สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 742 การกลับมาหลังจากผ่านไปหลายปี

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 742 การกลับมาหลังจากผ่านไปหลายปี

บทที่ 742 การกลับมาหลังจากผ่านไปหลายปี

วังหลวง

หิมะละลายไปแล้ว ทิ้งน้ำสกปรกไว้บนพื้นมากมาย คนในวังปัดกวาดหิมะจนเสียงน้ำกระฉอกดังไปทุกหนแห่ง

ขันทีอาวุโสตำหนิขันทีน้อยที่ทำตัวเกียจคร้าน ภายใต้ชายคามีก้อนน้ำแข็งเกาะอยู่มากมาย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำความสะอาดมันก่อนที่จะทำส่วนอื่น ยามนี้ขันทีน้อยได้แต่เชื่อฟังคำสั่ง

ลู่อี้ออกมาจากวัง เห็นฉีเซียวที่ถืออาวุธปรากฏตัวขึ้น

ฝ่ายหลังถอดกระบี่ออกจากเอวส่งให้ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นลู่อี้จึงพยักหน้าให้น้อย ๆ

“ข้าจะรอท่านอยู่ที่จวน วันนี้มาทานมื้อคำที่บ้านข้าเถอะ!” ลู่อี้เอ่ย

“ได้”

ทั้งสองคนเดินผ่านกันไป

ลู่อี้ตรงดิ่งกลับบ้าน เอ่ยกำชับกับจือเชียน “อย่างอื่นไม่ต้องเอามา นำมาเพียงชุดขุนนางและตราประทับ กับชุดสวมทั่วไปอีกสองสามชุดพอ”

“นำชุดอะไรไปหรือ?” มู่ซืออวี่ที่กลับเข้ามาจากข้างนอกเอ่ยถาม

เมื่อลู่อี้เห็นนาง เขาก็โบกมือส่งสัญญาณให้จือเชียนถอยออกไป

มู่ซืออวี่มองเขา “ท่านต้องออกไปข้างนอกหรือ? ครานี้ไปที่ใด ไปกี่วันกัน?”

“ครั้งนี้ต้องออกไปนานหน่อย นานเท่าใดไม่อาจแน่ใจได้” ลู่อี้ตอบ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”

“มีเรื่องบางอย่างจริง ๆ”

“เช่นนั้นท่านก็บอกข้ามา!”

“เจ้ารู้จักเมืองถงหยางหรือไม่?” ลู่อี้เอ่ย “ที่นั่นมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ฉีเซียวและข้าต้องไปดู หากมีปัญหาอะไรจะได้จัดการได้ทันท่วงที”

“ถึงขั้นที่ต้องส่งพวกท่าน ขุนนางขั้นสูงหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ไป เมืองถงหยางนี้คงไม่ธรรมดาทีเดียว!”

“โจวเสียงเฟยขุนนางท้องถิ่นของที่นั่นควบคุมกองทัพทหารกว่าแสนนาย อีกทั้งยังมีอีกสองแสนครัวเรือนอยู่ภายใต้ความดูแล เจ้าคิดว่าสำคัญหรือไม่?” ลู่อี้เอ่ย “หลายปีมานี้เมืองถงหยางสงบสุขมาโดยตลอด โจวเสียงเฟยเองก็จัดการได้เป็นอย่างดี แต่ไม่นานมานี้เราได้รับข่าวมาว่าที่นั่นมีบางอย่างผิดปกติ”

“ข้ารู้ว่าท่านยุ่ง เรื่องในราชสำนักข้าไม่อาจช่วยแบ่งเบาได้ ทำได้เพียงช่วยท่านเรื่องอื่น เอาไว้คืนนี้ข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ท่าน”

“เจ้าไม่ต้องลำบากหรอก ให้คนครัวทำอาหารหลาย ๆ อย่างก็พอ ข้าเชิญใต้เท้าฉีมาแล้ว เขาจะมาปรึกษาหารือกับข้า”

