บทที่ 691 จับชายเสื้อไว้ไม่ยอมปล่อย
บทที่ 691 จับชายเสื้อไว้ไม่ยอมปล่อย
ตกดึก เสียงหรีดหริ่งเรไรค่อนข้างชัดเจนในค่ำคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้
มู่ซืออวี่นอนอยู่บนโต๊ะ ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ชู่ว!” ฉานอีส่งสัญญาณให้เงียบ เมื่อนางเห็นซางจือกำลังเดินเข้ามา
ซางจือถือน้ำแกงรังนกเข้ามา เมื่อเห็นมู่ซืออวี่หลับอย่างสงบก็เอ่ยขึ้น “ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? ฮูหยินไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้วนะ”
“ไม่เพียงแต่หิวมาทั้งวัน แต่นางทั้งกระวนกระวาย เหนื่อยล้ากายและใจ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้นอนหลับพักสักหน่อยแล้ว อย่าเพิ่งไปรบกวนการพักผ่อนของนางจะดีกว่า!”
“ห้องข้าง ๆ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“ท่านหมอกำลังเฝ้าดู ตอนนี้ยังไม่ได้ยินว่ามีเรื่องอะไร”
ปัง! เสียงสนั่นหวั่นไหวดังมาจากห้องข้าง ๆ
ฉานอีและซางจือมองหน้ากัน
“ข้าจะไปดูหน่อย”
มู่ซืออวี่ลืมตาขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น?”
“ฮูหยิน ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ? บ่าวกำลังจะออกไปดูเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไร”
“ข้าจะไปด้วย”
ทันทีที่นายบ่าวมาถึงหน้าประตู ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
ท่านหมอมองมู่ซืออวี่อย่างกระวนกระวายใจ “ฮูหยิน เรื่องที่ข้ากังวลเกิดขึ้นแล้ว ใต้เท้าฉีตัวร้อนเป็นอย่างยิ่ง ข้าพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาตัวเย็นลงแล้ว”
มู่ซืออวี่มองฉีเซียวที่ยืนอยู่ข้างเตียงแล้วขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
“ใต้เท้าฉีไม่รู้สึกตัว ไม่ว่าผู้ใดก็แตะต้องเขาไม่ได้ ขอเพียงผู้ใดแตะต้องเขา เขาก็จะโจมตีคนผู้นั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังคงไม่ได้สติ ตอนแรกข้าสามารถใช้เหล้าขาวเช็ดตัวให้เขาได้ ตอนนี้แม้กระทั่งแตะต้องเขาก็แตะต้องไม่ได้แล้ว”
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปหา
“ฮูหยิน…” ฉานอีขยับมายืนขวางผู้เป็นนายอย่างร้อนใจ “ฮูหยิน ท่านอย่าเข้าไปเลยนะเจ้าคะ วรยุทธ์ของใต้เท้าฉีล้ำเลิศยิ่ง บ่าวไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา หากเขาใช้ท่าที่ถึงตายกับท่าน บ่าวจะช่วยท่านไม่ได้นะเจ้าคะ”
“ในมือเขาไม่ดาบไม่มีกระบี่ คงไม่ถึงกับฆ่าคนได้กระมัง”
“นี่ไม่แน่ไม่นอนนะเจ้าคะ!”
“หากเขาลงมือกับข้า ข้าจะทุบให้เขาหมดสติ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ท่านหมอ ท่านมียาที่ทำให้เขาหมดสติหรือไม่? ท่านใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบยามอบให้ข้าไว้ป้องกันตัวเสียหน่อยเถิด”
การกระทำของฉีเซียวในตอนนี้รังแต่จะทำร้ายตัวเอง ท่านหมอที่กำลังรักษาร่างกายให้เขาทำอะไรไม่สะดวกเลยแม้แต่น้อย
ท่านหมอทำตามที่นางขอ
มู่ซืออวี่เข้าไปไกล้ ๆ ฉีเซียวพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
เห็นได้ชัดว่าฉีเซียวลืมตาอยู่ ทว่าแววตาของเขากลับว่างเปล่า ราวกับไม่มีจิตวิญญาณ
เมื่อมู่ซืออวี่เข้าไปไกล้ เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างจึงคว้าคอของนางเอาไว้
“แค่ก ๆๆ”
“ฮูหยิน!…”
“อย่าเพิ่งเข้ามา…” มู่ซืออวี่ร้องบอกเสียงแหบแห้ง จากนั้นก็ตะโกนใส่ฉีเซียว “ใต้เท้าฉี… ใต้เท้าฉี… แค่ก ๆ หร่วนฉี!!!”
ฉีเซียวนิ่งงันไปชั่วขณะ
เขาปล่อยมือออกแล้ว
มู่ซืออวี่มองฉีเซียวแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า”
ซางจือดึงแขนของฉานอีเบา ๆ “ฮูหยินกำลังพูดอะไรน่ะ?”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราควรถาม” ฉานอีเอ่ย “พวกเราเพียงต้องดูแลความปลอดภัยของฮูหยินเท่านั้น”
มู่ซืออวี่เห็นฉีเซียวไม่ตอบจึงเข้าไปคว้าแขนของเขา จากนั้นดึงเขาไปที่เตียงและบอกให้เขานั่งลง
“ท่านหมอ ตอนนี้มาดูบาดแผลของเขาเถอะ”
“ได้”
บาดแผลของเขาเปิดออกนานแล้ว ต้องทำแผลใหม่อีกครั้ง
หลังจากทำแผลแล้ว ยังต้องลดอุณหภูมิร่างกายให้เขาด้วย
มู่ซืออวี่เห็นซางจือนำยาต้มเข้ามาจึงจะเข้าไปช่วย ทันใดนั้นชายเสื้อของนางกลับถูกคนดึงเอาไว้ นางหันกลับไปมอง เห็นฉีเซียวที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงกำชายเสื้อของนางไว้ในมือแน่น
ซางจือนำยาต้มเข้ามา
“ฮูหยิน ใต้เท้าฉีไม่ดื่มเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่พยายามแกะมือของฉีเซียวออก ทว่าเขากลับดึงเสื้อนางไว้ไม่ปล่อย ไม่ว่าจะพยายามดึงออกเพียงใดก็ตาม
“หร่วนฉี ข้าไม่ไปไหนหรอก ปล่อยเสื้อผ้าข้าก่อน”
สิ้นคำ มู่ซืออวี่พยายามดึงอีกครั้ง ทว่าดึงอย่างไรก็ยังคงดึงออกไม่ได้
“ช่างเถอะ ท่านหมอ ท่านเพียงกรอกยาลงไปก็เท่านั้น!”
“ทำอย่างนี้ไม่ดีกระมัง? เขาเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเชียวนะ หากเขาตื่นขึ้นมา เช่นนั้นข้าจะไม่ถูกเขาสับเป็นชิ้น ๆ หรือ?”
“วางใจเถอะ ข้าสั่งให้ท่านทำ หากเขาไม่พอใจ ข้าจะรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”
“เช่นนั้นก็ได้! ฮูหยิน ถึงตอนนั้นท่านต้องตัดสินให้ผู้น้อยนะขอรับ”
หลังจากช่วงเวลาแสนทรมานสองสามชั่วยามนี้ผ่านไป อุณหภูมิร่างกายของฉีเซียวก็ลดลง ฟ้าค่อย ๆ สว่างแล้ว
มู่ซืออวี่ทั้งเหนื่อยทั้งหิว เท้าสองข้างของนางราวกับผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ทุกย่างก้าวล้วนเป็นไปด้วยความยากลำบาก
“ฮูหยิน กินอะไรหน่อยนะเจ้าคะ!”
“ตอนนี้ข้าเขมือบช้างได้ทั้งตัวแล้ว”
มู่ซืออวี่กลับไปยังห้องของนางแล้วหลับลึก
เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็พบว่า ซางจือกำลังรดน้ำดอกไม้ ส่วนฉานอีกำลังอบร่ำให้เสื้อผ้าของนาง
เมื่อทั้งสองคนเห็นมู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมาก็รีบวางของในมือลงแล้ววิ่งเข้ามาหาทันที
“ฮูหยิน ท่านหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเชียวนะเจ้าคะ วันนี้เป็นวันถัดมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ใต้เท้าฉีเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ แต่แผลเขาไม่ค่อยดีนัก ท่านหมอกำลังรักษาแผลให้อยู่เจ้าค่ะ”
“ข้าจะไปดู”
“ทานอะไรก่อนเถอะนะเจ้าคะ!” ฉานอีดึงนางเอาไว้ หากท่านไม่ทานอะไรบ้างอาจจะเป็นลมเอาได้ ถ้าท่านเป็นลมไปต่อหน้าใต้เท้าฉี ใต้เท้าฉีจะต้องรู้สึกผิดเป็นแน่”
“เขาเป็นเช่นนี้เพราะเขาช่วยข้าเอาไว้ ควรเป็นข้าที่รู้สึกผิดกระมัง!”
“แต่ว่า…” ฉานอีลดเสียงลง “การที่ฮูหยินถูกกลุ่มฆาตกรวิปริตหมายหัวก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขานะเจ้าคะ หากกล่าวกันจริง ๆ แล้ว เป็นเพราะเขา ฮูหยินจึงเดือดร้อนไปด้วย”
“เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว ในห้องครัวมีอะไรกิน เจ้าก็ไปนำมาให้ข้าเถิด”
ฉานอีเตรียมโจ๊กมาแล้วเรียบร้อย
มู่ซืออวี่ทานโจ๊กไปถ้วยหนึ่ง จากนั้นจึงไปห้องข้าง ๆ เพื่อตรวจอาการฉีเซียว
ประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก
ฉีเซียวที่นั่งอยู่บนเตียงรีบจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบอย่างรวดเร็ว
ท่านหมอกำลังขูดเนื้อที่เน่าออกจากแผลของฉีเซียว เมื่อเขาเห็นนางจึงเอ่ยว่า “ฮูหยิน ท่านรอสักครู่ ประเดี๋ยวก็จัดการเสร็จแล้ว”
“ได้ ข้าไม่มองเสียก็จบเรื่อง ท่านจัดการโดยเร็วเถอะ!”
นางหันหลังให้ฉีเซียวแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
เสียงครางเบา ๆ ดังมาจากข้างหลัง บ่งบอกถึงความไม่สบายตัวของเจ้าของ
“เสร็จแล้ว” ท่านหมอวางมีดเล็ก ๆ ลง
เสียงเคร้งดังขึ้น มีดเล็ก ๆ เล่มนั้นตกลงบนจานทำให้เกิดเสียงกระทบเบา ๆ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ซืออวี่ไม่ได้หันกลับมา
“หลายวันนี้ต้องเฝ้าจับตาดูอย่างระมัดระวังไปก่อน เมื่อคืนก็นับว่าดีขึ้นแล้ว ไม่ได้ตัวร้อนถึงเพียงนั้น ต่อไปคงเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรเสียก็ผ่านจุดอันตรายไปแล้ว”
มู่ซืออวี่หมุนตัวกลับมามองฉีเซียว
“ใต้เท้าฉี ท่านรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ชะตายังไม่ถึงฆาต ภายหน้าท่านจะต้องเจริญรุ่งเรืองมีอนาคตที่สวยงามอย่างแน่นอน”
ฉีเซียวยิ้มบาง ๆ “ขอให้สมพรปากของฮูหยิน”
“หากท่านต้องการอะไรก็บอกบ่าวรับใช้ได้เลย ข้าไม่สะดวกมาที่นี่บ่อยนัก ขออภัยที่ข้าละเลยแล้ว”
“หากไม่ใช่ข้าทำร้ายฮูหยิน ฮูหยินคงไม่ต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้ โชคดีที่ไม่ได้ทำให้ฮูหยินบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รู้ว่าต้องอธิบายกับใต้เท้าลู่อย่างไร”
“ถ้อยคำเกรงใจเหล่านี้ไม่ต้องเอ่ยอีก ข้าฟังแล้วขนลุก ท่านอย่าได้ดีใจเกินไปนัก ท่านบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้ ถึงแม้หมอหลวงจะมาถึง ท่านก็อาจไม่ได้ฟื้นฟูร่างกายกลับไปเป็นอย่างเมื่อก่อน ท่านต้องเตรียมใจรับผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดเอาไว้”
“ฮูหยินไม่กลัวข้าจะทนรับความจริงไม่ไหวจนปล่อยวางไม่ได้หรือ?” ฉีเซียวยิ้มอย่างอ่อนแรง
“หากท่านเปราะบางเพียงนั้น คงไม่ได้เป็นถึงผู้บัญชาการของหน่วยลับ เมื่อก่อนผู้คนล้วนเห็นท่านเป็นสัตว์ร้าย แอบนินทาว่าท่านลับหลัง ท่านก็ยังมาที่นี่ไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้ท่านเป็นขุนนางที่มีคุณความชอบ ถึงแม้ฝีมือท่านจะดีเทียบเท่าเมื่อก่อนไม่ได้ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ย่อมไม่ผิดต่อท่าน ถึงตอนนั้นจะต้องเตรียมการงานอื่นให้ท่านรับผิดชอบอย่างแน่นอน”
“ข้ามีคำพูดจะเอ่ยกับท่านเพียงลำพัง” ฉีเซียวกล่าว
มู่ซืออวี่หันไปมองท่านหมอ จากนั้นจึงหันไปมองสาวใช้ทั้งสองคน “เช่นนั้นพวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ”