บทที่ 693 กลับเมืองหลวง
บทที่ 693 กลับเมืองหลวง
ฉีเซียวต้องพักผ่อนและไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้ ทว่าลู่อี้ในฐานะที่เป็นอัครมหาเสนาบดีไม่อาจอยู่ที่เมืองซานหลินตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว ราชทูตจากต่างแดนใกล้มาถึงเต็มที่ เขาต้องกลับไปดูแลสถานการณ์ภาพรวม
ด้วยเหตุนี้สองสามีภรรยาจึงทิ้งฉีเซียวไว้เบื้องหลัง
ฉีเซียวมีคนสนิทของตน พวกเขาจึงไม่ได้ให้คนของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องมากนัก
เดิมทีสองสามีภรรยาต้องการให้ฉีเซียวพักอยูที่บ้านสกุลลู่ แต่เจ้าบ้านล้วนจากไปแล้ว แน่นอนว่าแขกย่อมไม่ต้องการอยู่ในบ้านหลังนั้นอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงซื้อบ้านหลังข้าง ๆ แล้วใช้ความพยายามอย่างมากในการย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย
สองสามวันต่อมา ลู่อี้พาฮูหยินกลับไปที่จวน
“ท่านแม่…”
“ท่านแม่…”
ลู่จื่อชิงวิ่งเร็วเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีลู่ฉาวจิ่งวิ่งตามมาข้างหลัง
มู่ซืออวี่ยืดแขนออกไปกอดเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่วิ่งเข้ามาหานาง
ลู่อี้อุ้มลู่ฉาวจิ่งขึ้นมาทันที
ลู่ฉาวจิ่งกอดคอของลู่อี้แล้วตะโกนเสียงเจื้อยแจ้ว “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว จิ่งเอ๋อร์คิดถึงท่านมาก”
“ขี้ประจบนัก” ลู่จื่อชิงเอ่ยด้วยความรังเกียจ จากนั้นจึงหันไปเอ่ยเสียงหวานกับมู่ซืออวี่ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกคิดถึงพวกท่านมาก ๆๆๆ เลย หากพวกท่านไม่กลับมา ลูกคงกินไม่ได้ นอนไม่หลับเลยนะเจ้าคะ”
ลู่ฉาวจิ่งอ้าปากเหวอ สีหน้าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
มู่ซืออวี่เห็นเช่นนี้ก็บีบแก้มยุ้ยน่ารักของลู่ฉาวจิ่งเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ได้ประสบการณ์แล้วกระมัง? เรื่องทักษะการประจบ ยังเป็นพี่หญิงรองของเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุด”
ลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่ไม่ไกล มองภาพอันกลมเกลียวตรงหน้า
“ฉาวอวี่ วันนี้เจ้าหยุดพักผ่อนหรือ?”
มู่ซืออวี่จูงมือของลู่จื่อชิงเดินไปหาบุตรชายคนโต
ลู่ฉาวอวี่ค้อมคำนับบิดามารก่อน จากนั้นจึงเอ่ยตามความจริง “ระยะนี้ข้าป่วยจากลมหนาว ฝ่าบาทจึงอนุญาตให้ข้าหยุดสองสามวัน กลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน”
“ป่วยหรือ? ต้องเป็นเพราะเจ้าโหมงานหนักหลายปีมานี้เป็นแน่ อยู่ข้างนอกก็ไม่ได้กินของดีอะไร ร่างกายเจ้าจึงไม่ได้รับการดูแลที่ดี แม่จะไปทำน้ำแกงบำรุงสุขภาพให้เจ้า ช่วงนี้ต้องรักษาตนเองให้ดีหน่อยแล้ว”
ทั้งครอบครัวยากนักที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มู่ซืออวี่จึงว่างเว้นจากกิจการหลายวันติดต่อกัน เพื่ออยู่ดูแลพวกเด็ก ๆ และพยายามทุกวิถีทางเพื่อบำรุงร่างกายพวกเขา
เรื่องกิจการนั้นไม่ต้องกังวล เพียงแต่งานแต่งของมู่เจิ้งหานใกล้เข้ามาแล้ว
ทั้งสองสกุลปรึกษาหารือกันเมื่อใกล้ถึงวันแต่งงาน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี
“เกิดเรื่องแล้ว! เกิดเรื่องแล้ว!…” พ่อบ้านเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน “ฮูหยิน นายท่าน คุณชาย คุณหนู คุณหนูเจียงถูกฆ่าแล้ว!”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” มู่เจิ้งหานลุกขึ้นยืนพรวดพราด
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขากำลังทานข้าวเช้า
ทุกคนเพิ่งตื่นขึ้นมา ทั่วทั้งร่างยังคงไม่ตื่นเต็มตาดี แต่พ่อบ้านกลับเอ่ยถ้อยคำที่ชวนตกตะลึงเช่นนี้ มันกะทันหันเสียจนทำให้คนในจวนมึนงง ราวกับพวกเขาหูฝาดไปเอง
“พ่อบ้าน ข้างนอกเป็นผู้ใดมาหรือ?”
“ฮูหยินใหญ่จวนเจียงผู้นั้นขอรับ”
“น้องหาน ไปดูกันก่อนเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าได้ทำสิ่งที่โง่เขลา”
ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ข้าและฉาวอวี่จะไปดูด้วยกัน เจ้าอยู่ที่บ้านดูแลเด็ก ๆ ให้ดีเถิด ไม่ต้องไปที่นั่นแล้ว”
“ได้”
ทั้งสามคนเดินออกไป มู่ซืออวี่ไม่มีกะจิตกะใจจะทานอะไรอีก ทว่าเด็ก ๆ ไม่เข้าใจสิ่งใด เพียงแค่ได้ยินพ่อบ้านกล่าวว่ามีคนตายเท่านั้น เรื่องอื่นล้วนไม่เข้าใจแล้ว
ลู่จื่ออวิ๋นมานั่งข้าง ๆ มู่ซืออวี่ ช่วยดูแลน้องชายน้องสาว
“พี่หญิง พวกเราไปเล่นว่าวกันเถอะ!”
“ชิงเอ๋อร์เด็กดี พี่หญิงยังมีเรื่องต้องทำ ไม่อาจเล่นว่าวกับเจ้าได้ เอาอย่างนี้เถิด ติงเซียง เจ้าเล่นเป็นเพื่อนชิงเอ๋อร์กับฉาวจิ่งก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากเด็ก ๆ ออกไปแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นจึงเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ท่านแม่ไม่ต้องร้อนใจ ท่านพ่อและท่านพี่ล้วนเชี่ยวชาญเรื่องการตรวจสอบคดี พวกเขาจะต้องสืบหาความจริงออกมาได้อย่างแน่นอน”
“เด็กโง่ ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับความจริงแล้ว หากแต่เป็นท่านน้าของเจ้า การที่เขาจะมีแม่นางสักคนที่ชมชอบนั้นไม่ง่ายดายเลย อีกทั้งยังกำลังจะแต่งงานกัน กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับนาง ไม่รู้ว่าท่านน้าเจ้าจะเศร้าโศกเพียงใด”
“เรื่องเกิดขึ้นแล้ว พวกเราผู้ใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์นี้ได้”
ในวันนั้น ท้ายที่สุดพวกเขาก็หาตัวฆาตกรจนพบ และคนที่ฆ่าเจียงอีเมิ่งตายก็ไม่ใช่ผู้ใดอื่น แต่เป็นลุงของนาง
ลุงผู้นี้สูบเลือดสูบเนื้อนางมาโดยตลอด บัดนี้เมื่อเขาเห็นนางจะได้พึ่งพาร่มไม้ใหญ่ ประเดี๋ยวก็จะได้แต่งงานกับน้องชายของฮูหยินอัครมหาเสนาบดีลู่ เขาจึงลอบมาหาเจียงอีเมิ่ง หมายจะข่มขู่นางให้ทำตามความต้องการของตนเอง
เจียงอีเมิ่งเป็นคนหัวรั้น ก่อนหน้านี้นางไม่มีวิธีจัดการกับเขามาก่อน ทว่าตอนนี้นางไม่กลัวเขาแม้แต่น้อย จึงไม่ยินดีที่จะถูกเขาบีบบังคับ ชายผู้นั้นจึงบันดาลโทสะใช้ของบางอย่างทุบลงที่ศีรษะนาง นางจึงตายลงในที่สุด
หลังจากเหตุการณ์นี้ ชายผู้นั้นคิดจะหลบหนี
ทว่าลู่อี้และลู่ฉาวอวี่สองพ่อลูกจะให้อีกฝ่ายหนีไปได้อย่างไร? พวกเขาตรวจสอบเรื่องทั้งหมดภายในหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็จับคนผู้นั้นได้
คดีไขแล้ว ทว่ามู่เจิ้งหานกลับสะเทือนใจอย่างรุนแรง
งานแต่งของพวกเขากำหนดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า พวกเขาเพียงแค่รอให้ราชทูตจากต่างแดนกลับไปก่อนจึงจะจัดงานแต่ง ผลคืองานแต่งนั้นกลับไม่มีโอกาสได้จัดขึ้นแล้ว
หลังจากงานศพของเจียงอีเมิ่ง มู่เจิ้งหานฝังตัวอยู่ที่สำนักบัณฑิตหลวง เขาอยู่กับเหล่าบัณฑิตตลอดเวลา
เดิมทีเขาเป็นคนที่ชอบสร้างเสียงหัวเราะและก่อปัญหา ทว่านับตั้งแต่นั้นมา เขากลับกลายเป็นคนเงียบขรึม ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เจียงอีเมิ่งเป็นมือขวาของมู่ซืออวี่มาโดยตลอด การจากไปของนางไม่เพียงแต่ทำให้นางสูญเสียน้องสะใภ้ ทว่ายังสูญเสียลูกน้องที่มีความสามารถผู้หนึ่งไปด้วย บัดนี้เรือนพักผ่อนบนภูเขามีเพียงลู่จื่ออวิ๋นที่สามารถดูแลได้แล้ว
“คุณหนูใหญ่ นี่เป็นเหล้าองุ่นที่ผลิตออกมาในปีนี้ ผู้คนที่อาณาจักรล้วนต้องการซื้อมันขอรับ” ผู้ดูแลที่รับผิดชอบเรื่องเหล้าส่งสมุดบัญชีให้ลู่จื่ออวิ๋นตรวจสอบ
“คุณหนูใหญ่ ห้องมีไม่พอแล้วจริง ๆ ขอรับ ดังจะเห็นได้จากสมุดบันทึกนี้ แขกที่ต้องการเข้าพักล้วนจองห้องล่วงหน้าไปถึงครึ่งปีแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นรับมาดูตารางจองเข้าพักแล้วเอ่ยว่า “ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”
“คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยมีบางคำอยากจะกล่าว ไม่รู้ว่าควรกล่าวออกมาดีหรือไม่”
“สกุลลู่ของพวกเราให้ท่านมารับผิดชอบดูแล ไม่ได้ให้ท่านมาเป็นใบ้ มีอะไรกล่าวไม่ได้กัน?” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มน้อย ๆ
ผู้ดูแล “…”
เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่กำลังยิ้ม เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่านางน่ากลัวเพียงนี้เล่า?
“ข้าน้อยรู้สึกว่ามีห้องหลายห้องว่างอยู่ ในเมื่อว่างมานานถึงเพียงนี้ ไม่สู้เปิดให้แขกเข้าพักเถิด ถึงแม้มันอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถาวร อย่างน้อยก็สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้”
“ห้องเหล่านั้นมีคนจองแล้ว ผู้อื่นเขาจ่ายเงินมาให้ หากพวกเราไม่รักษาคำพูด ภายหน้ายังจะมีผู้ใดเชื่อในกิจการของสกุลลู่เราอีก?”
“ขอรับ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงต้องขยายกิจการแล้ว” ผู้ดูแลคนหนึ่งเสนอความคิดขึ้นมา
“ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องใช้ระยะเวลายาวนานเพียงใดจึงจะขยายกิจการได้ พวกเรามาเอ่ยถึงเรื่องที่ว่าจะใช้พื้นที่บริเวณใดก่อสร้างเสียก่อนเถิด ที่ดินผืนนี้จัดวางองค์ประกอบได้เหมาะสมตั้งแต่แรกแล้ว หากรีบร้อนสร้างบ้านบนที่ที่เดิมทีเก็บไว้เป็นสวน ไม่เพียงแต่จะกระทบกับการออกแบบของทั้งเรือนพักผ่อน แต่ยังจะทำให้ดูยุ่งเหยิงและแออัด ผิดจุดประสงค์แรกเริ่มของพวกเรา”
“เช่นนั้นจะปล่อยไปเช่นนี้หรือขอรับ?”
ลู่จื่ออวิ๋นมองภาพแบบบนผนัง
นางเดินไปชี้บริเวณหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นี่คือป่าดอกเหมย”
“ขอรับ”
“หากตรงนี้มีจุดตั้งกระโจม พวกท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”
“กระโจม?” ผู้ดูแลหลายคนตกตะลึง “อากาศหนาวเพียงนี้ เกรงว่าจะหนาวจนทนไม่ได้นะขอรับ?”