บทที่ 738 ได้รับความไม่เป็นธรรม ร้องไห้ราวกับกระต่าย
บทที่ 738 ได้รับความไม่เป็นธรรม ร้องไห้ราวกับกระต่าย
ซ่างกวนจิ่นซิ่วสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายและเกล้าผมธรรมดา ยืนอ้อนวอนขอแสดงความรับผิดชอบอยู่หน้าพระตำหนักหย่างซิน
โดยมีหลีเซียงและนางกำนัลคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้านหลังซ่างกวนจิ่นซิ่ว
หลีเซียงเองก็อับจนปัญญาแล้ว ฮองเฮาที่ยามปกติช่างพูด ยามที่นางดื้อดึงก็ยากที่จะโน้มน้าวเช่นกัน เดิมทีก็ไม่ฟังคำนางแม้เพียงคำเดียวอยู่แล้ว
นางเพียรกล่าวซ้ำ ๆ ว่าฝ่าบาทไม่ได้ตำหนิฮองเฮา ฝ่าบาทรู้ว่าพระนางบริสุทธิ์ อย่าได้กดดันมากเกินไปนัก เพียงแต่ซ่างกวนจิ่นซิ่วปฏิเสธที่จะฟัง บัดนี้นางเอาแต่ร่ำร้องขอชดใช้ความผิดด้วยการเข้าตำหนักเย็น
ลู่อี้เดินออกมาจากข้างในและเห็นซ่างกวนจิ่นซิ่วยืนอยู่ตรงนั้น
เขาหันกลับไปมองในพระตำหนักและตะโกนไปทางฟ่านหยวนซี “พระนางฮองเฮา วันนี้หิมะตกแล้ว เหตุใดพระนางยังยืนอยู่ตรงนี้เล่า?”
ฟ่านหยวนซีที่กำลังนวดขมับตนเอง ได้ยินคำพูดของลู่อี้จึงหันไปมองทางประตูจึงเห็นซ่างกวนจิ่นซิ่วที่ยืนอยู่ตรงนั้น โดยมีเกล็ดหิมะร่วงหล่นลงบนศีรษะประหนึ่งกระต่ายน้อยน่าสงสารเข้าพอดี
“เข้ามา” ฟ่านหยวนซีกล่าว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทส่งหม่อมฉันไปอยู่ตำหนักเย็นเพื่อระงับโทสะผู้คน”
ลู่อี้ยกกำปั้นขึ้นจรดริมฝีปากแล้วกระแอมเบา ๆ “กระหม่อมทูลลา”
ฟ่านหยวนซีสาวเท้าออกไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าซ่างกวนจิ่นซิ่ว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วเดิมทีก็ตัวเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อนางก้มหน้าก้มตา ยิ่งดูตัวเล็กลงไปกว่าเดิมอีก อีกฝ่ายราวกับเด็กที่เพิ่งกระทำความผิดมาอย่างไรอย่างนั้น
ฟ่านหยวนซีเชยคางนางขึ้นแล้วมองเข้าไปในดวงตาที่กำลังสั่นไหว “เจ้าอยากไปอยู่ตำหนักเย็นจริงหรือ?”
“เพคะ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองฮ่องเต้ผู้โหดเหี้ยมอย่างดื้อรั้น
ฟ่านหยวนซีสบกับดวงตาคู่นั้น พลันรู้สึกว่าภายในใจมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว
เขาย่อตัวลงและอุ้มซ่างกวนจิ่นซิ่วขึ้น
ฮองเฮาน้อยตกตะลึง มองฟ่านหยวนซีที่กำลังอุ้มนางในท่าเจ้าสาว นี่เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดกับบุรุษถึงเพียงนี้ หญิงสาวตื่นตระหนก เอ่ยอย่างตะกุกตะกักด้วยใบหน้าร้อนผ่าว “ฝ่า… ฝ่าบาท ทำอะไรเพคะ?”
“ส่งเจ้าไปตำหนักเย็น” ฟ่านหยวนซีเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้า… ข้าไปเองได้เพคะ”
“ข้าอยากไปส่งฮองเฮาด้วยตนเองมิได้หรือ?”
“ทางนี้ไม่ใช่ทางไปตำหนักเย็นนะเพคะ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเพิ่งรู้ตัวว่านางหลงกลเขาแล้ว
“ทั่วทั้งวังหลังของข้ามีเจ้าเป็นสตรีเพียงผู้เดียว ตำหนักเย็นก่อนหน้านี้จะมีประโยชน์อะไร? ในเมื่อไม่มีประโยชน์ ที่ใดล้วนเป็นตำหนักเย็นได้ทั้งสิ้น เช่นนั้นนับแต่นี้ไปตำหนักจิ่นซิ่วก็คือตำหนักเย็นแล้ว”
ข้ารับใช้ในวังเห็นฮ่องเต้อุ้มฮองเฮาเดินผ่านไป แต่ละคนล้วนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ทั้งหมดล้วนคุกเข่าลงพร้อมก้มหน้าต่ำ
“จะทำอย่างไรดีพี่หญิงหลีเซียง หรือพระนางฮองเฮาจะไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจริง ๆ รึ? ตำหนักจิ่นซิ่วจะกลายเป็นตำหนักเย็นแล้วหรือนี่?” ข้ารับใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังเอ่ยอย่างกระวนกระวาย
หลีเซียงมองไปข้างหน้า คอยตามไปไม่ไกลไม่ใกล้ นางลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “แต่ฝ่าบาทดูไม่เหมือนทรงพิโรธเลยสักนิด”
หลังจากกลับมายังตำหนักจิ่นซิ่ว ซ่างกวนจิ่นซิ่วคิดว่าตนเองคงถูกกักบริเวณแล้ว แต่ปรากฏว่าตนคิดผิด
“ท่าน… ท่านทำอะไร?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วคว้าม่านโปร่งที่เตียงเอาไว้
ฟ่านหยวนซีกระซิบข้างหูฮองเฮาน้อย “จะทำบางอย่างให้เจ้ายุ่งสักหน่อย ฮองเฮาจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านและหาเรื่องให้ข้าต้องอับอาย”
หลีเซียงที่รีบร้อนตามมาเห็นดังนี้จึงรีบสั่งให้ข้ารับใช้คนอื่น ๆ ออกไปก่อนและปิดประตูพระตำหนักทันที
เสียงผะแผ่วที่ดังออกมาจากในห้องทำเอาเหล่าข้ารับใช้ประจำตำหนักหน้าแดงเรื่อขึ้นมา
“พี่หญิงหลีเซียง ในความโชคร้าย พระนางฮองเฮาของพวกเราก็ยังมีความโชคดีอยู่กระมัง?”
“ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัด” หลีเซียงกังวลใจ “อย่างไรเสียเรื่องครั้งนี้ก็ค่อนข้างยุ่งยากทีเดียว”
ทว่ายังมีหนึ่งสิ่งที่น่ายินดี คือฮ่องเต้ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยแตะต้องสตรี นึกไม่ถึงว่าจะแตะต้องพระนางฮองเฮาแล้ว หากฮองเฮาเกิดท้องขึ้นมาและภายหน้ามีองค์ชายข้างกาย ต่อไปจะกล่าวอะไรย่อมมีความมั่นใจและมีน้ำหนัก
เสียงในพระตำหนักคงอยู่ถึงสองชั่วยาม
ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านนอกเปลี่ยนจากใบหน้าแดงเรื่อในตอนแรกมาเป็นความเฉยชา อย่างไรเสียวันนี้ข้างนอกก็อากาศหนาวยิ่ง หิมะดูจะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานพวกเขาคงถูกแช่แข็งเป็นมนุษย์หิมะแน่ ๆ
ทว่าคนทั้งหมดไม่อาจจากไปได้
เพราะไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะต้องการคนปรนนิบัติยามใด พวกเขาจำต้องเฝ้าอยู่ด้านนอก มิอาจฝ่าฝืนกฎเกณฑ์
ฟางกงกงผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้ฟ่านหยวนซียืนหัวเราะอยู่ตรงนั้น ข้างกายเขามีขันทีผู้หนึ่งคอยจดบันทึกทุกอย่างลงไป
ฮ่องเต้และฮองเฮาร่วมรักกันกี่ครั้ง ระหว่างที่ร่วมรักพูดคุยอะไรกันบ้าง ล้วนต้องจดบันทึกเอาไว้ทั้งหมด
ภายในพระตำหนัก ซ่างกวนจิ่นซิ่วนอนหนุนอยู่บนแขนของฟ่านหยวนซี คิ้วขมวดมุ่นหลับสนิท ราวกับถูกรังแกเสียจนหมดแรง
ฟ่านหยวนซีลูบแก้มนางเบา ๆ ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้ดึงแขนออก ถึงแม้ฮ่องเต้จะมีฎีกามากมายให้ต้องจัดการ ไม่ควรทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ทว่ายามนี้ เขาเพียงต้องการอยู่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
ที่แท้…
อยู่เงียบ ๆ ไม่ได้หมายความว่าอยู่เพียงลำพัง
เมื่อซ่างกวนจิ่นซิ่วตื่นขึ้นมา นางก็รู้สึกปวดระบมไปทั้งตัว
ที่ใดในร่างกายล้วนปวดร้าว
ฮองเฮาน้อยแทบจะร้องไห้ออกมาเพราะความเจ็บ
“พระนางฮองเฮา…” หลีเซียงเปิดประตูเดินเข้ามา “ท่านตื่นแล้ว บ่าวจะให้พวกเขานำน้ำอุ่นเข้ามาเพคะ”
ดวงตาของซ่างกวนจิ่นซิ่วแดงก่ำ
หลีเซียงเห็นท่าทีที่ผิดปกติจึงเอ่ยอย่างเป็นกังวล “พระนางไม่สบายที่ใดหรือเพคะ? เชิญท่านหมอหลวงมาดูดีหรือไม่?”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วสั่นศีรษะอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้อง”
นางจะกล้าเปิดปากเอ่ยกับท่านหมอหลวงได้อย่างไร?
