บทที่ 712 คบหาเป็นสหาย
บทที่ 712 คบหาเป็นสหาย
เรือลำนี้เป็นเรือสินค้า และสินค้าบนเรือลำนี้ก็คือผ้า กล่าวได้อีกอย่างคือคุณชายเฝิงผู้นั้นเป็นพ่อค้าผ้า
ก่อนที่จะขึ้นเรือ คนของเซี่ยเฉิงจิ่นได้ตรวจสอบแน่ชัดแล้วจึงเลือกเรือสินค้าเฝิงจี้ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองซื่อไห่
สกุลเฝิงเป็นสกุลค้าผ้า แม้กระทั่งหอซือเป่าก็มักจะทำการค้ากับสกุลเฝิงและใช้สินค้าจากสกุลเฝิงเป็นประจำ
กล่าวได้ว่าคาราวานของสกุลเฝิงท่องไปทั่วอาณาจักร บ่อยครั้งยังไปถึงนอกด่าน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอาณาจักรข้างเคียงอย่างอาณาจักรเหลียงและอาณาจักรเฟิ่งหลิน พวกเขามีเส้นสายมากมาย สามารถจัดหาสินค้าได้หลากหลายชนิด ดังนั้นกิจการของพวกเขาจึงใหญ่โตเป็นอย่างมาก
ลู่จื่ออวิ๋นกำลังเลือกวัตถุดิบอยู่ในห้องครัว
ติงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “คุณหนู ท่านจะเข้าครัวด้วยตนเองหรือเจ้าคะ?”
“ทำอาหารนั้นแล้วไปเถิด ข้าไม่ได้มีความอดทนเพียงนั้น เพียงแค่คิดจะเลือกวัตถุดิบมาทำน้ำแกงเพื่อสุขภาพเท่านั้น”
“เช่นนั้นหน้าที่ล้างกับหั่นมอบให้บ่าวนะเจ้าคะ ที่เหลือมอบให้คุณหนู”
“ที่เหลือ… เช่นนั้นก็เพียงโยนมันลงหม้อแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะออกมา “ขอบคุณเจ้า ติงเซียง”
“เดิมทีบ่าวก็มาปรนนิบัติคุณหนู ทำสิ่งต่าง ๆ ให้คุณหนูก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” ติงเซียงเอ่ย “นอกจากนี้ คุณชายเพิ่งบอกบ่าวเมื่อครู่ว่าไม่ให้ท่านแตะต้องมีด อีกทั้งยังห้ามไม่ให้มือท่านได้รับบาดเจ็บ คุณชายตื่นตระหนกเพียงนั้นแล้ว ดูเหมือนเขาจะชอบคุณหนูมากจริง ๆ นะเจ้าคะ ไม่ต้องเอ่ยถึงทำน้ำแกง ถึงแม้ท่านจะนำหัวไชเท้าดิบไปให้เขาทาน เขาก็คงทานประหนึ่งมันเป็นอาหารรสเลิศเจ้าค่ะ”
“ฟังเจ้าพูดเช่นนี้แล้วดูเหมือนเขาเป็นคนโง่ ถึงได้เอาใจง่ายเพียงนั้น”
“ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ นั่นเป็นเพราะนี่คือความใส่ใจจากคุณหนู ดังนั้นแม้ใส่ใจเพียงเล็กน้อย เขาก็พอใจแล้ว เขาไม่ได้ต้องการให้คุณหนูทำน้ำแกงเพื่อสุขภาพให้ เพียงแค่ต้องการให้คุณหนูใส่ใจเขาก็เท่านั้น”
“ที่แท้เจ้าเป็นสาวใช้ของข้าหรือเป็นสาวใช้ของเขา? เห็นเจ้าเข้าอกเข้าใจเขาเพียงนี้ เพียงแค่ตามเขาไปอาณาจักรเฟิ่งหลินก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“แน่นอนว่าบ่าวเป็นสาวใช้ของคุณหนู แม้วันใดวันหนึ่งต้องไปอาณาจักรเฟิ่งหลิน บ่าวก็จะติดตามคุณหนูไป บ่าวไม่ตามคนอื่นไปหรอกเจ้าค่ะ!”
“ข้าไม่ไปอาณาจักรเฟิ่งหลิน”
“จริงหรือเจ้าคะ?”
“พอแล้ว พูดให้น้อยหน่อย” ลู่จื่ออวิ๋นใช้หัวไชเท้าที่อยู่ในมือเคาะติงเซียง “ข้าเห็นว่าเจ้ากับผู้ติดตามข้างกายของเขาผู้นั้นพูดคุยกันถูกคอทีเดียว คงไม่ใช่เจ้าดื่มสุราไม่ได้เสพรสชาติสุรา*[1] ถึงได้มายั่วยุข้าอยู่ที่นี่กระมัง?”
“คุณหนู คุณหนูคนดีของข้า คำพูดนี้ไม่อาจพูดเรื่อยเปื่อยได้นะเจ้าคะ หากถูกนายท่านและฮูหยินได้ยินเข้า ชีวิตนี้ของติงเซียงคงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว แม้ติงเซียงจะมีร้อยหัวก็ไม่กล้ายั่วยุคุณหนูเพราะความคิดเล็ก ๆ ของตนนะเจ้าคะ” ติงเซียงเขย่าแขนลู่จื่ออวิ๋นไปมา “เช่นนั้นติงเซียงขอถามท่าน หากท่านไม่ได้พึงใจเขา เหตุใดต้องอ้อมไปเมืองซื่อไห่ด้วยเจ้าคะ ไม่สิ นับตั้งแต่แรกที่ท่านไปเมืองซานหลินก็เป็นเพราะเขา ถึงแม้ท่านจะต้องการไปเมืองซานหลินก็ไม่ควรไปเพียงลำพัง ยิ่งไม่นำผู้คุ้มกันไปมากมายเพียงนี้ยิ่งไม่ควร ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่เพราะท่านห่วงสถานการณ์ของเขาหรือเจ้าคะ?”
“พอแล้ว ไม่ต้องเอ่ยแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยความสงบ “ตอนนี้ข้ายังคิดได้ไม่กระจ่าง บางทีเขาอาจเป็นสิ่งที่ข้าสนใจจริง ๆ ก็ได้ แต่ว่าติงเซียง ข้ายังเยาว์นัก ภายหน้าหนทางยังอีกยาวไกล ส่วนเขาน่ะหรือ อีกไม่นานก็ต้องกลับไปอาณาจักรเฟิ่งหลินแล้ว ความ ‘แตกต่าง’ นี้จะคงอยู่นานเพียงใด ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องนำพาปัญหาที่ไม่จำเป็นมาให้ทุกคน คบหาเป็นสหายอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เคี่ยวน้ำแกงต้องใช้เวลา ลู่จื่ออวิ๋นไม่อาจเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ดังนั้นหน้าที่คอยดูไฟจึงต้องมอบให้หนึ่งในคนของนางรับไป
“แม่นางลู่” เฝิงฉี่เหนียนเดินเข้ามา “คนเรือของพวกเราจะแสดงละครเงา อยากไปดูหน่อยหรือไม่?”
“ละครเงาหรือ?”
“ขบวนเรือแล่นอยู่กลางทะเลแทบตลอดเวลา บางครั้งก็ลอยลำไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีอะไรทำ ทุกคนจึงแสดงความสามารถของตนเองออกมา เพื่อให้ระหว่างเดินทางน่าเบื่อน้อยลง”
“ฟังดูน่าสนุก”
เซี่ยเฉิงจิ่นวางหนังสือในมือลง เอ่ยถามลูกน้องที่กำลังปอกเปลือกผลไม้อยู่ข้าง ๆ “คุณหนูลู่กำลังทำอะไร?”
ลูกน้องอีกคนเพิ่งเข้ามาจากข้างนอกพอดี ในมือถือน้ำชาเอาไว้
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเฉิงจิ่น เขาจึงเอ่ยว่า “คุณหนูลู่ตามคนแซ่เฝิงผู้นั้นไปดูละครเงาขอรับ”
“บนเรือมีละครเงามาจากที่ใดกัน?” เซี่ยเฉิงจิ่นลุกขึ้นยืนทันที
“แน่นอนว่าเป็นคนเรือแสดงขอรับ”
“นำชุดสีม่วงนั้นมา คุณชายผู้นี้จะไปดูละครเงา!” เซี่ยเฉิงจิ่นสวมรองเท้าของตนเอง
ลูกน้องข้างกายเอ่ยขึ้น “ท่านหมอบอกว่าท่าน ‘อ่อนแอ’ ต้องพักผ่อนรักษาร่างกายนาน ๆ นะขอรับ”
เซี่ยเฉิงจิ่น “…”
ระยะนี้เขาชักจะตามใจคนพวกนี้มากเกินไปแล้ว พวกเขาถึงได้ไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ ถึงขั้นล้อเลียนว่าเขา ‘ใช้การไม่ได้’ ต่อหน้าต่อตา
ลูกน้องที่กำลังปอกเปลือกผลไม้เอ่ยกับพี่น้องของตน “มารดาเฒ่าตาบอดอายุเจ็บสิบปีผู้นั้นของเจ้ายังรอเจ้ากลับไปอยู่ อย่าได้มาป้วนเปี้ยนหน้าประตูวังของท่านพญายมอยู่แถวนี้”
อย่าได้คิดว่าเพราะท่านอ๋องป่วยจึง ‘อ่อนแอ’ แล้วเขาจะไม่สามารถชักกระบี่ได้ หากเจ้าเด็กคนนี้ไม่รักชีวิต เช่นนั้นก็กระโดดลงทะเลไปเองจะดีที่สุด อย่าได้มาเอาเขาผู้รักตัวกลัวตายไปเกี่ยวข้องด้วย!
“ข้าน้อยจะนำเสื้อผ้าออกมาประเดี๋ยวนี้ ชุดคลุมสีม่วงชุดนั้นเหมาะกับท่านอ๋องที่สุด หากคุณหนูลู่เห็นแล้วจะต้องตะลึงงันเป็นแน่ขอรับ”
เซี่ยเฉิงจิ่นแค่นเสียง
นี่นับว่าไม่เท่าใด
ละครเงาต้องแสดงในที่ค่อนข้างมืด
เซี่ยงเฉิงจิ่นผลักประตูเปิดออก ภายใต้แสงไฟสลัว เขาเห็นเพียงศีรษะของคนศีรษะแล้วศีรษะเล่า
เพียงแต่ คนแซ่เฝิงผู้นั้นเห็นได้ชัดว่ามีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดให้แม่นางน้อยที่น่ารักอย่างลู่จื่ออวิ๋นอยู่ท่ามกลางคนเรือมากมาย ดังนั้นตำแหน่งของพวกเขาจะต้องอยู่ด้านหน้า
“สนุกหรือไม่?” เซี่ยเฉิงจิ่นไปยืนข้าง ๆ ลู่จื่ออวิ๋น ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ลู่จื่ออวิ๋นได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็หันหน้ากลับมา จึงเห็นเซี่ยเฉิงจิ่นผู้ที่ยืนสูงตระหง่านประหนึ่งต้นเสา
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขานำเก้าอี้มาให้
เซี่ยเฉิงจิ่นนั่งลง
เฝิงฉี่เหนียนเอ่ยขึ้น “น้องลู่ผู้ประเสริฐ เจ้ามาแล้วหรือ เดิมทีอยากไปเชิญเจ้ามาสนุกด้วยกัน เพียงแต่ข้าคิดว่าเจ้าต้องการพักผ่อนจึงไม่ได้รบกวน”
“ครั้งหน้าคุณชายเฝิงส่งคนมาแจ้งข้าได้ ร่างกายข้าไม่ได้อ่อนแอเพียงนั้น ยังมีแรงเดินไม่กี่ก้าวมาชมละครเงาได้เหลือเฟือ นอกจากนี้แล้ว หากท่านพานางไป โปรดบอก ‘พี่ชาย’ นางสักคำ” สิ้นคำ เซี่ยเฉิงจิ่นก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
เขาคิดว่าเป็นพี่ชายของนางจริง ๆ หรือไร
“พี่ชายผู้นั้นแสดงได้ไม่เลว ไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์แสดงละครเงาเหล่านั้นแม้แต่น้อย”
“บรรพบุรุษของเขาเป็นนักแสดงละครเงา เพราะชีวิตยากลำบากจึงติดตามคาราวานเรามาค้าขาย” เฝิงฉี่เหนียนเอ่ย “แม่นางลู่ฟังออกหรือไม่ว่าเสียงชายเฒ่า ท่านป้า ลูกสะใภ้เล็ก และเสียงเด็กเมื่อครู่นี้เป็นเสียงของเขาเพียงคนเดียว?”
“จริงหรือ? ข้าฟังไม่ออกเลย” ลู่จื่ออวิ๋นประหลาดใจ
“อันที่จริงแล้วแยกแยะได้ง่ายมาก…” เฝิงฉี่เหนียนอธิบายรายละเอียดให้ลู่จื่ออวิ๋นฟัง
ลู่จื่ออวิ๋นฟังอย่างตั้งใจ อีกทั้งยังเรียนรู้อะไรมาได้มากมาย
นางเป็นคนที่ขยันขวนขวายมาโดยตลอด ไม่เช่นนั้นคงไม่เรียนรู้อะไรได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
แคว่ก! เสียงเบา ๆ เสียงหนึ่งดึงดูดความสนใจของเซี่ยเฉิงจิ่น
เซี่ยเฉิงจิ่นดึงลู่จื่ออวิ๋นไปหลบข้าง ๆ
คุณหนูลู่กำลังฟังอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นก็ถูกเซี่ยเฉิงจิ่นดึงตัวออกมา จึงยังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
ขณะที่นางกำลังจะเปิดปากนั้นเอง เซี่ยเฉิงจิ่นก็กดหัวนางซุกเข้ากับอ้อมแขน ปกป้องนางเอาไว้ทั้งตัว
ปัง! ฉากของละครเงาล้มลงมา กระแทกพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น
“เกิดอะไรขึ้น?! เหตุใดฉากจึ้งล้มลงมา?! เปิดหน้าต่างเร็วเข้า ดูว่ามีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” เฝิงฉี่เหนียนตะโกนสั่งการ
[1] ดื่มสุราไม่ได้เสพรสชาติสุรา หมายถึง ดื่มสุราแต่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง