บทที่ 708 เที่ยวชมเมืองหลวงยามค่ำคืน
บทที่ 708 เที่ยวชมเมืองหลวงยามค่ำคืน
“คืนนี้ค่อนข้างคึกคักทีเดียว เพราะเหตุใด?”
ฟ่านหยวนซีมองท้องถนนที่สว่างไสวซึ่งมีคนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่ผ่านไปผ่านมา จึงได้เอ่ยถามเสียงเรียบ
“วันสิ้นปีใกล้เข้ามาแล้ว คนที่ไปทำงานต่างเมืองกลับมาเฉลิมฉลองกับครอบครัว จำนวนคนจึงเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าต้องครึกครื้นยิ่งกว่าเดิมเพคะ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วตอบ
ฟ่านหยวนซีหันกลับไปมองนาง “ปีนี้ไม่อาจเฉลิมฉลองกับครอบครัวได้ เจ้าคิดถึงพวกเขาหรือไม่?”
“คิดถึงเพคะ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วพยักหน้า “เพียงแต่ ท่านก็นับเป็นครอบครัวของข้าเช่นกัน วันนี้ได้ฉลองปีใหม่ด้วยกันกับท่าน นั่นก็นับว่าเป็นการฉลองกับคนในครอบครัว”
ฟ่านหยวนซีมองซ่างกวนจิ่นซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่กลัวข้าแล้วหรือ?”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ยอย่างขึงขัง “กลัวก็เป็นคนในครอบครัว ท่านเป็นสามีข้า อีกทั้งยังเป็นคนที่จะเกื้อหนุนข้าในภายหน้า”
ฟ่านหยวนซีลูบผมของซ่างกวนจิ่นซิ่วเบา ๆ “ดูเหมือนข้าจะแต่งแม่นางโง่เขลาผู้หนึ่งมาเสียแล้ว”
“ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย” ซ่างกวนจิ่นซิ่วบ่นพึมพำ
นางไม่กล้าเอ่ยออกมาดัง ๆ ทำได้เพียงประท้วงเช่นนี้
ฟ่านหยวนซียื่นมือออกไป “คืนนี้มีคนมากมาย ข้าไม่อยากต้องตามหาคนภายหลัง”
ซ่างกวนจิ่นซิ่ววางมือเล็ก ๆ ของนางลงบนฝ่ามือใหญ่ของเขา
ฟ่านหยวนซีกระชับมือตนเอง จับมือเล็ก ๆ นั้นไว้แน่น
พวกเขาทั้งสองเดินไปตามท้องถนน ภัตตาคารเป็ดย่างที่ว่านั้นก็เดินผ่านมาแล้ว ซ่างกวนจิ่นซิ่วเหลือบมองมัน จากนั้นก็หันกลับไปมองฟ่านหยวนซีเพราะไม่กล้าเอ่ยเตือน
“รบกวนขอทาง… รบกวนขอทาง…” ชายผู้หนึ่งอุ้มเด็กหญิงวิ่งผ่านมา “ลูกสาวข้าป่วย รบกวนขอทาง…”
ที่นี่มีคนมากมาย แม้ชายผู้นั้นจะเอ่ยเช่นนั้น ฝูงชนก็ยังไม่ยอมหลีกทางให้
ชายผู้นั้นกระวนกระวายใจยิ่ง
ถนนคับแคบเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำยังไม่มีเส้นทางอื่น เมื่อเห็นคนยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาที่อุ้มลูกไว้ก็ไม่สามารถขยับไปได้เพียงนิด ชายชาตรีอกสามศอกแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วดึงแขนเสื้อของฟ่านหยวนซี “สามี ท่านมีเหรียญทองแดงหรือไม่?”
ฟ่านหยวนซีอย่างไรเสียก็เคยผ่านความยากลำบากมา ออกมาข้างนอกย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พกถุงเงินอีกทั้งถุงเงินยังไม่อาจมีเพียงใบไม้เงินหรือใบไม้ทอง ดังนั้นเมื่อเทของในถุงเงินออกมา ข้างในจึงมีเหรียญอยู่จำนวนหนึ่งจริง ๆ
“ข้าขอยืมก่อน” ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองเขาด้วยสายตาคาดหวัง “ได้หรือไม่?”
“เอาไปใช้เถอะ!” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “อย่างไรข้าก็เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน เงินเล็กน้อยเท่านี้ยังพอมีให้เจ้า”
“ขอบคุณสามี” ซ่างกวนจิ่นซิ่วหยิบเหรียญทองแดงออกมา จากนั้นก็หว่านเงินไปบนทางที่ไม่ไกลนัก “รบกวนทุกคนหลีกทางด้วย เงินเหล่านี้เป็นของทุกคนแล้ว!”
“เงิน! นั่นเงินนี่…”
“มีเงิน! รีบหยิบเงินเร็วเข้า…”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วหว่านเงินไปหลาย ๆ ทางเพื่อให้คนกระจายกันออกไป เมื่อชายคนนั้นและลูกน้อยในอ้อมแขนผ่านไปได้ นางจึงหยุดมือ
“ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณ…” ชายร่างกำยำผู้นั้นเอ่ยอย่างซาบซึ้ง
“ท่านรีบช่วยคนเถอะ!”
“ขอรับ ๆๆ ขอบคุณ” ชายผู้นั้นอุ้มลูกเดินจากไปแล้ว
กลุ่มคนค่อนข้างแออัดจึงมีคนชนเข้ากับซ่างกวนจิ่นซิ่ว
ฟ่านหยวนซีกอดซ่างกวนจิ่นซิ่ว จากนั้นก็คว้ามือปลาหมึกข้างนั้น
“อ๊ากก!!! เจ็บ… ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”
“รนหาที่ตาย!” สีหน้าของฟ่านหยวนซีดำทะมึน
ชายผู้นั้นคิดจะฉวยโอกาสกับซ่างกวนจิ่นซิ่ว ทว่าเขาหยุดเอาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นคนโง่ผู้นี้คงถูกลูบคลำแล้ว
คนมากมายถึงเพียงนั้น แม้นางจะถูกลูบคลำ หากเขาไม่อยู่ เกรงว่านางจะเสียเปรียบไปโดยเปล่าประโยชน์
ไม่ว่าอย่างไรคนโง่ผู้นี้ก็เป็นภรรยาในนามของเขา จะให้เจ้าคนสกปรกทำให้แปดเปื้อนได้อย่างไร?
“นายท่านไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าไม่กล้าทำแล้ว ข้าไม่ได้จงใจแตะต้องลูกสาวของท่าน!”
ในคราแรกซ่างกวนจิ่นซิ่วยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าคนผู้นี้เกือบจะเหยียบเท้านาง ดังนั้นจึงถูกฮ่องเต้ทำเช่นนี้ จากนั้นก็กลับกลายเป็นสับสนกับคำพูดของเขาเสียแล้ว
ลูกสาว?
นางเหลือบมองฟ่านหยวนซีด้วยความระมัดระวัง
เขาคงไม่โกรธกระมัง?
เขาคงไม่ระบายโทสะใส่นางกระมัง?
นางไม่ได้คิดว่าเขาแก่ หากเขาโกรธ นางจะง้อเขาอย่างไรเล่า?
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนจิ่นซิ่วค้นพบความหมายของคำว่า ‘อยู่ใกล้ฮ่องเต้ดั่งอยู่ใกล้พยัคฆ์’ จึงเตะชายที่เอ่ยเช่นนั้นออกไปหนึ่งที
“เขาคือสามีข้า ข้าไม่ใช่ลูกสาวเขา!”
เพราะคนในอ้อมกอดมีสีหน้าโกรธขึ้งประหนึ่งกระต่ายโมโห
จิตสังหารในใจฟ่านหยวนซีจึงดับไปเช่นนี้แล
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง จู่ ๆ เขาพลันรู้สึกขบขันขึ้นมาเล็กน้อย
“ขอรับ นายท่าน ฮูหยิน ผู้น้อยรู้ความผิดแล้ว!” ชายผู้นั้นร้องขอความเมตตา
“เจ้าว่าควรทำอย่างไร?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม
ซ่างกวนจิ่นซิ่วลังเลใจไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ!”
“ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยไป” ฟ่านหยวนซีสะบัดคนสกปรกในมือทิ้ง “พวกเราไปเถอะ! ที่นี่คนเยอะ เสียงดังวุ่นวาย”
“อืม”
ชายผู้นั้นคิดว่าตนรอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดจึงรีบวิ่งหนีไปโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ในมุมหนึ่งที่ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองไม่เห็น เงาดำทะยานลงมาจากท้องฟ้า ตามด้วยแสงสีเงินแวบหนึ่ง ชายผู้นั้นล้มลงไปในบ่อเลือดก่อนที่เขาจะทันได้ส่งเสียงกรีดร้อง
ผู้ที่กล้าหยามเกียรติฮองเฮา ย่อมต้องตายโดยไร้ความปรานี
ซ่างกวนจิ่นซิ่วไม่รู้ว่าเกิดเหตุฆาตกรรมใต้จมูกของตน บางทีนางอาจคุ้นชินกับตัวตนของฟ่านหยวนซีแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าของฟ่านหยวนซีในตอนนี้ค่อนข้าง ‘เข้าถึงได้’ นางจึงผ่อนคลายลงไปมาก
“สามี เกี๊ยวน้ำร้านนั้นค่อนข้างอร่อยทีเดียว”
เพียงแต่เป็นเพิงข้างทาง
ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองฟ่านหยวนซีด้วยสายตาคาดหวัง
ฟ่านหยวนซีสะบัดมือ “ทานเถอะ!”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วนั่งลงด้วยความดีใจ ตะโกนคุยกับเถ้าแก่ “เถ้าแก่ เกี๊ยวน้ำสอง พิเศษต้นหอม”
ฟ่านหยวนซีนั่งอยู่ในร้านเพิงข้างทางเงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้า
ความรู้สึกนี้ช่างประหลาดนัก
เกี๊ยวน้ำนี้รสชาติค่อนข้างธรรมดา บางทีอาจเป็นเพราะซ่างกวนจิ่นซิ่วได้ทานอาหารข้างทางน้อยมันจึงพิเศษ ทว่าสำหรับฟ่านหยวนซีแล้ว รสชาตินี้ดาษดื่นทั่วไป
ฟ่านหยวนซีไม่กิน เพียงเฝ้ามองซ่างกวนจิ่นซิ่วกินไปเรื่อย ๆ
นางไม่เพียงแต่หน้าตาเหมือนกระต่ายเท่านั้น ยามกินอาหารก็เหมือนกระต่ายเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าดูเอร็ดอร่อยของนางแล้ว ฟ่านหยวนซีผู้ที่เดิมทีไม่สนใจเกี๊ยวน้ำ จู่ ๆ ก็อยากลองชิมพวกมันขึ้นมา
ซ่างกวนจิ่นซิ่วกำลังกินอย่างมีความสุข ทันใดนั้นก็เห็นเกี๊ยวในถ้วยของตนเองถูกตักไป
นางเงยหน้ามองฟ่านหยวนซีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ราวกับต้องการเอ่ยบางอย่าง ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยปากออกไป
“เจ้าทานได้ดูเอร็ดอร่อย” เขาชิมดูหนึ่งคำแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลวจริง ๆ”
“ท่านชอบก็ดีแล้ว” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ยงึมงำ
เห็น ๆ กันอยู่ว่าเกี๊ยวชามไหนก็เหมือนกัน แต่เขากลับยืนกรานจะแย่งอาหารนาง ความคิดของฮ่องเต้ช่างคาดเดาได้ยากเสียจริง
“นอกจากเจ้าแล้วบิดามารดาเจ้ายังมีบุตรกี่คน?”
“ยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคน” ซ่างกวนจิ่นซิ่วผ่อนคลายลงไปมากเมื่อเอ่ยถึงญาติพี่น้องของตนเอง “เขาเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดในโลก”
ฟ่านหยวนซีมองรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของภรรยาในนาม
นี่เป็นความสดใสที่ไม่อาจเห็นได้ในหมู่เชื้อพระวงศ์
ยามนี้ค่อนข้างดึกมากแล้ว ฟ่านหยวนซีจึงพาซ่างกวนจิ่นซิ่วกลับเข้าวัง
เมื่อทั้งสองคนต้องแยกจากกัน คนเด็กกว่ามองเขาแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ท่านแตกต่างจากที่ข้าคิดยิ่งนัก”
ฟ่านหยวนซีเอ่ยนิ่ง ๆ “เจ้าคิดว่าข้าควรเป็นอย่างไรเล่า?”
“ข้าคิดว่าหลังจากเข้าวังแล้ว ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ได้ออกไปข้างนอกอีก ทว่าข้าพบว่าท่านเป็นฮ่องเต้ที่โลกนี้ไม่มีผู้ใดเหมือน ไม่เพียงแต่ท่านไม่ห้าม แต่ท่านยังพาข้าออกไปเที่ยวเล่นอีกด้วย”
“เจ้าอยากออกไปเที่ยวเล่นก็เพียงแค่ไป ไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำเสนาะหูเหล่านี้ให้ข้าสุขใจ” ฟ่านหยวนซีเอ่ยนิ่ง ๆ “ทว่าภายหน้าทานให้น้อยลงหน่อยเถิด ไม่เช่นนั้นพิธีบวงสรวงปีหน้า ขุนนางบุ๋นบู๊จะเห็นฮองเฮาหนักสองร้อยจิน*[1] เอาได้”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วหน้าแดง “…”
นางขอถอนคำพูดเหล่านั้น
เขาเป็นฮ่องเต้ที่น่ารังเกียจผู้หนึ่ง!
[1] สองร้อยจิน ประมาณ 100 กิโลกรัม (1 จินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม)