บทที่ 715 ถึงเมืองซื่อไห่
บทที่ 715 ถึงเมืองซื่อไห่
“เรือเทียบท่าแล้ว!”
เสียงตะโกนของคนเรือปลุกลู่จื่ออวิ๋นให้ตื่นขึ้น
นางลุกขึ้นด้วยความงุนงง หยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นพวกเขาเข้าใกล้ฝั่งเรื่อย ๆ จึงตะโกนออกไป “ติงเซียง!”
ติงเซียงเปิดประตูเดินเข้ามา “คุณหนู ประเดี๋ยวเรือก็จะเทียบท่าแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขณะจัดแจงเสื้อผ้า “เก็บสัมภาระของพวกเราหรือยัง?”
“วางใจเถอะเจ้าค่ะ เมื่อคืนบ่าวเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เพียงแค่รอลงจากเรือเจ้าค่ะ” ติงเซียงเอ่ย “เมื่อครู่ท่านอ๋องมาเที่ยวหนึ่ง ได้ยินว่าท่านยังไม่ตื่น เขาจึงรออยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ”
“เขาทำอะไรอยู่ข้างนอก?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“บ่าวคิดว่า…” ติงเซียงลดเสียงของนางลง “ประเดี๋ยวเรือก็จะเทียบท่าแล้ว เขาไม่ไว้ใจคนบนเรือจึงมาเฝ้าท่านด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
“เอาละ ไม่ต้องพูดจาเหลวไหลแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นออกมาจากห้องโดยสาร พลันเห็นเซี่ยเฉิงจิ่นที่ยืนอยู่ไม่ไกล ลมพัดเส้นผมของเขาปลิวไสว ผมหางม้าที่รวบขึ้นสูงทำให้เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มธรรมดา ไม่ใช่ผู้ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงในราชสำนักอยู่บ่อยครั้ง
เขา…
อันที่จริงแล้วเขายังเยาว์ยิ่งนัก
หากเป็นสกุลธรรมดา ๆ เด็กหนุ่มในวัยนี้คงยังอยู่ภายใต้ปีกของบิดามารดา แต่เขากลับไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค บากบั่นปกป้องครอบครัวไว้ภายใต้ปีกของตน
เซี่ยเฉิงจิ่นเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ถึงแม้ข้าจะดีใจที่เจ้าจ้องมองข้าเช่นนี้ แต่อีกประเดี๋ยวก็จะลงเรือแล้ว เจ้าต้องตามข้ามาใกล้ ๆ อย่าได้ตามไปผิดคนเล่า”
ลู่จื่ออวิ๋นเบือนหน้าหนีทันที “ผู้ใดมองท่าน? ข้ามองนกนางแอ่นทางนู้นต่างหาก”
“น่ามองหรือไม่?”
“น่ามอง…” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นสีหน้าเขาก็รู้ได้ทันทีว่าถูกเย้าแหย่เข้าเสียแล้ว
เฝิงฉี่เหนียนออกมาจากห้อง ใบหน้าประดับรอยยิ้มแห้งเหี่ยว “น้องลู่ผู้ประเสริฐ เจ้าคอแข็งเกินไปแล้วกระมัง? หัวของข้ายังปวดตุบ ๆ อยู่เลย แต่เจ้ากลับกระปรี้กระเปร่าเพียงนี้ ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย”
“สหายเฝิงยังต้องฝึกดื่มสุราอีกมาก”
“ช่างเถิด ข้าดื่มไม่ไหวแล้ว ภายหน้าดื่มให้น้อยลงเถอะ! ดูสิเมื่อวานนี้สภาพข้าดูไม่ได้เพียงใด ช่างขายหน้าจริง ๆ ทำให้ขบขันแล้ว! ทำให้ขบขันแล้ว!”
“ประเดี๋ยวเรือก็จะเทียบท่า พวกเราคงต้องกล่าวอำลาสหายเฝิงแล้ว”
“จะไปแล้วหรือ?” เฝิงฉี่เหนียนไม่อาจตัดใจแยกจาก “เช่นนั้นน้องลู่ผู้ประเสริฐ แม่นางลู่ หากมีโชคชะตา เราคงได้พบกันอีกครั้ง”
“มีวาสนาค่อยพบกัน”
หลังจากเรือเทียบท่า เซี่ยเฉิงจิ่นพาลู่จื่ออวิ๋นไปจัดการเรื่องอาหารเช้าเสียก่อน เมื่อเติมเต็มท้องแล้วจึงเริ่มหาซื้อรถม้าไปยังเมืองซานหลิน
เมืองซื่อไห่อยู่ห่างจากเมืองซานหลินสามวัน ต้องใช้เส้นทางบกในการเดินทาง
ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้ไม่ไกลนัก ทว่านี่ใช้ได้กับสถานการณ์ที่สภาพอากาศเป็นใจ ไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างทางเท่านั้น แต่หากฝนเทลงมาก็ต้องหาที่พัก เช่นนั้นย่อมไม่มีทางไปถึงเมืองซานหลินได้ภายในสามวัน
“นายท่าน มีคนตามพวกเรามาขอรับ” ลูกน้องที่อยู่ข้างนอกเอ่ยขึ้น
“อีกฝ่ายมีกี่คน เป็นผู้ใด”
“มีอาวุธครบครัน แต่ละคนล้วนมีผู้ฝึกยุทธ์ มาราว ๆ ยี่สิบคนขอรับ”
เซี่ยเฉิงจิ่นหันไปมองลู่จื่ออวิ๋น “ไม่ต้องกลัว”
ลู่จื่ออวิ๋นส่ายหัวเบา ๆ “ข้าไม่กลัว ทว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ใด? พวกเราตัดสินใจมาเมืองซื่อไห่กะทันหัน ไม่มีทางเป็นคนกลุ่มนั้นที่ตามฆ่าท่านแน่ คนพวกนั้นแม้จะเค้นสมองเพียงใดก็คงคิดไม่ถึงว่าท่านจะมาเมืองนี้”
“ดังนั้น คนเหล่านี้จะต้องเป็นศัตรูใหม่อย่างแน่นอน”
“เกี่ยวข้องกับเฝิงฉี่เหนียนหรือ?”
“ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัด”
“เช่นนั้นท่านคิดจะทำอย่างไร?”
“ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเสี่ยงด้วย ดังนั้นข้าจะจัดการที่ทางให้เจ้าก่อน”
การจัดหาที่ทางที่เซี่ยเฉิงจิ่นว่าคือการพาลู่จื่ออวิ๋นไปซ่อนตัว จากนั้นเขาจึงพาลูกน้องไม่กี่คนไปปะทะซึ่ง ๆ หน้า
คนยี่สิบกว่าคนยังพอรับมือได้ ภายในสองเค่อ พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับร่างกายที่ชุ่มเลือดไปทั้งตัว
เซี่ยเฉิงจิ่นกังวลว่าลู่จื่ออวิ๋นจะตกใจจึงไม่ได้ขึ้นไปบนรถม้า หากแต่ขี่ม้าไปพร้อมกับลูกน้องของตน
พวกเขาฉวยเอาม้ามาจากโจรเหล่านั้น เพียงพอให้ได้ใช้ต่อพอดี
“ท่านอ๋อง เป็นคนของค่ายอินทรีย์ดำขอรับ” ลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ กระซิบเสียงเบา “พวกเราถูกคนของค่ายอินทรีย์ดำหมายหัวแล้ว”
“หลังจากลงเรือ พวกเราไม่ได้รั้งอยู่นาน ซื้อรถม้าจากมาทันที เช่นนี้ยังถูกคนของค่ายอินทรีย์ดำจับได้ หากบอกว่าไม่มีคนแอบส่งข่าว ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย”
“ค่ายอินทรีย์ดำมีคนนับพัน หากถูกพวกเขาหมายหัว เกรงว่า… นายท่าน จะทำอย่างไรดีขอรับ?”
“ไม่ต้องกังวล พวกเขาไม่กล้าทำอะไรเอิกเกริก หากมาทีละกลุ่มเช่นครั้งนี้ พวกเรายังพอจัดการได้ นอกจากนี้ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะร้ายกาจเพียงใด ยังจะร้ายกาจไปกว่านักฆ่าที่เราพบเจอระหว่างทางได้อีกหรือ?”
แม้กระทั่งนักฆ่าที่มาลอบสังหารยังถูกกำจัด แล้วยังต้องกลัวโจรที่ไม่อยู่ในสายตาพวกนี้อีกรึ?
ลูกน้องของเขาไม่กล่าวอะไรอีก
สิ่งที่ลูกน้องของเซี่ยเฉิงจิ่นอยากกล่าวคือ ก่อนหน้านี้เราจัดการกับนักฆ่าได้เพราะมีคนถึงเจ็ดสิบแปดสิบคน บัดนี้พวกเขาเหลือกันเพียงห้าคนเท่านั้น
มิหนำซ้ำยังต้องปกป้องคุณหนูลู่ผู้ที่ไม่มีวรยุทธ์อีก
ช่างเถิด พูดไปก็ไร้ความหมาย ออมแรงเอาไว้จัดการกับศัตรูที่อาจโผล่ออกมาเมื่อใดก็ได้เถอะ!
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลูกธนูพุ่งลงมาจากข้างบนดอกแล้วดอกเล่า
เซี่ยเฉิงจิ่นพุ่งเข้าไปในรถม้า ปกป้องลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ด้านในเอาไว้
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นที่แขนเขามีลูกธนูลูกหนึ่งปักอยู่ พลันมองเขาอย่างกระวนกระวายใจ “ท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นอะไร” เซี่ยเฉิงจิ่นพาลู่จื่ออวิ๋นออกมาจากรถม้า “ติงเซียง ปกป้องคุณหนูของพวกเจ้าให้ดี หากสถานการณ์วิกฤตให้พานางไปก่อน”
“เจ้าค่ะ!”
ติงเซียงพาลู่จื่ออวิ๋นฝ่าออกไปจากวงต่อสู้
ไม่รู้ว่านานเพียงใด คุณหนูลู่ยังคงมองอยู่ตรงนั้น สายตาของนางแทบพร่าเบลอแล้ว
นางรู้เพียงว่าโจรเหล่านั้นล้มลงคนแล้วคนเล่า
นางถึงขั้นนับว่าโจรเหล่านั้นล้มลงไปมากน้อยเพียงใด แม้กระทั่งหวังว่าโจรเหล่านั้นจะถูกกำจัดไปโดยเร็ว
แต่ไหนแต่ไรมาลู่จื่ออวิ๋นไม่ใช่คนมีเมตตาอะไร
โจรเหล่านี้สมควรตาย
“ตรงนั้นมีสตรีหนึ่งคน จับนางไว้!” หนึ่งในพวกโจรตะโกนขึ้นมา
โจรหลายคนวิ่งเข้ามาหานาง
ติงเซียงจัดการพวกมันคนแล้วคนเล่า ยืนบังลู่จื่ออวิ๋นไว้ข้างหลัง
เซี่ยเฉิงจิ่นเห็นติงเซียงรับมือได้ พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดโจรคนสุดท้ายก็ล้มลง สถานการณ์วิกฤตถูกปลดเปลื้องไปชั่วคราว
เซี่ยเฉิงจิ่นเดินไปหาลู่จื่ออวิ๋น
นางเห็นที่แขนเขายังมีลูกธนูปักอยู่จึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“บาดแผลของท่าน…”
“ข้าไม่เป็นไร”
“รักษาแผลก่อนเถอะ”
ทุกคนหาที่สะอาด ๆ รักษาบาดแผลบนร่างกายของตนเอง
เมื่อเทียบกับลูกน้องคนอื่น ๆ แล้ว บาดแผลของท่านอ๋องผู้นี้เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อหันไปมองลูกน้องคนอื่น ๆ แผลพวกเขาสาหัสยิ่งกว่า เสื้อผ้าโชกชุ่มไปด้วยเลือด หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าจะไปไม่ถึงเมืองซานหลินแล้ว
“ข้ามีวิธีหนึ่ง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “พวกเรากลับไปเมืองซื่อไห่เถอะ!”
“ไม่ง่ายที่พวกเราจะจัดการคนได้ถึงสองกลุ่ม หากพวกเรากลับไปเมืองซื่อไห่ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเราได้รับบาดเจ็บกันไปเปล่า ๆ หรือ?” ผู้ใต้บังคับบัญชางงงงวย
“ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ หากต้องเผชิญกับอันตรายที่รออยู่ข้างหน้าในสภาพเช่นนี้ นับว่าเสียเปรียบอยู่บ้างจริง ๆ คนเหล่านั้นคงนึกไม่ถึงว่าเราจะทำเรื่องที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว กลับไปยังเมืองซื่อไห่เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดแล้วจริง ๆ”
“หลังจากกลับไปเมืองซื่อไห่แล้วเล่า?”
“พักฟื้นร่างกายเสียก่อน” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ไปหาคุณชายเฝิงผู้นั้น เขาไม่ได้เชิญเราไปที่บ้านเขาหรือ? เช่นนั้นก็ไปพบเขา ดูซิว่าเขาจะแสดงบทบาทใดในเรื่องนี้กันแน่”