“ฝ่าบาทโกรธมากจริง ๆ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย “ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ดุถึงเพียงนี้”
หลีเซียง “…”
ฮองเฮา ท่านไม่เห็นบ่าวเป็นคนนอกจริง ๆ ด้วย
แต่ถ้อยคำพรรค์นี้… บ่าวไม่กล้าฟังนะเพคะ!
“หลีเซียง หากฝ่าบาทไม่จับข้าขังตำหนักเย็น ภายหน้าเขาคงไม่ลงโทษข้าแล้วกระมัง?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองหลีเซียง
หลีเซียง “…”
ฮองเฮา นี่ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นความรักต่างหากเพคะ
ภายในใจนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมาจึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ฮองเฮา ตอนที่ท่านออกเรือนมา ครอบครัวท่านได้สอนวิธีปรนนิบัติสามีหรือไม่เพคะ?”
“ปรนนิบัติสามีหรือ? ท่านแม่บอกว่าข้าต้องแต่งกับฮ่องเต้ ข้างกายเขามีข้ารับใช้ในวังหลวงคอยปรนนิบัติรับใช้ ไม่ต้องให้ข้าคอยปรนนิบัติ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย “นางกล่าวว่าข้าไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่ฟังคำพูดสามีก็ใช้ได้แล้ว”
หลีเซียงเอ่ยด้วยท่าทีเขินอาย “เมื่อครู่ที่พระนางเพิ่งทำคือการปรนนิบัติสามีเพคะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“คือ… คือเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา ไม่ใช่ว่าฝ่าบาททำเพราะทรงพิโรธเพคะ”
“เช่นนั้น ภายหน้าข้าต้องทำเรื่องเช่นนี้บ่อยขึ้นหรือ?”
“เอ่อ… ควรเป็นเช่นนั้นเพคะ” อย่างไรเสียฝ่าบาทก็มีพระนางฮองเฮาเพียงผู้เดียว ไม่ได้มีสนมคนอื่น ๆ นอกจากพระนางฮองเฮาแล้ว คงไม่มีคนโปรดคนใหม่เป็นการชั่วคราว
“เช่นนั้น ข้าไม่น่าสงสารตายหรือ?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วยื่นแขนนางออกไป “เจ้าดูเขาสิ เขากัดแขนข้า…”
หลีเซียงมองรอยจ้ำเล็ก ๆ เหล่านั้น แล้วก็ไม่มีอะไรจะกล่าวอีก
นางคิดว่าจะหานางกำนัลสักคนมาอบรมวิธีการเป็นภรรยาให้ฮองเฮา! ไม่เช่นนั้นนางที่เป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ผู้หนึ่งคงเขินอายจนสิ้นใจเป็นแน่
“พระนางฮองเฮา บ่าวจะช่วยพยุงท่านลุกก่อนนะเพคะ หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปอาบน้ำแล้วมาใส่ยา” หลีเซียงหว่านล้อม
ซ่างกวนจิ่นซิ่วพยักหน้าขณะที่ห่อตัวด้วยผ้าห่ม
ไม่นานนัก น้ำอุ่นก็ถูกนำเข้ามา ซ่างกวนจิ่นซิ่วนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำ สีหน้านางจึงผ่อนคลายลงหลายส่วน
หลีเซียงกำลังจะเติมน้ำ เมื่อหันกลับมาก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง นางตกใจเสียจนแทบทำน้ำในมือกระฉอกออกจากกา
“ถวาย…”
ยังไม่ทันได้กล่าวจบ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามก็ยกมือส่งสัญญาณให้นางหยุด หลีเซียงวางกาน้ำในมือลงเพื่อทำความเคารพ จากนั้นฟ่านหยวนซีก็หลบออกไป