สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 714 ไม่ให้โอกาสเขา

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 714 ไม่ให้โอกาสเขา

บทที่ 714 ไม่ให้โอกาสเขา

หลังจากนั้น เฝิงฉี่เหนียนต้องการใกล้ชิดกับลู่จื่ออวิ๋น ทว่าทุกครั้งล้วนไม่มีโอกาส

กลางวัน ลู่จื่ออวิ๋นอยู่ที่ห้องเซี่ยเฉิงจิ่น อ้างว่าต้องดูแลพี่ชาย

นางเดินหมากกับเซี่ยเฉิงจิ่น หรือไม่ก็ฟังเขานั่งเป่าขลุ่ยอยู่ริมหน้าต่าง

ขลุ่ยนั้นเป็นเพียงขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดา ๆ ทำจากวัสดุที่เขาหาได้จากในเรือ ภายนอกอาจดูไร้ความสวยงามไปบ้าง ทว่ามันกลับให้เสียงบรรเลงเพลงที่ไพเราะทีเดียว

เซี่ยเฉิงจิ่นมองทะเลตรงหน้า สายตาทอดยาวออกไปไกล

ลู่จื่ออวิ๋นมองใบหน้าด้านข้างของเขา ตอนนี้เขาไม่ได้เฉียบคมดั่งเช่นยามปกติ กลับนิ่งสงบเหมือนทะเลเบื้องหน้า งดงามดั่งทิวทัศน์ในภาพวาด มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อ ‘ทะเล’ นี้ซัดกระหน่ำถาโถมนั้น มันสามารถร้ายกาจได้เพียงใด

ติงเซียงและลูกน้องของเซี่ยเฉิงจิ่นมองหน้ากันไปมา ทั้งสองคนเดินออกจากห้องโดยสารไปเงียบ ๆ

พวกเขายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู อีกทั้งยังปิดประตูให้สนิท

“เจ้าช่างเป็นสาวใช้ที่ใจกว้าง ถึงกับกล้าให้คุณหนูของพวกเจ้าอยู่กับนายท่านของพวกเราเพียงลำพัง” ลูกน้องผู้นั้นเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ

“คุณหนูของพวกเรามีสถานะพิเศษ หากนายท่านของพวกเจ้ากล้ารังแกนาง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปอาณาจักรเฟิ่งหลิน รอคอยความตายแต่โดยดีเสียเถอะ!” ติงเซียงเชิดหน้าขึ้น เอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง

“นายท่านของพวกเราเป็นผู้สูงศักดิ์เพียงนั้น จะกลายเป็นคนไร้ศีลธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร?”

“คำพูดน่ะเป็นของเจ้า ข้าไม่ทันได้สงสัยนายท่านผู้นั้น เหตุใดขโมยเป็นเจ้า คนร้องให้จับขโมยยังเป็นเจ้าได้อีกเล่า*[1]?”

ลูกน้องผู้นั้น “…”

เอาเถอะ! เขาไม่อาจพูดคุยกับแม่นางที่ชื่อติงเซียงผู้นี้ได้จริง ๆ

ในห้องโดยสาร เพลงสิ้นสุดลงแล้ว เซี่ยเฉิงจิ่นวางขลุ่ยของเขาลง

“ชอบหรือไม่?”

ลู่จื่ออวิ๋นหลุดออกจากภวังค์ นางพยักหน้าเบา ๆ

“อยากเรียนหรือไม่? ข้าจะสอนเจ้า”

“เอาสิ อย่างไรเสียข้าก็เบื่ออยู่พอดี”

เสียงเป่าขลุ่ยอันไพเราะดังออกมา ทั่วทั้งทะเลก้องกังวานไปด้วยท่วงทำนองที่งดงาม

เฝิงฉี่เหนียนเหม่อมองนกนางนวลที่บินผ่านไป

“เจ้านาย พี่ชายน้องสาวคู่นั้นช่างอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง หลายวันมานี้ยังได้ยินเสียงขลุ่ยอยู่บ่อยครั้ง”

“เจ้ารู้หรือไม่เพลงนี้มีชื่อว่าอะไร?”

“ผู้น้อยเป็นเพียงคนหยาบกระด้างผู้หนึ่งจะรู้จักได้อย่างไรกัน?”

“หงส์เกี้ยวหงส์*[2]” เฝิงฉี่เหนียนพึมพำ “นี่เป็นการสารภาพรัก อีกทั้งยังเป็นคำเตือน”

“หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” เฝิงฉี่เหนียนเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “เอาละ ข้างหน้ามีโขดหินไม่น้อย ให้ทุกคนระวังหน่อย อย่าได้ไปชนมันเข้า”

ลู่จื่ออวิ๋นเฉลียวฉลาดมาก หากนางเป็นบุรุษ พรสวรรค์ของนางคงไม่ด้อยไปกว่าลู่ฉาวอวี่พี่ชายฝาแฝดของนาง นี่ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงนัก

บทเพลงหงส์เกี้ยวหงส์นี้ ผ่านไปสามวันนางก็เป่าได้อย่างชำนาญแล้ว

เซี่ยเฉิงจิ่นมองคุณหนูลู่อย่างตั้งอกตั้งใจ มองภาพที่ปากเล็ก ๆ นั้นบรรเลงเพลง มองนางดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองของเพลง จู่ ๆ ก็เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “เพลงนี้ข้าเป็นคนสอนให้เจ้า ไม่อนุญาตให้เจ้าไปเป่าให้ผู้อื่นฟัง”

ลู่จื่ออวิ๋นเช็ดขลุ่ยด้วยผ้าเช็ดหน้าของตนเอง แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านก็ไม่เห็นเสียหน่อยว่าข้าได้เป่าให้ผู้อื่นฟังหรือไม่ ท่านจะรู้ได้อย่างไร?”

“ข้าจะรู้” เซี่ยเฉิงจิ่นมองนางด้วยท่าทีจริงจัง

“ค่อยว่ากันเถอะ! นั่นขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า” ลู่จื่ออวิ๋นมองออกไปข้างนอก “พรุ่งนี้เราคงถึงเมืองซื่อไห่แล้ว ทางนั้นใช่เรือประมงหรือไม่?”

“ใช่”

“ได้ยินว่าเมืองซื่อไห่อันตรายยิ่งนัก สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม

“เมืองซื่อไห่เป็นชายแดนติดต่อกับอาณาจักรเหลียง เขตแดนระหว่างทั้งสองอาณาจักรมีภูเขาลูกหนึ่งคั่นกลาง บนเขานั้นมีโจรป่าโหดเหี้ยมกลุ่มหนึ่ง ในมือพวกเขามีลูกน้องนับพัน”

“พันคนเชียวหรือ?”

“ไม่ผิด คราใดที่ขาดอาหารขาดเงิน พวกมันจะนำคนลงจากเขามาปล้น ทางการเมืองซื่อไห่ไม่อาจรับมือได้แม้แต่น้อย หากมีคนมาปิดล้อมปราบปรามพวกมัน พวกมันก็จะหนีไปยังอาณาเขตของอาณาจักรเหลียง หลังจากผ่านพ้นช่วงนั้นไป พวกมันก็จะกลับมา”

“รับมือได้ยากดังคาด” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ราวกับปลาไหลอย่างไรอย่างนั้น หนีได้รวดเร็วยิ่ง”

“พรุ่งนี้ไปถึงเมืองซื่อไห่ พวกเราจะมุ่งตรงไปยังเมืองซานหลินทันที” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ข้ามักจะสังหรณ์ใจว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่สงบนัก มีเพียงเห็นเจ้าถึงเมืองซานหลินอย่างปลอดภัย ข้าจึงจะวางใจ”

“ได้”

ข้างนอกมีเสียงดังขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นเสียงของเฝิงฉี่เหนียน

ติงเซียงเปิดประตูเดินเข้ามา “คุณหนู คุณชายเฝิงบอกว่าคืนนี้เชิญท่านกับคุณชายไปงานเลี้ยงเจ้าค่ะ”

“ย่อมได้” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “พวกเราจะได้ขอบคุณคุณชายเฝิงพอดี”

คืนนั้น เฝิงฉี่เหนียนรับรองพวกเขาทั้งสองคนในห้องที่ใช้รับรองแขก

บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะมากมายหลายอย่าง ข้างนอกยังมีเสียงคลื่นทะเล บรรยากาศไม่เลวเลยทีเดียว

เซี่ยเฉิงจิ่นดึงเก้าอี้ออกมาให้ลู่จื่ออวิ๋นนั่งลง แล้วเขาจึงนั่งลงข้าง ๆ

เฝิงฉี่เหนียนมองพวกเขาทั้งสองคนแล้วยิ้มออกมา “น้องลู่ผู้ประเสริฐช่างเอาใจใส่น้องสาวเสียจริง ที่บ้านข้าก็มีน้องสาว ทว่าเมื่อเทียบกับน้องลู่ผู้ประเสริฐแล้ว ข้าช่างไม่มีคุณสมบัติของพี่ชายเอาเสียเลย”

“คุณชายเฟิงไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับข้า การปฏิบัติต่อคนในครอบครัวของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป ข้าก็ไม่ได้มีความอดทนต่อผู้ใดเช่นนี้ อย่างน้อยหากเปลี่ยนเป็น ‘น้องหญิง’ คนอื่นแล้ว ข้าคงไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเช่นกัน”

“น้องลู่ผู้ประเสริฐมีน้องสาวหลายคนหรือ?”

“น้องสาวเช่นนี้… มีเพียงผู้เดียว”

ลู่จื่ออวิ๋น “…”

คำก็ ‘น้องหญิง’ อีกคำก็ ‘น้องหญิง’ อีกทั้งยังกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ กลัวผู้อื่นจะไม่เปิดโปงตนเองหรือไร คนผู้นี้จงใจใช่หรือไม่?

“คุณชายเฝิง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ลำบากท่านแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าดื่มไม่เป็น วันนี้ได้แต่ดื่มชาคารวะท่านแทนสุรา”

“แม่นางลู่ไม่ต้องเกรงใจ” เฝิงฉี่เหนียนแย้มยิ้มออกมา “พรุ่งนี้พวกเราก็จะเทียบท่าแล้ว หลายวันมานี้อย่างไรก็นับว่าได้เป็นสหายกัน จู่ ๆ ต้องแยกจาก รู้สึกตัดใจไม่ได้อยู่บ้างจริง ๆ สกุลข้ามีเรือนอีกหลังที่เมืองซื่อไห่ หากทั้งสองท่านไม่รีบร้อนไปเยี่ยมญาติก็สามารถมานั่งเล่นที่บ้านข้าได้”

“ต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว พวกเราต้องรีบไปเยี่ยมญาติ” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “หากพวกเรามีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง จะต้องไปนั่งเล่นที่บ้านคุณชายเฝิงอย่างแน่นอน”

“ได้ เช่นนั้นข้าไม่รบเร้าแล้ว” เฝิงฉี่เหนียนเอ่ย “คืนนี้เป็นงานเลี้ยงร่ำลา พวกเราไม่เมาไม่กลับ!”

ไม่เมาไม่กลับ…

คำนี้ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนคิดขึ้นมา เหล่าบุรุษจึงมักจะใช้คำนี้เพื่อแสดงความจริงใจของตนเอง

นี่อย่างไร เฝิงฉี่เหนียนกอดเสาร้องตะโกนแล้ว “น้องลู่ผู้ประเสริฐ พวกเรามาดื่มอีก วันนี้พวกเราจะต้องกินดื่มให้อิ่มหนำสำราญ อย่าได้เกรงใจข้าเชียว”

คนเรือของเขาดึงเขาออก พยายามโน้มน้าวให้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง เฝิงฉี่เหนียนเห็นผู้ใดล้วนคิดว่าเป็นเซี่ยเฉิงจิ่น ร้องเรียกน้องลู่ผู้ประเสริฐคราแล้วคราเล่า อีกฝ่ายดื่มกับคนเรือไปไม่น้อย

เซี่ยเฉิงจิ่นใช้หลังดาบสับคอเฝิงฉี่เหนียนหนึ่งที

ร่างกายเขาไร้เรี่ยวแรง หล่นลงไปในอ้อมแขนของคนเรืออย่างรวดเร็ว

“เอาละ พาเขากลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ”

ลู่จื่ออวิ๋นมองเขา “ท่านช่างคอแข็งเสียจริง”

“เดิมทีข้าก็ไม่ได้ดื่มมากอะไร” เซี่ยเฉิงจิ่นดีดหน้าผากนางหนึ่งที “เด็กโง่!”

“ท่าน…” ลู่จื่ออวิ๋นมองค้อนเขา

“คนผู้นี้ไม่ธรรมดา ข้าจะปล่อยให้ตนเองเมามายจนเจ้าตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร?” เซี่ยเฉิงจิ่น “อย่าได้ถูกการแสดงวันนี้ของเขาหลอกเอา เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่าทีโง่เขลาที่เขาแสดงออกไม่ได้เป็นการจงใจทำให้พวกเราตายใจ? ข้าขอถามเจ้า เจ้าเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา รู้สึกว่าเขาไร้พิษภัยหรือไม่? ก่อนหน้านี้เจ้าระแวดระวังเขามาโดยตลอด ตอนนี้ลดการป้องกันตัวลงแล้วหรือ?”

ลู่จื่ออวิ๋นเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างจนใจ

ใช่จริง ๆ!

เมื่อนางเห็นเฝิงฉี่เหนียนในสภาพเมามายเช่นนี้ อีกทั้งยังดูไม่ค่อยฉลาดนัก นางจึงสบประมาทเขาแล้ว

“ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์ ไม่ได้เรียบง่าย” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “กลับไปพักผ่อนที่ห้องเจ้าเถอะ พรุ่งนี้เช้าเรือจะเทียบท่าแล้ว ถึงตอนนั้นหากเขายังซื่อสัตย์ก็แล้วไป แต่หากคิดไม่ซื่อแล้วละก็…”

[1] มาจากสำนวน ขโมยร้องจับขโมย หมายถึง พูดเพื่อเอาตัวรอดให้ตัวเองพ้นผิด

[2] เพลงหงส์เกี้ยวหงส์ ( 凤求凰 ) เป็นเพลงที่ซือหม่าเซียงหรูใช้สารภาพความในใจที่มีต่อจั๋วเหวินจวิน ความรักของพวกเขาถูกขัดขวางจากครอบครัว ท้ายที่สุดจึงหนีตามกันไป เพลงนี้มักใช้เปรียบเทียบความปรารถนาที่ชายหนุ่มมีต่อหญิงสาวอย่างแรงกล้า

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท