บทที่ 692 ความแตกแล้ว
บทที่ 692 ความแตกแล้ว
คนอื่น ๆ ออกไปแล้ว อีกทั้งก่อนจะไปยังปิดประตูไว้ให้อย่างแน่นหนา
มู่ซืออวี่หาที่นั่งแล้วหย่อนกายลง
ฉีเซียวขยับไปด้านข้างแล้วเอนตัวลงพิงกับหมอนอันอ่อนนุ่ม
หมอนเช่นนี้มีเพียงมู่ซืออวี่เท่านั้นที่มี นางทำเอง หมอนนี่เหมาะที่จะนอนเอนตัวบนเตียงอ่านบทละครพื้นบ้านเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าสาวใช้คนใดเป็นคนนำมาให้ ดังนั้นการที่ฉีเซียวได้เอนตัวพิงบนมันจึงผ่อนแรงไปได้ไม่น้อย
“ท่านจะเอ่ยอะไรหรือ?”
“ตอนที่ข้ายังไม่รู้สึกตัว ข้าได้ยินเสียงท่านเรียกข้าแว่ว ๆ”
“ตอนนั้นท่านคลุ้มคลั่งเล็กน้อย อีกทั้งยังบีบคอข้าไม่ยอมปล่อย โชคดีที่ข้าเรียกท่านสองสามครั้ง ท่านจึงยอมปล่อยมือ ไม่เช่นนั้นข้าคงทุบท่านให้หมดสติไปแล้ว”
“ตอนนั้นท่านเรียกว่าอย่างไร?”
“ในเมื่อท่านได้ยินข้าเรียก จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าข้าเรียกท่านว่าอะไร? หากท่านไม่รู้ จะรู้ตัวได้อย่างไรว่าข้าเรียกท่าน? ดังนั้น ท่านคงได้ยินแล้ว ถูกหรือไม่?”
“หมายความว่า ท่านรู้แล้วหรือ?”
“ท่านถามอะไร?”
ฉีเซียวเปิดผมด้านข้างออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บบางส่วน
บาดแผลบนใบหน้าได้รับการทายาแล้ว ทว่ายานั้นเป็นสีขาว ไม่ได้ส่งผลต่อการมองเห็นใบหน้าแต่อย่างใด
“เจ้าจำข้าได้แล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่” มู่ซืออวี่มองหน้าเขา “ใบหน้าของท่านได้รับบาดเจ็บทั้งยังมีเลือดอาบ ทว่าเค้าโครงของใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ข้าไม่ใช่คนโง่ จะจำท่านไม่ได้ได้อย่างไร? แต่ในเมื่อท่านไม่อยากให้คนจำได้ ข้าย่อมไม่เปิดโปง หากท่านอยากเป็นใต้เท้าฉี ไม่ชอบเป็นเถ้าแก่หร่วนผู้นั้น ข้าเพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็สิ้นเรื่องแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปท่านยังคงเป็นใต้เท้าฉี เถ้าแก่หร่วนเป็นเพียงตัวตนของท่านยามว่างและเบื่อหน่ายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องจริงจัง”
“แซ่หร่วนเป็นแซ่ของท่านแม่ข้า เวลาข้าไม่ได้ทำงาน ข้าจะใช้ชื่อนี้คบค้ากับผู้คน ข้าเข้าหน่วยลับตั้งแต่อายุสิบสาม เป็นทหารตั้งแต่ยังเล็ก ข้าจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อผ่อนคลาย”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เช่นนั้น ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ เล่า?”
“สกุลมารดาข้าทำกิจการนี้ ข้าชินหูชินตามาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะทักษะเรื่องกลไกมีประโยชน์ต่อคดีหลาย ๆ คดีของหน่วยลับ ข้าจึงเรียนมาบ้าง บางทีอาจเป็นเพราะสายเลือดของมารดาที่ไหลเวียนอยู่ในตัวข้า ข้าจึงมีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้เป็นอย่างมาก แม้กระทั่งท่านตายังกล่าวว่าข้าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง ต่อมาหากสกุลมีปัญหาใด ๆ พวกเขาก็จะเรียกตัวข้ากลับไปช่วยเหลือ ขอเพียงข้ากลับไปช่วย ข้าก็จะเปลี่ยนเป็นอีกตัวตนหนึ่ง”
“เถ้าแก่หร่วน ใต้เท้าฉี สองคนที่แตกต่างกันถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนเดียวกัน” มู่ซืออวี่มองฉีเซียว “ไม่มีหนทางที่คนทั่วไปจะมองฉีเซียวเป็นหร่วนฉีได้จริง ๆ”
“ขออภัย โกหกเจ้าแล้ว”
“นี่ไม่เรียกว่าเป็นการโกหก ท่านเพียงแค่ปกปิดมันเท่านั้น ตัวตนของท่านพิเศษถึงเพียงนี้ หากบางครั้งอยากเปลี่ยนไปใช้ชีวิตแบบธรรมดา ๆ บ้าง ข้าก็พอเข้าใจได้”
“เจ้าไม่โกรธก็ดีแล้ว”
“เรื่องนี้คงมีคนรู้ไม่มากกระมัง? ท่านวางใจ ข้าจะเก็บเป็นความลับให้ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านเพิ่งตื่นขึ้นมา ยังไม่รู้สถานการณ์ของฆาตรวิปริตเหล่านั้น คิดจะจัดการหน่อยหรือไม่?”
“ไม่รีบร้อน มอบให้คนของข้าไต่สวนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ได้”
มู่ซืออวี่ออกมาจากห้อง กำชับให้บ่าวรับใช้ดูแลฉีเซียวให้ดี ขอเพียงเป็นความต้องการของเขา หากเขาประสงค์สิ่งใดให้พยามจัดการให้
ไม่กี่วันถัดมา ลู่อี้ก็มาถึงเมืองซานหลินพร้อมกับหมอหลวง
มู่ซืออวี่กำลังปรึกษาหารือกับเหล่านายช่างของนางที่ชายหาด เมื่อเห็นร่างที่คุ้นตา ยังนึกว่าตนตาฝาดไปแล้ว
ลู่อี้ลงมาจากหลังม้า
เขาไว้หนวดเครา กลายเป็นบุรุษที่หล่อเหลาสง่างามผู้หนึ่ง โดยเฉพาะในตอนนี้ การที่เขามีตำแหน่งสูงส่งยิ่งดูน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก ราวกับแสงสว่างเดินได้
“ท่านมาได้อย่างไร?”
“เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้กับเจ้า ข้าจะวางใจได้อย่างไร?”
“แม้จะน่าหวาดกลัว หากแต่ข้าไร้อันตราย ท่านไม่ต้องโกรธแล้ว”
คนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้จึงรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้พวกเขาจะสงสัยใคร่รู้เรื่องลู่อี้เป็นอย่างยิ่ง แต่กลับรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่เจ้านายธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นอัครมหาเสนาบดีลู่ผู้ที่อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่นเชียวนะ!
“ข้าไม่ได้โกรธ เพียงแต่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น” ลู่อี้จูงมือนางเดินไปตามชายหาด
พวกเขาสามีภรรยาไม่ได้ผ่อนคลายในสถานที่สวยงามเช่นนี้มานานพอสมควรแล้ว
“ข้ารู้ ตอนนี้ท่านก็เห็นว่าข้ายังอยู่ดี ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”
มู่ซืออวี่มองลู่อี้ด้วยความคะนึงหา
“ท่านผอมลง หลังข้ามาที่นี่ทานข้าวไม่ลงใช่หรือไม่?”
“เจ้าไม่ได้ให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์คอยควบคุมข้าหรือ? เด็กคนนั้นถอดแบบมาจากเจ้าจริง ๆ ทุกวันข้าทานอยู่ที่ใด ทานอะไร นางจะให้จือเชียนคอยรายงานทุกอย่างให้ฟัง หากวันใดข้ายุ่งเกินไปได้ทานอาหารเพียงไม่กี่คำ ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางก็จะดูไม่ได้เป็นพิเศษ ทั้งอึมครึมทั้งบิดเบี้ยว เหมือนกับเจ้าไม่มีผิด”
มู่ซืออวี่หัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยว่า “ลูกสาวท่านเป็นเพียงเด็กน้อย ท่านก็พอใจเถิด อีกไม่กี่ปีเด็กน้อยก็จะไม่มีเวลามาห่วงท่านที่เป็นพ่อผู้นี้แล้ว ภายหน้านางคงไปตามติดสามีนางแทน”
“นางยังเล็ก ไม่รีบร้อน” ลู่อี้เอ่ย “เอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน เรื่องการแต่งงานของน้องหานกับแม่นางเจียงตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะจัดการเตรียมงานแต่งเมื่อเจ้ากลับไป”
“ครอบครัวเราจะมีงานมงคลอีกแล้วหรือ?”
“นั่นน่ะสิ”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา
หมอหลวงออกมาจากห้อง พบลู่อี้และภรรยาที่เพิ่งกลับมายังที่พักของสกุลลู่พอดี หมอหลวงรายงานสถานการณ์ของฉีเซียวตามความเป็นจริง ความหมายโดยทั่วไปคืออาการบาดเจ็บของฉีเซียวสาหัสเกินไปไม่อาจเคลื่อนไหวได้ หากเขาพักผ่อนให้ดีและทายาสมานกระดูกที่เตรียมไว้ให้เป็นประจำจะมีโอกาสฟื้นฟูได้ถึงหกส่วน แต่หากฝืนเคลื่อนไหวร่างกายตอนนี้ ไม่ดูแลรักษาให้ดี ไม่สงบใจพักรักษาตัว โอกาสในการหายดีย่อมเท่ากับศูนย์
“ต้องดูแลให้ดีจึงจะมีโอกาสหายถึงหกส่วน”
“เขาตกลงมาจากหน้าผาสูงเช่นนั้น อีกทั้งยังกระแทกหินระหว่างทางไม่น้อย มีโอกาสรักษาหายดีถึงหกส่วนก็ไม่ง่ายแล้ว ต้องขอบคุณที่ใต้เท้าฉีกระดูกแข็ง หากเป็นผู้อื่น เกรงว่าจะไม่รอด”
ลู่อี้ผลักประตูเดินเข้าไป
ฉีเซียวนั่งกินผลไม้อยู่ตรงนั้น
“ได้ยินแล้ว?”
“เสียงดังถึงเพียงนั้นข้ายังจะไม่ได้ยินหรือ?”
“ยังมีกะจิตกะใจกินผลไม้ หัวใจของท่านไม่เลวจริง ๆ”
“คำพูดนี้ข้าได้ยินมามาก ถึงตอนนี้ท่านพญายมยังไม่มารับข้าไป แสดงให้เห็นว่าข้าน่ะหนังเหนียวมาก เขาจึงไม่ยอมมารับไปเสียที”
ลู่อี้ยกชายผ้าขึ้น นั่งลงฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็หยิบชาขึ้นมาจิบ
ฉีเซียวไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร จึงเหลือบตามองแวบหนึ่ง “ท่านมีอะไรจะกล่าว?”
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านจึงมักจะใส่หน้ากากอยู่เสมอ ด้วยหน้าตาเช่นนี้ หากผู้อื่นพบเห็น พวกเขาคงไม่เอ่ยว่าใต้เท้าฉีแห่งหน่วยลับเหี้ยมโหดเพียงใด น่าเกรงขามเพียงใด แต่เป็นใต้เท้าฉีงดงามยิ่งกว่านักปราชญ์พานอัน*[1] ประหนึ่งเทพเซียน หากเป็นเช่นนั้น ชื่อเสียงของหน่วยลับคงไม่ขจรขจายไปไกลเพียงนี้ ไม่อาจใช้คุกคามใครได้”
ฉีเซียวยิ้มบาง ๆ “ไม่มีผู้ใดรู้ว่าฉีเซียวหน้าตาอย่างไร ข้าก็สะดวกในการจัดการหลาย ๆ เรื่อง อย่างเช่น การปลอมตัว แม้เป็นเพียงเล็กน้อยแต่ก็ช่วยได้มากทีเดียว”
“อย่างเช่นการปลอมตัวโกหกฮูหยินลู่ของเราอย่างนั้นหรือ?”
“ดูเหมือนฮูหยินลู่และใต้เท้าลู่จะไม่มีความลับต่อกันแม้แต่น้อย เรื่องนี้จึงไปถึงหูใต้เท้าลู่แล้ว” ฉีเซียวเอ่ยนิ่ง ๆ
“ก่อนหน้านี้ฮูหยินเคยเล่าว่านางมีสหายสนิทผู้หนึ่ง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นใต้เท้าฉี ท่านโกหกนางมากมายเพียงนี้ ปกติยามพบนางไม่รู้สึกผิดหรือ?”
“รู้สึกผิดน่ะสิ ถึงได้เกือบจะเสียสละชีวิตน้อย ๆ นี่ไปแล้ว ใต้เท้าลู่ ข้าทำเช่นนี้นับว่าจริงใจแล้วกระมัง?” ฉีเซียวเอ่ย “ทว่าเรือนย่อยของท่านนี้อยู่สบายทีเดียว จากที่นี่มองออกไปเห็นท้องทะเลได้ด้วย อีกทั้งกลางคืนก็ยังได้ยินเสียงคลื่น ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะให้ข้าอยู่เพียงพักฟื้นเลย จะให้ข้าอยู่ที่นี่นานเพียงใดก็ย่อมได้!”
[1] พานอัน คือบุรุษที่ได้ชื่อว่ารูปงามที่สุด เป็นนักปราชญ์และกวีที่มีชื่อเสียง