บทที่ 719 เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว
บทที่ 719 เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วล้มป่วยแล้ว
นับตั้งแต่นางวิ่งออกจากตำหนักหย่างซินในวันนั้น ภายหลังก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการป่วยไข้ทั้งที่ไม่สาหัสและทั้งที่สาหัส อาการของนางจึงทรุดลงเรื่อย ๆ
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
เมื่อนางกำนัลที่คอยรับใช้ตำหนักจิ่นซิ่วเห็นฟ่านหยวนซีก็รีบถวายบังคมทันที
หลีเซียงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เหลือบมองไปทางฮองเฮาน้อยด้วยความเป็นกังวล
วันนั้นซ่างกวนจิ่นซิ่ววิ่งออกมาจากพระตำหนักหย่างซิน ดูเหมือนว่านางจะได้รับความหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำคืนนั้นยังตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้ายหลายครั้งหลายครา อาการหวัดจากลมเย็นจึงกลายเป็นอาการป่วยภายหลัง จากอาการป่วยก็กลายเป็นล้มป่วย พระนางฮองเฮานอนซมอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายวัน
ฟ่านหยวนซีมองซ่างกวนจิ่นซิ่วที่ยังไม่ได้สติ
เดิมทีก็เล็กมากแล้ว บัดนี้ใบหน้าของนางยิ่งหดเล็กลงไปกว่าเดิมอีก กระดูกไหปลาร้าของนางเห็นเด่นชัดขึ้นมา ราวกับมีคนมาสูบเอาเลือดเนื้อไป
“ท่านหมอหลวงว่าอย่างไร?”
“ทูลฝ่าบาท ท่านหมอหลวงกล่าวว่าอาการป่วยของฮองเฮาเป็นเพราะความกังวลที่มากเกินไป หากต้องลมหนาวเพียงเล็กน้อย เสวยโอสถเพียงสองสามวันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแต่ฮองเฮาไม่อาจเสวยโอสถได้จึงไม่ดีขึ้นเลยเพคะ”
“วันนี้นางเสวยโอสถแล้วหรือยัง?”
“เดิมทีเสวยไปแล้ว แต่เมื่อครู่ทรงอาเจียนออกมาแล้วเพคะ”
“นำโอสถมา”
หลีเซียงยกยาต้มมาอย่างระมัดระวัง
ฟ่านหยวนซีรับยาต้มไป มองหญิงสาวหน้าแดงเรื่อผู้นั้นก่อนจะกลืนยาลงไปอึกหนึ่ง
“ฝ่าบาท…” หลีเซียงคิดจะห้ามเขา ทว่าสายไปแล้ว
ด้วยความหวาดกลัว นางคลุกเข่าลงพลัน
หากเกิดอะไรขึ้นกับฟ่านหยวนซี คนทั้งตำหนักต้องถูกกลบฝังไปพร้อมกับฮ่องเต้
ฟ่านหยวนซีก้มศีรษะลงค่อย ๆ ป้อนยาในปากให้ซ่างกวนจิ่นซิ่ว
หนึ่งอึก สองอึก สามอึก…
กระทั่งยาต้มในถ้วยหมดแล้วเขาถึงได้หยุด
ฟางกงกงนำน้ำชามาให้ฟ่านหยวนซีบ้วนปากทันที
ฟ่านหยวนซีลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ปรนนิบัตินางให้ดี”
“เพคะ”
หลังจากเขาไปแล้ว นางกำนัลในตำหนักจิ่นซิ่วถึงได้ลุกขึ้น
“แม่นางหลีเซียง นี่ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร?”
“สายตาคับแคบเสียจริง เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงห่วงใยพระนางฮองเฮา เพื่อฮองเฮาแล้วแม้กระทั่งพระวรกายมังกรของพระองค์ยังทรงละเลยได้ นั่นหมายความว่าฮองเฮาของเราสำคัญกับพระองค์อย่างยิ่ง”
หลายวันต่อมา ฟ่านหยวนซียังคงมาป้อนยาให้ซ่างกวนจิ่นซิ่วตรงตามเวลา
สามวันให้หลัง หมอหลวงรายงานอาการของซ่างกวนจิ่นซิ่ว ผลที่ได้แน่นอนว่าต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของซ่างกวนจิ่นซิ่วดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน อีกทั้งไข้ของนางก็ลดลงแล้วจึงรู้ได้ว่ายาออกฤทธิ์
ฟ่านหยวนซีเอื้อมมือออกไป
หลีเซียงส่งยาต้มให้เขา
เขาก้มศีรษะลงดื่มยาลงไปอึกหนึ่งดังเช่นปกติ ก่อนจะส่งยาผ่านปากให้ซ่างกวนจิ่นซิ่ว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่นุ่มหยุ่น ท่ามกลางความมึนงง นางรู้สึกได้ถึงรสขมเล็กน้อย ทว่าสัมผัสที่อ่อนนุ่มนั้นน่าสนใจเป็นพิเศษ คนป่วยจึงเริ่มดูดดึงมัน
หรือว่านี่เป็นขนมรสเลิศหรือ?
ทั้งอุ่น ทั้งนุ่ม ต้องเป็นขนมรสเลิศแน่ ๆ
เช่นนั้นลองกัดดูสักคำเถอะ!
ฟางกงกงโบกมือ ส่งสัญญาณให้ทุกคนที่อยู่ในพระตำหนักออกไป
ด้วยเหตุนี้ ทั่วทั้งพระตำหนักจึงเหลือเพียงคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน
ซ่างกวนจิ่นซิ่วสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหตุใดขนมชิ้นนั้นกัดไม่ได้เล่า?
ฮองเฮาน้อยลืมตาขึ้นมา
เมื่อใบหน้าหล่อเหลาปรากฏขึ้นตรงหน้านางในระยะประชิด ม่านตาของนางพลันหดเล็กลง แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
ฟ่านหยวนซีเห็นว่าในที่สุดนางก็ฟื้นขึ้นมาแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง
เขาแตะลงบนบริเวณที่นางกัดเบา ๆ ตรงนั้นมีเลือดซึมออกมาแล้ว
“อร่อยหรือไม่?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม
เมื่อซ่างกวนจิ่นซิ่วนึกถึงภาพที่ฟ่านหยวนซีเกือบบีบคอนางตาย นางก็แทบร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว
ครานี้เขาคงไม่บีบคอนางให้ถึงตายจริง ๆ กระมัง?
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ดังนั้น?”
“บีบคอตายทรมานเกินไป เปลี่ยนให้ข้าตายด้วยวิธีอื่นได้หรือไม่?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ “อย่างเช่น… ใส่ยาพิษลงไปในขนมอร่อย ๆ จะดีที่สุดต้องหวานด้วย เช่นนี้จะได้บรรเทาความเจ็บปวดลงบ้าง”
ฟ่านหยวนซีลุกขึ้นยืน “เราจะลองใคร่ครวญดู”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วปวดศีรษะยิ่ง มิหนำซ้ำนางยังปวดเนื้อปวดตัวไปหมด หลังจากฟ่านหยวนซีออกไปแล้ว หลีเซียงและข้ารับใช้คนอื่น ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามา
“ฮองเฮา ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว…”
“ท่านป่วยไปสิบวันเลยนะเพคะ”
“ยังดีที่มีฝ่าบาท ไม่เช่นนั้น…”
เท่านั้นเองซ่างกวนจิ่นซิ่วถึงได้รู้ว่าฟ่านหยวนซีไม่ได้จะฆ่านาง หากเขาคิดจะฆ่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้คงไม่ช่วยนางไว้
ก่อนหน้านี้เขาเกือบบีบคอนางตาย นางจึงตกใจกลัว ตอนนี้เมื่อมาลองคิดดูแล้ว ตอนนั้นเขาคงกำลังฝันร้าย ไม่ได้จงใจจะลงมือต่อนาง
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ความกลัวของซ่างกวนจิ่นซิ่วที่มีต่อฟ่านหยวนซีจึงลดลงไปหลายส่วน
“พวกเจ้าบอกว่าข้าเสวยโอสถไม่ได้ จึงทำได้เพียงให้ฝ่าบาทป้อนข้า ฝ่าบาทป้อนข้าอย่างไร?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่กล้าเอ่ยออกมา
หลีเซียงเข้าไปใกล้ ๆ ซ่างกวนจิ่นซิ่ว แล้วเล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ให้นางฟัง
ซ่างกวนจิ่นซิ่วเขินอายจนใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“ดังนั้น เมื่อครู่นี้เขาป้อนยาให้ข้า อีกทั้งข้ายัง…”
คิดว่าเป็นขนม มิหนำซ้ำยังกัดเขาแล้ว
“หลีเซียง…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วดึงชายเสื้อหนึ่งของหลีเซียง “จะมีวันใดที่ฝ่าบาทนึกขึ้นมาได้ว่าข้าทำร้ายพระวรกายมังกรของพระองค์แล้วอยากฆ่าข้าหรือไม่!”
“พระนางฮองเฮาวางใจเถิด หากฝ่าบาททรงพิโรธจริง ๆ คงฆ่าท่านทันที ไม่รอให้มีภายหน้าแล้ว นอกจากนี้ พวกท่านยังเป็นสามีภรรยา พระองค์ป้อนยาท่านเช่นนี้ก็เป็นการสร้างบรรยากาศรักใคร่ มีอะไรใหญ่หลวงกันเพคะ?”
ฟ่านหยวนซีกลับไปยังพระตำหนักหย่างซิน
ที่นั่นมีชายหนุ่มในชุดคลุมขนสัตว์สีขาวนั่งชงชาอยู่ก่อนแล้ว กลิ่นชาหอมกรุ่นไปทั่วทั้งพระตำหนัก
“ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“คนในวังหลวงล้วนทราบว่าฮองเฮาประชวร ฝ่าบาทไปเยี่ยมเยือนสามเวลาต่อวัน ข้าไม่ต้องเอ่ยถามก็ทราบ”
“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม
“ท่านส่งข้าไปหุบเขาเทพโอสถ หากไม่ดีขึ้น เช่นนั้นจะไม่ผิดต่อความหวังดีของเจ้าหรือ?” เหวินอี้เอ่ย “ทว่าถึงอย่างไรที่นั่นก็ปลีกวิเวกเกินไป ข้ายังคงอยากกลับมาทำบางสิ่ง ไม่เช่นนั้นจะดูเหมือนข้าคนนี้เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ที่เฝ้ารอความตายเท่านั้น”
“อย่าได้เอ่ยวาจาเหลวไหล” ฟ่านหยวนซีนั่งลงตรงข้าม “หลายปีมานี้สุขภาพของเจ้าเป็นเรื่องที่ข้าเป็นห่วงที่สุด สิ่งแรกที่ทำหลังจากขึ้นครองราชย์ก็คือส่งเจ้าไปหาท่านหมอที่ดีที่สุด เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ยาวนานกว่าข้าเป็นแน่”
“เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ!” เหวินอี้โบกมือเบา ๆ “หากมีชีวิตอยู่นานคงน่าเบื่อเกินไป ข้าขายตัวเองให้ฮูหยินลู่แล้ว ตอนนี้ฮูหยินลู่กำลังขาดแคลนคน ข้าต้องกลับไปทำงานให้นางต่อ”
“แม้กระทั่งกิ่งมะกอก*[1] ที่พี่น้องเจ้าหยิบยื่นให้ยังปฏิเสธ กลับต้องการติดตามภรรยาของลู่อี้ หากข้าไม่รู้ว่าเจ้าสำนึกในบุญคุณของฮูหยินลู่ ข้าคงนึกว่าเจ้ามีความคิดอะไรต่อนางแล้ว” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างสงบ
“หากใต้เท้าลู่พบเข้า ข้าเกรงว่าคงไม่รอดพ้นวันพรุ่งนี้ หากเจ้าอยากให้ข้ามีชีวิตนานขึ้นอีกหน่อย ไม่เอ่ยเรื่องขบขันเช่นนี้จะดีที่สุด” เหวินอี้ยิ้มบาง ๆ
“ไม่ไตร่ตรองเรื่องดูแลกรมพระคลังจริง ๆ หรือ?”
“ร่างกายข้าไม่อาจแบกรับภาระใหญ่หลวงเพียงนั้นได้”
“เช่นนั้น เจ้าอยากติดตามทำการค้ากับฮูหยินลู่หรือ? ถึงแม้ฮูหยินลู่จะเป็นผู้ทำการค้า แต่ภาระบนบ่าของนางก็ไม่ใช่น้อย กิจการใหญ่โตของนางมีคนงานมากมายถึงแปดหมื่นคนแล้ว การที่เจ้าจะติดตามนางไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย”
“ข้ารู้” เหวินอี้เอ่ย “ทว่าเมื่อเทียบกับการเป็นขุนนางแล้ว ข้าชอบทำงานเพื่อความเป็นอยู่ของผู้คนมากกว่า อย่างน้อยมันก็บ่งบอกว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”
“เช่นนั้นข้าไม่ยุ่งกับเจ้าแล้ว” ฟ่านหยวนซีกล่าว “คืนนี้ไม่ต้องไปไหน พวกเรามากินดื่มทานอาหารด้วยกัน อาการป่วยของฮองเฮาดีขึ้นบ้างแล้ว ข้าจะแนะนำพวกเจ้าให้รู้จักกัน”
“ดี”
[1] หยิบยื่นกิ่งมะกอก หมายถึง การยื่นมือช่วยเหลือ