวียนหวางเฟยเป็นเพียงตำแหน่งในนามเท่านั้น นางล้มป่วยเรื้อรังมาสักพักแล้ว” ขุนนางอีกคนเอ่ยขึ้นมา “มิน่าเล่าสกุลหยางถึงได้แยกตัวออกจากเซวียนอ๋อง”

“ถึงแม้เซวียนอ๋องจะยอมรับเรื่องนี้เป็นการชั่วคราว ทว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ยอมแพ้ง่ายดายเพียงนี้แน่ ตราบใดที่ท่านอ๋องยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เรื่องนี้ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้ ระยะนี้ท่านอ๋องไม่อาจอยู่เพียงลำพังเป็นอันขาด” ลู่เซวียนกล่าว

“สำนักหอดูดาวหลวงว่าอย่างไร?”

“หนึ่งเดือนต่อจากนี้จะเป็นฤกษ์งามยามดี”

“สำนักหอดูดาวหลวงเป็นคนของเซวียนอ๋องกระมัง?”

“ไม่ผิด”

“ไม่รู้ว่าเขาคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก แต่ข้าตั้งตารอชมฝีมือของพระอนุชาจริง ๆ” จงอ๋องเย้ยหยัน “ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขากลับงอกกรงเล็บออกมา คิดจะตระครุบกัดกินข้าให้สิ้นซาก”

ครานี้เมื่อจงอ๋องกลับมายังเมืองหลวง เขาพบเจอกับการลอบสังหารนับสิบครั้ง นักฆ่าเหล่านั้นพอมีอุบายอยู่บ้าง เกือบทำให้จงอ๋องบาดเจ็บหนักถึงสองหน หนึ่งในสองหนนั้นทำให้จงอ๋องได้รับบาดเจ็บปางตาย รอดมาได้ก็นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว

[1] ขอเพียงขุนเขายังเขียวขจี ไม่กลัวไม่มีฟืนเผา หมายถึง ตราบใดที่ยังมีชีวิต ย่อมยังมีความหวัง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท