บทที่ 711 โดดเด่นเกินไปแล้ว อำพรางตัวเถอะ
บทที่ 711 โดดเด่นเกินไปแล้ว อำพรางตัวเถอะ
หลังจากลู่เยี่ยจากไปแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นก็ถามเซี่ยเฉิงจิ่น “เช่นนั้นมีคนจงใจปลูกหญ้าพิษหรือ?”
“หูดีไม่เบา” เซี่ยเฉิงจิ่นไม่ได้ปฏิเสธ “คนที่วางกับดักครานี้ฉลาดมาก เขาสร้างสถานการณ์ใหญ่โตเพียงนี้เพื่อเอาชีวิตของข้า หากไม่ใช่เพราะข้ารอดมาได้อย่างหวุดหวิด เกรงว่าจะตายอยู่ที่นี่เสียแล้ว”
“ท่านเคยตรวจสอบผู้คนรอบกายท่านหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม “หากลูกน้องของท่านถูกซื้อตัวไปแล้ว เป็นฝ่ายส่งข่าวให้ผู้อื่นมาตลอดทาง เช่นนั้นต่อไปใช่ว่าท่านจะหลบเลี่ยงได้อีก”
“ตรวจดูแล้ว ไม่มีปัญหา”
“ในเมื่อท่านป้องกันวิธีของอีกฝ่ายได้ยาก ไม่สู้หลบซ่อนอยู่ในเงามืดเล่า คนของท่านโดดเด่นเกินไป กระจายพวกเขาออกไปเถอะ ระหว่างทางท่านนำพวกเขาไปเพียงสองสามคน แปลงโฉมเล็กน้อยก็ดี แสร้งทำเป็นคนธรรมดาทั่วไป”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่…” เซี่ยเฉิงจิ่นนั่งลงตรงข้ามลู่จื่ออวิ๋น แย้มยิ้มเปล่งประกายเจิดจ้าออกมา “ใบหน้านี้ของข้า แม้อยากหลบซ่อนอย่างไรก็ไม่อาจซ่อนได้!”
ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มน้อย ๆ “เช่นนั้นท่านก็วาดริ้วรอยลงไปสักหน่อย หากท่านทำไม่ได้ ข้าจะช่วยเอง! ท่านแม่ข้าบอกว่า การช่วยคนดีต่อกายและใจ ข้ายินดีที่จะรับใช้ท่านอ๋อง”
“เจ้าเต็มใจหรือ?”
“เพียงลองดูก็รู้แล้ว”
“เฮ้อ นึกถึงตอนที่เจ้ายังเป็นหญิงเย็บปักตัวน้อย และข้ายังเป็นซื่อจื่ออู่อันโหว ตอนนั้นเจ้าไม่ได้ไม่เกรงใจข้าถึงเพียงนี้ สถานะเปลี่ยนไปแล้ว ใจของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ข้าเจ็บปวดใจยิ่งนัก”
ลู่จื่ออวิ๋นดึงกริชออกมาจากเอว กวัดแกว่งมันไปทางเซี่ยเฉิงจิ่น
เซี่ยเฉิงจิ่นกระโดดขึ้นทันที วรยุทธ์ที่ปราดเปรียวของเขาทำให้เขาหลบหนี ‘การเสียโฉม’ มาได้
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นท่าทีเช่นนั้นของอีกฝ่ายก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เซี่ยเฉิงจิ่นยืนอยู่ตรงประตู มองรอยยิ้มของลู่จื่ออวิ๋น รอยยิ้มรักใคร่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
ลู่จื่ออวิ๋นถูกเขาทำให้จิตใจว้าวุ่น จึงเบนหน้าหนีแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
อีกฝั่งหนึ่ง ท่านหมอปรุงยาถอนพิษออกมาแล้ว คนถูกพิษที่เหลือล้วนได้รับการรักษา โรคระบาดจึงถูกยับยั้งไว้ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อขุนนางท้องถิ่นผู้ที่ต้องการเผาพวกเขาให้ตายรู้ตัวตนของลู่จื่ออวิ๋นและเซี่ยเฉิงจิ่นก็กลัวจนเหงื่อเย็นเยียบไหลโซมกาย
เซี่ยเฉิงจิ่นส่งคนไปตรวจสอบ ขุนนางท้องถิ่นผู้นั้นกระทำการเช่นนี้เพราะมีคนคอยยุแยงปลุกปั่นเขา กล่าวว่าหากโรคระบาดร้ายแรงลง ราชสำนักจะกล่าวโทษได้ว่าเขาไร้ความสามารถ ถึงตอนนั้นนับประสาอะไรกับหมวกขุนนาง แม้แต่ชีวิตเขาก็อาจรักษาไว้ไม่ได้แล้ว
ขุนนางท้องถิ่นผู้นั้นขี้ขลาดตาขาว ทั้งยังสมองไม่ดี จึงเชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยอย่างสนิทใจ ถึงได้ออกคำสั่งเผาทั้งเมืองเหอผิง
เซี่ยเฉิงจิ่นค้นหาจากภาพเหมือนที่ขุนนางท้องถิ่นให้ไปทั่วทุกที่ กลับหาคนผู้นั้นไม่พบ แต่ก็ควรเป็นเช่นนั้น คนผู้นั้นย่อมไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่นาน เรื่องนี้จึงจบลงไปอย่างค้างคาเช่นนี้
หลายวันต่อมา หลังจากอาการของลู่จื่ออวิ๋นดีขึ้นมากแล้ว พวกเขาก็เดินทางต่อไป ทั้งสองคนปลอมตัวเป็นพี่ชายน้องสาว และเลือกคนสนิทสองสามคนคอยติดตาม กองกำลังที่เหลือแยกกันเป็นกลุ่ม ๆ และนัดพบกันที่เมืองซานหลิน
บนเรือสินค้า ลู่จื่ออวิ๋นมองออกไปไกลแสนไกล ลมพัดหอบเอาหมวกม่านโปร่งของนางปลิวออกไปด้วย
ลู่จื่ออวิ๋นยื่นมือออกไปหมายจะคว้ามันเอาไว้ ทว่าคว้าเอาไว้ไม่ทัน ในตอนนี้เอง แขนข้างหนึ่งก็เอื้อมออกไปคว้าหมวกม่านโปร่งเอาไว้ได้ทัน
“แม่นาง ข้าคืนให้”
คนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือนางเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง อายุราว ๆ ยี่สิบปี เขาสวมใส่เสื้อผ้าแพรไหม คงเป็นบุตรชายจากสกุลผู้มั่งมีสักสกุล
“ขอบคุณ”
“ไม่ต้องเกรงใจ” ชายผู้นั้นมองนางด้วยความตกตะลึง “ข้าน้อยแซ่เฝิง เฝิงฉี่เหนียน แม่นางมีนามว่าอันใด?”
“ข้าแซ่ลู่”
“แม่นางลู่” เฝิงฉี่เหนียนเอ่ยถาม “ท่านกำลังจะไปที่ใดหรือ?”
“พวกเรากำลังจะไปเมืองซื่อไห่” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย
เมืองซื่อไห่และเมืองซานหลินอยู่คนละทิศทางกัน เรื่องนี้เป็นการจงใจ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นสังเกตเห็นเส้นทางของพวกเขา หากพวกเขาตรงไปที่เมืองซานหลินจะต้องถูกซุ่มโจมตีอย่างแน่นอน
“เมืองซื่อไห่ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยอะไร เหตุใดแม่นางจึงต้องการไปที่นั่น?”
“เยี่ยมญาติ”
เซี่ยเฉิงจิ่นตื่นขึ้นมาในห้องโดยสาร เดิมทีคิดจะไปหาลู่จื่ออวิ๋นที่ห้องข้าง ๆ ผลคือนางไม่อยู่ที่นั่น
เขาจึงออกมาหานาง กลับเห็นว่านางกำลังคุยอยู่กับชายหนุ่มผู้หนึ่งอย่างมีความสุข เขาจงใจค้ำแขนลงบนเสาข้าง ๆ แล้วเอ่ย “อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย เจ้ามานี่หน่อย”
“คุณชายเฝิง ต้องขอตัวแล้ว”
“นั่นคือสหายที่มากับท่านกระมัง! ร่างกายเขาไม่สบายเพราะป่วยไข้ หรือว่าเขาไม่ชินกับการขึ้นเรือ?” เฝิงฉี่เหนียนเอ่ย “บนเรือมีท่านหมอ ให้ท่านหมอตรวจดูอาการเขาเถอะ”
ลู่จื่ออวิ๋นคิดว่าระยะนี้เซี่ยเฉิงจิ่นดูแลนางมาตลอด หลังจากนางถอนพิษแล้วก็ไม่มีอะไรร้ายแรง ทว่าเขากลับผ่ายผอมลงไปไม่น้อย บางทีเขาอาจไม่สบายจริง ๆ ให้ท่านหมอดูอาการจะดีกว่า
“เช่นนั้นต้องรบกวนคุณชายเฝิงแล้ว”
“ไม่รบกวน วันนี้ได้พบกับแม่นางลู่บนเรือนี้ก็เป็นเกียรติของผู้แซ่เฝิงแล้ว” เฝิงฉี่เหนียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
แค่ก ๆ! เซี่ยเฉิงจิ่นไอออกมาเบา ๆ
ลู่จื่ออวิ๋นสาวเท้าเข้าไปหา พยุงเขาไว้แล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ท่านนี้คือคุณชายเฝิง เขาบอกว่าบนเรือมีท่านหมอ เชิญท่านหมอมาดูอาการให้ท่านหน่อยเถิด”
“คุณชายลู่ ข้าน้อยเฝิงฉี่เหนียน ดูแล้วข้าน่าจะอายุมากกว่าท่านสองสามปี เช่นนั้นเพื่อความสนิทสนม ข้าขอเรียกท่านน้องลู่ผู้ประเสริฐก็แล้วกัน”
เซี่ยเฉิงจิ่นมองเฝิงฉี่เหนียนด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “พวกเราเพิ่งรู้จักกัน ไม่จำเป็นต้องสนิทสนมถึงเพียงนั้น”
“ออกสู่โลกภายนอก มีสหายเพิ่มหนึ่งคนย่อมสะดวกมากขึ้นอีกหนึ่งส่วน ข้าน้อยพบแม่นางลู่ครั้งแรกก็รู้สึกราวกับสนิทสนมกันมานาน ได้พบกับบุคคลที่มีความสามารถเช่นน้องลู่ผู้ประเสริฐแล้วก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ ต้องการคบค้าเป็นสหายกับท่านอย่างยิ่ง”
“พบหน้าครั้งแรกราวกับสนิทสนมมานานหรือ!” เซี่ยเฉิงจิ่นเข้าไปกอดไหล่ลู่จื่ออวิ๋น “แม่นางลู่ ท่านผูกสัมพันธไมตรีได้เร็วเหลือเกินนะ”
ลู่จื่ออวิ๋นถูกเขากอดไว้แน่น พลันรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาบ้างแล้ว
“ท่านยืนนิ่ง ๆ หน่อย!”
“ร่างกายอ่อนแอ พี่ยืนไม่ไหว” เซี่ยเฉิงจิ่นจงใจเอ่ย “พี่ใกล้ป่วยตายแล้ว แต่น้องสาวยังมาหาสหายใหม่อยู่ข้างนอก พี่เศร้าโศกยิ่งนัก ดูเหมือนในสายตาของน้องหญิงแล้ว พี่คงไม่ได้สำคัญเพียงนั้น”
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
ท่านแม่บอกว่าการกระทำเช่นนี้เรียกว่า ‘ชา’*[1]
ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่านี่เกี่ยวข้องอะไรกับ ‘ชา’ ก็ตามแต่
เฝิงฉี่เหนียนคิดว่า ‘พี่ชายน้องสาว’ คู่นี้แปลกประหลาดยิ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาสองคนหน้าตาดีมากกระมัง!
ไม่นานท่านหมอก็มา เขาตรวจชีพจรของเซี่ยเฉิงจิ่น
“คุณชายท่านนี้อ่อนแอเล็กน้อย ลงเรือไปแล้ว ทานอาหารให้มากหน่อย แค่ฟื้นฟูร่างกายก็ใช้ได้แล้ว” ท่านหมอกล่าว
“ใช้การไม่ได้*[2]?” เฝิงฉี่เหนียนมองเซี่ยเฉิงจิ่น สีหน้าดูแปลกใจ
คุณชายท่านนี้อากัปกิริยาสง่างามน่าประทับใจ ดูแล้วไม่เหมือนคนใช้การไม่ได้ หรือว่าเขามองผิดแล้ว อันที่จริงคนผู้นี้ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง
เห็นได้ชัดว่าเฝิงฉี่เหนียนจินตนาการคำว่า ‘อ่อนแอ’ ออกไปไกลโข
ท่านหมอบอกว่า ‘อ่อนแอ’ นั้นมีความหมายตรงตามตัวอักษร ช่วงระยะเวลานี้เซี่ยเฉิงจิ่นคอยเฝ้าดูแลลู่จื่ออวิ๋น เป็นห่วงนางจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หลังจากนั้นยังต้องรีบเร่งออกเดินทาง เขาจึงไม่มีเวลาฟื้นฟูร่างกายตนเอง แน่นอนว่าย่อมอ่อนแอลง
ทว่าสำหรับบุรุษแล้ว คำว่า ‘อ่อนแอ’ ไม่อาจใช้เรื่อยเปื่อยได้ ไม่เช่นนั้นจะสร้างความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นได้ง่าย ๆ
ความคิดของลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้สลับซับซ้อนเพียงนั้น อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่บุรุษ อีกทั้งยังไม่ได้ออกเรือน นางย่อมไม่เข้าใจว่ามันมีนัยยะอ้อมค้อมมากมายเพียงนั้น
“คุณชายเฝิง ท่านเป็นเถ้าแก่เรือใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว”
“เช่นนั้นบนเรือท่านมีวัตถุดิบเผื่อไว้หรือไม่? หากมี ข้ายินดีซื้อด้วยราคาที่มากกว่าเดิมสองเท่า” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“แม่นางลู่ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเพียงนั้น เพียงแค่บอกข้าว่าต้องการวัตถุดิบอะไรก็ได้แล้ว บนเรือข้ายังมีวัตถุดิบที่เตรียมไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด”
[1] เสแสร้งแกล้งทำ ทำตัวน่าสงสาร มักใช้กับผู้หญิง
[2] 虚 หมายถึง อ่อนแอ อีกความหมายหนึ่งคือใช้การไม่ได้