สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 709 ความผิดปกติในเมืองเหอผิง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 709 ความผิดปกติในเมืองเหอผิง

บทที่ 709 ความผิดปกติในเมืองเหอผิง

เมืองเหอผิง

ลู่จื่ออวิ๋นนอนอยู่บนเตียง ข้าง ๆ ไม่เพียงมีท่านหมอสองคนที่นางนำมาด้วย แต่ท่านหมออีกนับสิบคนจากเมืองผิงเหอล้วนอยู่ในห้องนี้ทั้งสิ้น

ตาของเซี่ยเฉิงจิ่นแดงก่ำ เขามองนายอำเภอด้วยสายตาราวกับต้องการฆ่าคน

นายอำเภอที่ตัวสั่นไปทั้งร่างเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง ข้าน้อยพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว โรคระบาดนั้นไม่รู้มาจากที่ใด หาอย่างไรก็หาไม่พบ ข้าน้อยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณหนูลู่ติดโรคนี้ได้อย่างไร”

“ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ เมืองเหอผิงมีคนตายไปแล้วกว่าสิบคน พวกเจ้าตรวจสอบมานานเพียงนี้ยังตรวจสอบที่มาของโรคระบาดไม่พบอีกหรือ?”

“เพราะสิบกว่าคนนั้นตายอย่างอนาถ ท่านหมอเองก็ไม่กล้าตรวจสอบลงลึก” นายอำเภอกล่าว

“เจ้ารู้ว่านางเป็นผู้ใดกระมัง?” เซี่ยเฉิงจิ่นมองนายอำเภอ “หากนางเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าและครอบครัวเจ้าย่อมไม่อาจรอดพ้นได้”

“ข้าน้อยทราบดี ข้าน้อยเองก็ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูลู่” นั่นเป็นธิดาอัครมหาเสนาบดีเชียวนะ อีกทั้งในมือยังมีป้ายทองที่ฝ่าบาทประทานให้ เขาเป็นเพียงขุนนางเล็ก ๆ ผู้หนึ่งย่อมไม่กล้าล่วงเกินคนเช่นนั้น เรื่องนี้ถือเป็นหายนะที่หล่นลงมาจากฟ้าจริง ๆ

เซี่ยเฉิงจิ่นมองเหล่าท่านหมอ “พวกเจ้าก็เหมือนกัน หากไม่อยากตาย ต้องหาที่มาของโรคระบาดนี้ให้ได้ อีกทั้งยังต้องหาวิธีรักษา ไม่เช่นนั้นทั่วทั้งเมืองเหอผิงอย่าหวังว่าจะรอดไปแม้แต่เพียงผู้เดียว”

“ก่อนที่จะตรวจสอบพบต้นตอของโรคระบาด ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือทำความสะอาดห้องเหมือนปีก่อนที่เกิดโรคระบาด ทำความสะอาดสิ่งที่ควรทำ เผาสิ่งที่ควรเผา ส่วนที่เหลือ ทำได้เพียงคิดหาวิธีแล้ว” หนึ่งในท่านหมอเหล่านั้นเอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นเหตุใดยังไม่ทำอีก?”

เหล่าท่านหมอต่างไปคิดหาทางออก

บ่าวรับใช้ต่างทำความสะอาดห้อง

เซี่ยเฉิงจิ่นนั่งอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองลู่จื่ออวิ๋นที่ใบหน้ากลายเป็นสีขาวซีด อีกทั้งบนมือยังมีตุ่มหนองมากมาย

วันนั้นพวกเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม เมื่อตื่นขึ้นในเช้าถัดมา เซี่ยเฉิงจิ่นก็ไปที่โรงเตี๊ยมด้านล่างเพื่อทานอาหาร หลังจากรอเป็นเวลานานก็ไม่เห็นลู่จื่ออวิ๋นจึงขึ้นไปหานางที่ชั้นบน พบว่านางและสาวใช้ของนางไม่รู้สึกตัว

“ท่านอ๋อง โรคนี้เป็นโรคติดต่อ ท่านออกไปจะดีกว่า! หากอยู่ในห้องเดียวกันกับคุณหนูลู่เช่นนี้อีก จะอันตรายเกินไปนะขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยเตือน

“นางรักสวยรักงาม หากตื่นขึ้นมาเห็นสิ่งนี้บนมือตนเองจะต้องเศร้ามากเป็นแน่ ข้าต้องอยู่ที่นี่ไม่ให้นางเกาตุ่มบนมือ ไม่เช่นนั้นจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาได้” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยขณะกระชับผ้าห่มให้ลู่จื่ออวิ๋น

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเซี่ยเฉิงจิ่นอยากกล่าวบางอย่าง ทว่าผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคนกลับจับเขาเอาไว้ แล้วลากออกไป

“ท่านอ๋องคิดอย่างไรเจ้ายังไม่ทราบอีกหรือ? ถึงแม้ครั้งนี้เจ้าจะกล่าวความจริง ท่านอ๋องก็ไม่มีทางทิ้งคุณหนูลู่เอาไว้ อีกอย่าง หากไม่ใช่เพราะคุณหนูลู่ พวกเราคงตายกันหมดแล้ว ในยามเช่นนี้อย่าพยายามโน้มน้าวเขาจะดีกว่า”

เพราะถึงแม้จะพยามโน้มน้าวเพียงใดเขาก็ไม่ฟังอยู่ดี

“ข้าเป็นห่วงท่านอ๋อง”

“ข้าก็เป็นห่วงเช่นกัน แต่เป็นห่วงแล้วมีประโยชน์อะไร? สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือหาทางแก้ปัญหา”

โรคระบาดในเมืองเหอผิงไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด หลังจากนั้นผู้ติดโรคก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

สถานการณ์ทั่วทั้งเมืองเหอผิงระส่ำระส่าย

“ท่านอ๋อง” ผู้ใต้บังคับบัญชาเดินเข้ามา “ขุนนางท้องถิ่นส่งคนมาปิดล้อมเมืองเหอผิงแล้ว ข้าได้ยินว่าพวกเขาคิดจะจุดไฟเผาทั้งเมืองเหอผิง”

เซี่ยเฉิงจิ่นจ้องผู้ใต้บังคับบัญชา “เจ้าว่าอย่างไรนะ?!”

“ขุนนางท้องถิ่นคิดจะกวาดล้างเมืองเหอผิง ใช้วิธีการสังหารหมู่หยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ ตอนนี้เขาปิดเส้นทางเข้าออกเมืองเหอผิง กล่าวว่าไม่อนุญาตให้ราษฎรที่นี่เข้าออก ผู้ใดกล้าฝ่าฝืนบุกออกไปให้ฆ่าโดยไม่มีการละเว้น”

“เจ้าพาคนของพวกเราและคนของสกุลลู่ไปจับขุนนางท้องถิ่นโง่เง่าผู้นั้นมา ข้าไม่อนุญาตให้เขาตัดสินตามอำเภอใจ”

“ขอรับ!”

เซี่ยเฉิงจิ่นลุกขึ้นยืน ยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งอึก

จู่ ๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็พ่นน้ำชาในปากออกมา

“ผู้ใดก็ได้…”

“ท่านอ๋อง…”

ผู้ใต้บังคับบัญชาเดินเข้ามา

“น้ำนี้มีปัญหา เจ้านำไปให้ท่านหมอตรวจสอบ”

“ขอรับ”

เพียงแค่คนของเขาออกไป ลู่จื่ออวิ๋นผู้ที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

“เหนื่อยยิ่งนัก เหตุใดข้าไม่มีแรงแม้แต่น้อย?”

“เจ้าอย่าขยับ” เซี่ยเฉิงจิ่นเดินเข้ามา แตะหน้าผากนางดูเพื่อให้แน่ใจว่าตัวไม่ได้ร้อน เขาถึงได้เบาใจลง

“ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”

ลู่จื่ออวิ๋นสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

นางนอนอยู่บนเตียงในโรงเตี๊ยม อีกทั้งเซี่ยเฉิงจิ่นยังมองนางด้วยท่าทีแปลก ๆ ราวกับนางป่วยอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าหมดสติไปสามวันแล้ว”

“เพราะเหตุใด?” ลู่จื่ออวิ๋นต้องการจะลุกขึ้นนั่ง กลับพบว่าบนหลังมือตนมีตุ่มพุพองมากมาย

นางตกใจไปชั่วขณะ คิดจะเอื้อมมือไปแตะตุ่มเหล่านั้น เซี่ยเฉิงจิ่นกลับคว้ามือนางเอาไว้

“ยังจำเรื่องที่เมืองเหอผิงมีคนตายสิบกว่าคนได้หรือไม่?”

“จำได้”

“วันนั้นเราค้างอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน วันต่อมาข้ารอทานอาหารเช้ากับเจ้าแต่เจ้าก็ไม่ลงมา ข้าจึงขึ้นมาหาเจ้าในห้อง ถึงได้พบว่าเจ้ากับสาวใช้หมดสติไป ภายหลังก็เริ่มมีสิ่งนี้เกิดขึ้น”

“ข้าเป็นโรคติดต่ออะไรกันแน่?”

“โรคนี้เป็นโรคติดต่อจริง ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าได้ติดมาได้อย่างไร นอกจากเจ้าและสาวใช้แล้ว ผู้อื่นล้วนไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม ช่วงระยะเวลาสามวันที่เจ้าไม่รู้สึกตัว คนมากมายในเมืองเหอผิงล้มป่วยคนแล้วคนเล่า อีกทั้งยังมีคนตายไปไม่น้อย”

“เช่นนั้นท่านจะอยู่ทำอะไรที่นี่?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านรีบออกไป อย่ามาอยู่กับข้า!”

“สายไปแล้ว ข้าเฝ้าเจ้ามาสามวันแล้ว หากจะติดคงติดไปตั้งแต่แรก” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “หลายวันมานี้ทำได้เพียงป้อนโจ๊กให้เจ้า หิวแล้วกระมัง? ข้าจะให้พวกเขาทำอาหารมาให้เจ้า”

ลู่จื่ออวิ๋นมองเงาร่างของเซี่ยเฉิงจิ่น

นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจจึงรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

นางค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและเดินไปทางกระจก

นางในกระจกดูโทรม ใบหน้าขาวซีด ใต้ตาดำคล้ำ ไม่ว่านางจะหน้าตางดงามเพียงใด เมื่อล้มป่วยเช่นนี้ อีกทั้งยังป่วยด้วยโรคติดต่อ อันที่จริงสภาพตอนนี้ก็เรียกได้ว่าน่าเกลียดแล้ว

คนผู้นั้นยังเฝ้าดูแลนาง เขาคิดอะไรอยู่กันแน่?

“ผู้คุ้มกัน!”

“คุณหนู” ผู้คุ้มกันสกุลลู่เดินเข้ามา

“ยืนอยู่หน้าประตู อย่าเข้ามา” ลู่จื่ออวิ๋นหยุดเขาไว้ “เจ้าลงกลอนประตู ผนึกประตูและหน้าต่าง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาอีก”

“คุณหนู เช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ!”

“โรคนี้เป็นโรคติดต่อ จนกว่าจะหาสาเหตุของโรคพบก็จัดการเช่นนี้เถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าไม่อาจให้พวกเจ้าเสี่ยงไปพร้อมกับข้า ยังมีจิ่นอ๋องอีก เขาต้องกลับอาณาจักรเฟิ่งหลิน ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่”

หลังจากเอ่ยไม่กี่คำนั้นออกมา ลู่จื่ออวิ๋นพลันไม่มีแรงเหลือแล้ว

นางกลับไปที่เตียงแล้วนอนลงไป

เมื่อเซี่ยเฉิงจิ่นกลับมาพร้อมอาหารก็เห็นเพียงประตูและหน้าต่างที่ถูกปิดเอาไว้ เขาหันไปมองผู้คุ้มกันที่อยู่ข้าง ๆ “เกิดอะไรขึ้น?!”

“คุณหนูกำชับไว้ กล่าวว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปทั้งสิ้น” ผู้คุ้มกันไม่อาจทนสายตาของเซี่ยเฉิงจิ่นได้ จึงบอกตามตรง

“เหลวไหล” เซี่ยเฉิงจิ่นส่งถาดอาหารให้ผู้คุ้มกัน

ปัง! เขาเตะประตูเปิดออกโดยพลัน

เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ขึ้นมา ประตูพังลงไปแล้ว

ลู่จื่ออวิ๋นอยู่ข้างในตะลึงงัน เมื่อเห็นเซี่ยเฉิงจิ่นยืนอยู่ตรงประตู นางก็ถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจ

“ในเมืองเหอผิงไม่ได้มีเจ้าเป็นผู้ป่วยเพียงคนเดียว ถึงแม้จะขังเจ้าไว้ข้างในก็ไร้ประโยชน์ อาการผู้อื่นร้ายแรงกว่าเจ้าเสียอีก เจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว ทานข้าวดี ๆ ฟื้นฟูเรี่ยวแรง รอท่านหมอปรุงยาออกมาเถิด!”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท