สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 741 ไม่เรียนได้หรือไม่

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 741 ไม่เรียนได้หรือไม่

บทที่ 741 ไม่เรียนได้หรือไม่

วันถัดมา หลีเซียงและข้ารับใช้คนอื่น ๆ รออยู่หน้าพระตำหนักหย่างซิน

ฟางกงกงรอให้ฟ่านหย่วนซีไปยังท้องพระโรง ขณะเดินผ่านหลีเซียงจึงเอ่ยว่า “ฮองเฮายังพักผ่อนอยู่ แม่นางหลีเซียงค่อยเข้าไปภายหลังเถอะ”

หลีเซียงลอบเหลือบมองแผ่นหลังของฮ่องต้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบสนองใด ๆ ก็ทราบทันทีว่าคำสั่งดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากเขาแล้ว หลีเซียงให้ข้ารับใช้คนอื่น ๆ กลับไปยังตำหนักจิ่นซิ่วเพื่อเตรียมน้ำอุ่นกับอาหาร ส่วนตัวนางรออยู่ที่นี่

ซ่างกวนจิ่นซิ่วหลับไปไม่นานนัก เมื่อเตาผิงไฟข้างกายนางหายไป ฮองเฮาน้อยก็รู้สึกหนาวขึ้นมา ไม่อาจข่มตาหลับต่อไปได้

นางลุกขึ้นนั่ง มองสภาพแวดล้อมในตำหนักที่ไม่คุ้นเคยจึงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้

หลีเซียงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในจึงขยับเข้าไปใกล้ประตูแล้วเอ่ยว่า “พระนางฮองเฮา บ่าวหลีเซียงเพคะ ตอนนี้ฮองเฮาตื่นหรือยังเพคะ? หากตื่นแล้ว บ่าวจะเข้าไปแล้วนะเพคะ”

“เข้ามา”

หลีเซียงได้ยินเสียงขานรับจึงเดินเข้ามา

ซ่างกวนจิ่นซิ่วจัดเสื้อผ้าของนางให้เรียบร้อย สวมใส่รองเท้า แล้วจึงเอ่ยกับหลีเซียง “ข้าไม่รู้วิธีจัดผม เจ้ามาก็ดีแล้ว”

หลีเซียงเห็นซ่างกวนจิ่นซิ่วแต่งกายเรียบร้อยเป็นพิเศษจึงลอบมองที่เตียง นอกจากผ้าห่มที่ยับยู่เล็กน้อยแล้ว ทุกอย่างล้วนอยู่ในสภาพปกติ

นางเงยหน้าขึ้นมองฮองเฮา

บนคอไร้รอยจุมพิตใด ๆ

“พระนางฮองเฮา…” หลีเซียงลดเสียงลงแล้วเอ่ยถาม “ต้องให้บ่าวไปเอายาจากห้องเครื่องหรือไม่เพคะ?”

“ยาอะไร?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วไม่เข้าใจความนัย

“ยาที่ใช้ครั้งก่อนอย่างไรเล่าเพคะ” หลีเซียงเขินอายเล็กน้อย ทว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเจอกับสถานการณ์เช่นนี้จึงกล่าวได้คล่องแคล่วกว่าครั้งก่อนมาก “พระนางบอบบาง หากรู้สึกไม่สบายตัวเพียงแค่รับสั่งบ่าว บ่าวจะไปนำมาเพคะ”

“ไม่…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วรู้แล้วว่าหลีเซียงกำลังเข้าใจผิดจึงเอ่ยอย่างเอียงอาย “เจ้าคิดไปถึงที่ใดกัน?”

“เมื่อคืนพระนางฮองเฮาไม่ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับฝ่าบาทหรือเพคะ?” หลีเซียงประหลาดใจ

กล่าวกันตามหลักแล้ว ฝ่าบาทอยู่ในวัยกำลังพลุ่งพล่าน ช่วงที่ผ่านมานี้ไม่ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับฮองเฮา ยากนักกว่าจะได้หลับนอนด้วยกันเสียที เมื่อวานนี้ทั้งสองคนได้นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ฝ่าบาทไม่ควรมีปฏิกิริยาเช่นนี้

หรือว่า…

ฝ่าบาทไม่พอพระทัยฮองเฮา?

เมื่อนึกถึงการแสดงออกของซ่างกวนจิ่นซิ่วคราก่อน หลีเซียงจึงรู้สึกว่าในที่สุดตนก็หาสาเหตุพบแล้ว

เมื่อเทียบกับสตรีเหล่านั้นที่ได้รับการ ‘อบรม’ มาเป็นอย่างดี พระนางฮองเฮากลับไม่เข้าใจอะไรแบบนี้เลย เป็นไปได้ว่าคนที่มีสถานะเช่นฝ่าบาทจะรู้สึกว่าจืดชืด ผ่านไปสักพัก เขาอาจจะรับสนมเข้าวังจริง ๆ

“ไม่” ซ่างกวนจิ่นซิ่วหาวหวอด “ข้าอยากกลับไปที่ตำหนักจิ่นซิ่ว ที่นี่นอนไม่สบายนัก ไปเถอะ ข้าต้องรีบกลับไปนอนพักผ่อน”

ซ่างกวนจิ่นซิ่วกลับไปยังตำหนักแล้ว

เพียงแต่นางไม่ได้นอนตามที่ใจต้องการ

ประตูพระตำหนักปิดไว้อย่างแน่นหนา นอกจากซ่างกวนจิ่นซิ่วและนางกำนัลใหญ่หลีเซียงแล้ว ยังมีมามาอาวุโสอายุราวสี่สิบอีกผู้หนึ่ง

มามาอาวุโสหัวเราะ อีกทั้งยังกล่าวอย่างนุ่มนวล

เพียงแต่ สิ่งที่นางกล่าวทำให้ซ่างกวนจิ่นซิ่วรู้สึกอึดอัดยิ่ง ราวกับถูกมนตร์สะกดให้ไม่อาจขยับตัว นี่ช่างน่าอับอายเกินไปแล้ว

“ฮองเฮาเอวอ่อนบางยิ่ง คิดว่าคงเชี่ยวชาญด้านการเต้นรำกระมัง?”

“กล่าวไม่ได้ว่าเชี่ยวชาญ ข้าเพียงแค่เคยร่ำเรียนมาไม่กี่ปี”

“เช่นนั้นก็ดี สตรีเช่นฮองเฮา บุรุษใดไม่ชมชอบบ้าง? เพียงแต่หากพระนางฮองเฮาผ่อนคลายยิ่งกว่านี้ และร่ำเรียนทักษะในการปรนนิบัติสามี ฝ่าบาทต้องพึงใจท่านเพียงผู้เดียวเป็นแน่…”

ในมือของนางมีหุ่นรูปคนสองตัว หุ่นทั้งสองตัวถูกทำขึ้นมาอย่างประณีตเป็นพิเศษ แขนขา ศีรษะ และเอวสามารถขยับได้จึงสามารถปรับเปลี่ยนท่าทางได้หลากหลาย

“ท่านี้เรียกว่า…” มามาอาวุโสอธิบายโดยละเอียด

หลีเซียงไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปจึงเอ่ยกับมามาอาวุโสและซ่างกวนจิ่นซิ่ว “บ่าวจะไปชงชามานะเพคะ”

อันที่จริงนางเพียงแค่อยากหลบเลี่ยงไปสักครู่จะได้ไม่ต้องหารอยแยกบนพื้นมุดลงไป

มามาอาวุโสเห็นซ่างกวนจิ่นซิ่วหน้าแดงก่ำราวกับผลผิงกั่วสุกก็เอ่ยพลางหัวเราะ “ไม่เช่นนั้น วันนี้สิ้นสุดเพียงตรงนี้ พรุ่งนี้บ่าวจะสอนเรื่องอื่น หุ่นเหล่านี้ให้ฮองเฮาเก็บไว้ฝึกฝนนะเพคะ”

ซ่างกวนจิ่นซิ่ว “…”

ฝึกฝนอะไร?

ไม่ นางไม่ต้องการ!

มามาอาวุโสเดินเข้ามากระซิบเสียงเบา “พรุ่งนี้บ่าวจะออกไปซื้อของบางอย่าง ถึงตอนนั้นจะหาบทละครดี ๆ มาให้ฮองเฮาสักสองสามเล่ม ท่านจะได้เอาไว้อ่านคั่นเวลา”

“บทละคร? ดียิ่ง!” ซ่างกวนจิ่นซิ่วพยักหน้าซ้ำ ๆ “เช่นนั้นท่านอย่าได้ลืมเล่า”

มามาอาวุโสยิ้มทิ้งท้ายอย่างมีเลศนัยแล้วออกไป

ซ่างกวนจิ่นซิ่วคิดว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายช่างแปลกพิกล ทว่าไม่ได้เก็บเอามาคิดใส่ใจ

ในที่สุดมามาอาวุโสก็ไปเสียที

นางนอนแผ่ลงบนเตียง ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

น่ากลัวเกินไปแล้ว ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

ที่แท้การเป็นภรรยาผู้หนึ่งยากลำบากถึงเพียงนี้เชียวรึ

มิน่าเล่าเหตุใดท่านพ่อถึงได้กล่าวว่าท่านแม่ลำบากนัก

นางต้องลำบากจริง ๆ!

หญิงสาวนอนอยู่บนเตียงแล้วผล็อยหลับไปเช่นนั้น

นางถูกความเจ็บปวดปลุกให้ตื่นขึ้น

เมื่อลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความงุนงงก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้หนึ่งในระยะประชิด ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้ตระหนักว่าฟ่านหยวนซีมาที่นี่

“ฝ่าบาท…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วลุกพรวดพราดขึ้น

ฮองเฮาน้อยยังคงสับสน เมื่อลุกขึ้นมาเร็วเช่นนี้ สมองยิ่งมึนงงกว่าเดิมแล้ว

ฟ่านหยวนซีโบกหุ่นตัวเล็กทั้งสองไปมาตรงหน้าหญิงสาว

“นี่คืออะไร?”

ซ่างกวนจิ่นซิ่ว “…”

คืออะไรน่ะหรือ

เหตุใดของสิ่งนี้ยังอยู่ตรงนี้เล่า?!

จริงสิ ก่อนที่มามาอาวุโสจะจากไป อีกฝ่ายให้นางเอาไว้ฝึกฝนนี่นา

“นี่คือ… นี่คือของตกแต่งเพคะ!”

ฟ่านหยวนซีวางหุ่นตัวเล็กทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน เขาแตะลงบนศีรษะพวกมัน “ที่แท้เป็นเช่นนี้”

ซ่างกวนจิ่นซิ่วมักจะรู้สึกว่าฟ่านหยวนซีไม่ได้หลอกง่ายเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเขายามนี้เรียบเฉย แต่นางกลับรู้สึกว่าเขามองออกทะลุปรุโปร่ง

หลีเซียงเอ๋ยหลีเซียง เจ้าทำให้นายของเจ้าขายหน้าแล้ว

“ฝ่าบาทมาได้อย่างไรเพคะ?”

“หลังหารือช่วงเช้า เดิมทีเราสั่งให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารเช้าเพิ่มเพื่อทานกับเจ้า แต่เจ้ากลับหนีมาแล้ว เราผู้เดียวไม่อาจทานมากเพียงนั้นจึงได้มาหา”

ระหว่างหารือช่วงเช้า เหล่าขุนนางนำโดยเซวียนอ๋องรบเร้าให้เขาถอดถอนฮองเฮาอีกครั้ง ถึงแม้ไม่อาจถอดถอนนางได้ อย่างน้อยก็ต้องรับสนมเข้าวังหลัง ราชวงศ์จะได้ผลิดอกออกผล

ในเมื่อพวกเขาชมชอบการผลิดอกออกผลเพียงนี้ ฮ่องเต้จึงพระราชทานสาวงามให้ขุนนางทุกคนที่ยื่นฎีกาแต่ละคนถึงสองนาง เซวียนอ๋องก็ได้รับพระราชทานเพิ่มสองคนเช่นกัน จากนั้นเขาจึงสั่งให้ฉีเซียวจัดคนจากหน่วยลับไปเฝ้าหน้าประตูขุนนางเหล่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละคนได้ดับเทียนในห้องเจ้าสาว อีกทั้งยังต้องได้รับหยดฝนหยาดน้ำค้างอย่างเท่าเทียม ไม่อาจละเลยสาวงามที่เขาประทานให้ได้เป็นอันขาด

เมื่อนึกถึงสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของขุนนางเหล่านั้นแล้ว ฟ่านหยวนซีรู้สึกราวกับได้ระบายโทสะ

ในเมื่อพวกเขาห่วงใยเรื่องผลิดอกออกผลถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาผลิดอกออกผลให้มากขึ้นหน่อย ครานี้ปีหน้าคงมีขุนนางรุ่นสองเกิดขึ้นมากมายแล้ว เมื่อคิดแล้วเจ้าตัวพลันรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก

เขาที่เป็นฮ่องเต้ผู้นี้ห่วงใยขุนนางของตนไม่น้อย! คิดว่าไม่นานคงรอดพ้นจากชื่อเสียง ‘ทรราช’ แล้ว

“ฝ่าบาท… ฝ่าบาท…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเห็นฟ่านหยวนซีเหม่อลอย จึงมีสีหน้าประหลาดใจ

ที่แท้เขาก็เหม่อลอยเป็นเช่นกัน

“อืม”

“ไม่ได้ตรัสว่าจะเสวยมื้อเช้าหรือเพคะ?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ยถาม “ข้าหิวแล้ว เราจะเสวยกันเลยได้หรือไม่?”

“เอาสิ” ฟ่านหยวนซีลุกขึ้นยืน

ช่วงนี้ฮ่องเต้งานรัดตัว หลังจากเสวยมื้อเช้าเสร็จก็จากไปแล้ว

กว่าซ่างกวนจิ่นซิ่วจะทานอิ่มก็แทบหมดเรี่ยวแรงแล้ว

หลีเซียงมองพระนางฮองเฮาด้วยสายตาซับซ้อน

“มีอะไรหรือ?” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ยถาม

“ฮองเฮา วันนี้ท่านเสวยมากไปนะเพคะ” หลีเซียงเอ่ย “หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ บ่าวจะพาท่านไปเดินย่อยจะได้ไม่ท้องอืดจนไม่สบายท้องภายหลัง”

คำพูดของหลีเซียงกล่าวเป็นนัย ๆ ว่า ฮองเฮาไม่ได้ทานมากไปหน่อย แต่ทานมากเป็นพิเศษต่างหาก แค่อาหารที่ฮองเฮาทานเข้าไปก็มากกว่าของฝ่าบาทเป็นเท่าตัวแล้ว อย่างไรก็ตามดูเหมือนฝ่าบาทจะชอบดูนางทานอยู่มากทีเดียว

หลีเซียงเป็นห่วงสุขภาพของฮองเฮาน้อย ทว่าเมื่อเห็นฝ่าบาทมองฮองเฮาทานอย่างตั้งใจเพียงนั้น นางจึงไม่กล้าขัด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฝ่าบาทไม่อยู่ที่นี่แล้ว หลีเซียงยังคงต้องเอ่ยเตือนพระนางฮองเฮา เพราะไม่ว่าอาหารจะโอชะเพียงใดก็ไม่อาจทานมากเช่นนี้ได้

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท