บทที่ 685 ขึ้นเรือแล้ว
บทที่ 685 ขึ้นเรือแล้ว
หลังจากเดินทางมาทั้งวัน ท้ายที่สุดมู่ซืออวี่ก็มาถึงท่าเรือก่อนที่เรือจะออก
นางยืนอยู่ที่ท่าเรือมองซางจือที่กำลังพูดกับเถ้าแก่เรือ
เถ้าแก่ของเรือมองมาทางมู่ซืออวี่ เมื่อเห็นป้ายในมือซางจือ ถึงได้พยักหน้าเบา ๆ
ซางจือกลับมาบอกว่า “เถ้าแก่เรือกล่าวว่าเรือของพวกเขาถูกกองคาราวานหนึ่งเช่าเหมาลำเอาไว้แล้ว เพียงแต่เถ้าแก่กองคาราวานนั้นยินดีให้พวกเราเดินทางไปด้วย จึงเอ่ยถามว่าพวกเรายินดีไปด้วยกันหรือไม่”
“อีกฝ่ายไม่ถือสา พวกเราจะถือสาอะไร ขึ้นเรือเถอะ!”
ฉานอีเอ่ย “บ่าวจะไปสอบถามสักหน่อยว่ากองคาราวานนั้นมาทำอะไร!”
“ข้าสอบถามมาแล้ว” ซางจือเอ่ย “พวกเขาขายเครื่องเคลือบลายคราม ครั้งนี้พวกเขาต้องส่งเครื่องเคลือบชุดหนึ่งไปยังเมืองเยียนจือ ระหว่างทางต้องผ่านเมืองซานหลิน”
ทุกคนขึ้นไปบนเรือ
มู่ซืออวี่ขอบคุณเถ้าแก่ของเรือก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงขอให้เถ้าแก่เรือพานางไปหาเถ้าแก่ของกองคาราวานเพื่อกล่าวขอบคุณ
สิ่งที่ซางจือเอาให้เถ้าแก่เรือดูเป็นป้ายของกองคาราวานสกุลฉิน อย่างไรเสียพวกนางก็มีกันหลายคนเพียงนี้คิดจะอาศัยเรือที่ผู้อื่นเช่าเหมาลำไว้ หากไม่ยืนยันตัวตน อีกฝ่ายย่อมไม่พูดคุยง่ายดายถึงเพียงนั้น
กองคาราวานสกุลฉินชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงนี้ หลังจากฉินเหวินหานกลายมาเป็นเจ้าของ กิจการกองคาราวานของสกุลฉินนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ ชื่อเสียงย่อมโด่งดังมากขึ้นตามไปด้วย
“ท่านนี้คือเถ้าแก่ลี่” เถ้าแก่เรือแนะนำทั้งสองคน “ท่านนี้คือฮูหยินลู่”
มู่ซืออวี่เอ่ยกับเถ้าแก่ลี่ “วันนี้ต้องขอบคุณเถ้าแก่ลี่เป็นอย่างยิ่งแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านอำนวยความสะดวก พวกเราครานี้คงต้องปวดหัว”
“ฮูหยินลู่ไม่ต้องเกรงใจ” เถ้าแก่ลี่เป็นชายชราผู้หนึ่ง ท่าทีเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง ทว่าถ้อยคำของเขายังคงสุภาพมากที่เดียว “ข้าคนนี้ชอบความเงียบสงบ เพียงแค่อย่าให้คนของท่านมาวุ่นวายแถวห้องข้าเป็นพอ”
“นั่นแน่นอน”
หลังจากขึ้นเรือ มู่ซืออวี่จึงนอนพักชดเชย อย่างไรเสียเพื่อที่จะรีบเดินทาง เมื่อคืนนี้นางทำได้เพียงหาที่โล่งกว้างนอนไปเพียงสองชั่วยามเท่านั้น บัดนี้เปลือกตาของนางหนักอึ้ง ไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป
เมื่อมู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับไปอย่างยาวนานก็พบว่าบนเรือมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน หลังจากลองสอบถามดูจึงพบว่านักเดินทางเหล่านั้นเดินทางมาเพื่อขึ้นเรือลำนี้ โดยให้ชาวประมงในท้องที่ตามเรือลำนี้มา
“นี่ไม่ถูกต้อง”
“มีอะไรไม่ถูกต้องเจ้าคะ?”
“หลายคนนั้นไม่ใช่นักเดินทางทั่วไป”
“บ่าวไปถามมาแล้วเจ้าค่ะ ผู้หนึ่งเป็นคนค้าขายกำลังรุดกลับบ้านไปเพื่อฉลองวันขึ้นปีใหม่! ผู้หนึ่งเป็นบัณฑิต เขาสอบตกหลายครั้งหลายคราทำได้เพียงกลับบ้านเพราะสิ้นหวังแล้ว ส่วนอีกสองคนเป็นผู้เฒ่าที่จะกลับบ้านไปเยี่ยมญาติ”
“เจ้าไปเชิญผู้เฒ่าเคราขาวผู้นั้นมา บอกเขาว่าข้าเห็นว่าเขาน่าสงสารจึงจะมอบอาหารให้”
ฉานอีเหลือบมองผู้เฒ่าเคราขาวแวบหนึ่ง
เขาสวมใส่เสื้อผ้าเก่ามอซอ แผ่นหลังงองุ้ม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยบ่งบอกวัย ดู ๆ ไปแล้วน่าสงสารทีเดียว
“บ่าวจะไปประเดี๋ยวนี้”
ไม่นานนัก ฉานอีก็เชิญผู้เฒ่าเคราขาวผู้นั้นมา
“ท่านผู้เฒ่า ข้าพอมีขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ้าง ท่านทานรองท้องสักหน่อยเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ย
ผู้เฒ่าเคราขาวผู้นั้นประกบมือขอบคุณ “ขอบคุณฮูหยิน”
“ฉานอี ลมพัดแรงเหลือเกิน ปิดหน้าต่างเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ฉานอีปิดหน้าต่างลง จากนั้นจึงไปปิดประตู
มู่ซืออวี่มองผู้เฒ่าเคราขาวที่กำลังทานขนมผู้นั้นแล้วเอ่ยขึ้นมา “ท่านผู้เฒ่า ท่านไม่ได้หิวมากหรือ ทานด้วยท่าทีที่สง่างามถึงเพียงนี้ ดูเหมือนไม่หิวเลยแม้แต่น้อย”
“ฮูหยินใจดีถึงเพียงนี้ ข้าต้องการมากเพียงใดท่านก็คงให้ได้มากเพียงนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกิน”
เสียงที่เอ่ยออกมานั้นกลับเป็นเสียงของชายหนุ่ม
มู่ซืออวี่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจึงเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าเป็นท่าน”
ผู้เฒ่าเคราขาผู้นั้นถอดหน้ากากหนังมนุษย์ จากนั้นจึงถอดหนังศีรษะปลอมออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา
“ท่านมองออกได้อย่างไร?”
“แววตาและท่าทีของท่าน” มู่ซืออวี่เอ่ย “แน่นอนว่าท่านแปลงโฉมได้แยบยลยิ่ง หากเป็นผู้อื่นย่อมจำท่านไม่ได้ ใบหน้าของท่านตอนนี้ก็เป็นของปลอมกระมัง? ดูไปแล้วแปลกตายิ่ง”
“หรือว่านี่คือสัญชาตญาณของสตรีที่ว่า?”
“บางทีอาจใช่” มู่ซืออวี่ส่งถ้วยน้ำชาให้เขา “ท่านมาปรากฏตัวที่นี่ ข้ามีลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลนัก นักฆ่าผู้นั้นที่ท่านกำลังตามล่าคงไม่ได้อยู่บนเรือลำนี้กระมัง?”
“ตอนนี้ยังหาไม่พบ” ฉีเซียวเอ่ย “ทว่า ตามที่ข้าวิเคราะห์ดูแล้ว เขาคงอยู่บนเรือลำนี้ ข้าไม่กล้านำคนขึ้นเรือมามากนัก หวังว่าเจ้าคนร้ายผู้นั้นคงมองการแปลงโฉมของพวกเราไม่ออก”
“ข้าจะช่วยท่านหา”
“ท่านอย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น” ฉีเซียวส่ายศีรษะเบา ๆ “ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ท่านเพียงแค่ปกป้องตนเองก็ใช้ได้แล้ว หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับท่าน ใต้เท้าลู่จะไม่ฆ่าข้าหรือ?”
ฉีเซียวปลอมตัวกลับมาเป็นผู้เฒ่าเคราขาวอีกครั้งแล้วเดินไปรอบ ๆ เรือ
บนเรือลำนี้มีคนเรือมากกว่ายี่สิบคน คนจากกองคาราวานมากกว่าสามสิบคน คนที่มู่ซืออวี่พามาอีกยี่สิบห้าคน และอีกสามคนที่ฉีเซียวพามา รวมทั้งหมดมีคนราว ๆ เก้าสิบคน
ข้างนอกเกิดเสียงทะเลาะเบาะแว้งดังขึ้น ฉานอีเดินเข้ามารายงาน “คนของเราทะเลาะกับคนของกองคาราวานเจ้าค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
มู่ซืออวี่ถามฉานอีขณะที่เดินออกไปดูสถานการณ์
ที่แท้เฒ่าแก่ลี่ไม่ชอบให้มีคนรบกวน แต่คนของมู่ซืออวี่มักจะเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น จึงไปรบกวนความสงบของเขา แน่นอนว่าคนที่เขาพามาก็ไม่พอใจเช่นกันจึงเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกับคนของนาง
“เถ้าแก่ลี่ ข้าต้องขออภัยแล้วจริง ๆ คนของข้าช่างเลินเล่อยิ่งนัก” มู่ซืออวี่รู้เหตุผลจึงเป็นฝ่ายขอโทษเถ้าแก่ลี่ก่อน “ลู่อิง เกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเรามีสหายสามคนไม่มีอาหารทานจึงคิดจะไปถามคนในครัว คนในครัวบอกว่าคนของเถ้าแก่ลี่เอาไปแล้ว ข้าจึงคิดจะไปถามผู้ดูแลจงข้างกายเถ้าแก่ลี่ ข้าเดินไปเดินมาอยู่ที่นี่สองสามครั้งจึงรบกวนเถ้าแก่ลี่เข้า”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” ผู้ดูแลจงเอ่ย “ฮูหยินลู่ ท่านวางใจ เรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบให้กระจ่าง หากคนของพวกเราทำเรื่องหยาบคายเช่นนั้นจริง จะต้องขออภัยทุกท่านอย่างแน่นอน”
“ผู้ดูแลจงตรวจสอบเถิด หากคนของข้าโกหก ข้าเองก็จะไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน”
ผู้ดูแลจงเรียกลูกน้องทั้งหมดของตนมา
เมื่อถามทุกคนดูแล้ว พวกเขาล้วนไม่ยอมรับว่าได้กระทำเรื่องเช่นนั้น
“ข้าไม่ได้โกหก” ลู่อิงเอ่ย “หากพวกท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นก็สามารถถามคนในครัวได้”
คนในครัวเป็นพยานให้ลู่อิงว่าเป็นคนของเถ้าแก่ลี่ที่นำอาหารหลายมื้อไปจริง ๆ ทำให้คนของมู่ซืออวี่สามคนต้องหิวข้าว อาหารแต่ละมื้อทำไว้ในจำนวนที่พอดีคน ไม่มีอาหารเพิ่มแล้ว
“เป็นผู้ใดกันแน่? ในเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ!” เถ้าแก่ลี่เอ่ยอย่างเยือกเย็น “ผู้ดูแลจง เจ้าให้คนในครัวยืนยันตัวตน ดูซิว่าที่แท้เป็นผู้ใดที่ฝ่าฝืนกฎ”
คนในครัวงานรัดตัวจนเท้าแทบไม่ได้แตะพื้น จะจำหน้าตาคนผู้นั้นได้อย่างไร?
ทุกคนสอบถามอยู่เป็นเวลานาน เขาก็บอกออกมาไม่ได้ ท้ายที่สุดเรื่องจึงจบลงแบบค้างคาเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายทำได้เพียงคุมคนของตนเองให้มากขึ้นเท่านั้น
“คนผู้นั้นคงเป็นนักฆ่า” ฉีเซียวเอ่ยเสียงเบาขณะที่เขาเดินผ่านมู่ซืออวี่ “เขาเชี่ยวชาญเรื่องการแปลงโฉม ตอนนี้หากแปลงโฉมเป็นผู้อื่นอยู่ท่ามกลางพวกเราก็อันตรายยิ่งแล้ว”
“ท่านคิดจะทำอย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าจะร่วมมือกับท่าน!”