“มีใต้เท้าฉีเพิ่มมาอีกคนแล้วอย่างไร? อย่างมากข้าก็เพียงแค่ทำเพิ่มขึ้นอีกหน่อย อย่างไรเสียเขาก็เป็นสหายของเรา ข้าเพียงแค่ต้องทำอาหารไม่กี่อย่างรับรองสหายเท่านั้น ท่านไปเที่ยวนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้กลับมา ข้าจะทำอาหารรสเลิศสักสองสามจานให้ท่าน สามีอยู่ข้างนอกจะได้ไม่สุขจนลืมคิดถึง หลงลืมภรรยาและลูกที่บ้านไปสิ้น”

“ไม่มีทาง ข้าชอบอาหารที่ภรรยาข้าทำที่สุด เพียงแต่ใต้เท้าฉีพลอยได้มีบุญปากเพราะข้าแล้ว”

มู่ซืออวี่ทำอาหารหลายอย่างด้วยตนเอง สั่งให้บ่าวรับใช้รับรองแขกให้ดี ขณะที่นางกลับไปที่ห้องและสั่งให้สาวใช้ทั้งสองเก็บสัมภาระ

“ฮูหยิน เหตุใดพวกเราจึงต้องเก็บของเล่าเจ้าคะ?”

“นายท่านต้องออกว่าราชการที่เมืองถงหยาง ระหว่างนี้ข้าอยากกลับไปหามารดาและซูอวี้ที่เมืองฮู่เป่ย หลายปีมานี้ไม่ได้กลับไป หากไม่ไปตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าภายหน้าจะมีโอกาสเมื่อไหร่ ไม่สู้ใช้โอกาสนี้ที่สามีไม่อยู่ กลับไปดูที่บ้านเก่าเสียหน่อยดีกว่า ไม่เช่นนั้น หากข้ารั้งอยู่ที่นี่คงเอาแต่คิดฟุ้งซ่านทุกวี่วัน มากเรื่องมากราว!”

“ก็จริงดังว่านะเจ้าคะ”

มู่ซืออวี่ตั้งใจจะพาลูกทั้งสามกลับไปด้วย ส่วนลู่ฉาวอวี่ เขาเป็นขุนนางสำนักตรวจการ ถึงแม้นางอยากจะพาเขาไปด้วยก็ไม่อาจพาไปได้

หลังจากลู่อี้ปรึกษาหารือกับฉีเซียวแล้ว เมื่อกลับมาก็เห็นห่อสัมภาระน้อยใหญ่จึงได้รู้ความตั้งใจของมู่ซืออวี่

เขาไม่ได้ขัดขวาง เพียงแค่บอกให้นำผู้ติดตามไปมากหน่อย

เมืองฮู่เป่ยและเมืองถงหยางผ่านเส้นทางเดียวกัน ลู่อี้และฉีเซียวไปส่งพวกพวกนางที่เมืองฮู่เป่ยได้ จากนั้นค่อยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกอีกครึ่งเดือน ไม่นานก็จะถึงเมืองถงหยาง

หลายวันต่อมา ทุกคนพร้อมออกเดินทาง

ลู่ฉาวอวี่และลู่เซวียนยืนอยู่หน้าประตูเมือง ใบหน้าน้อยใหญ่ทั้งสามแสดงสีหน้าเช่นเดียวกัน นั่นก็คือขุ่นเคืองใจ

ลู่ฉาวอวี่และลู่เซวียนเองก็อยากกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ส่วนซูจือหลิ่วเพียงแค่อยากออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองหลวง ก่อนแต่งงานนางเป็นคนที่ชอบความครึกครื้น บัดนี้หลังแต่งงานนางต้องเป็นสตรีสูงศักดิ์ อีกทั้งคลอดลูกแล้วก็ยังต้องเป็นมารดาที่สุขุม อีกไม่นานนางคงขาดใจตายแล้ว

“เจ้าอย่าได้มองข้าเช่นนั้น ถึงแม้ข้าจะยินดีพาเจ้าไปที่นั่น แต่นายท่านรองบ้านเจ้าย่อมไม่ยินดีด้วย” มู่ซืออวี่บุ้ยใบ้ไปทางลู่เซวียน แล้วเอ่ยกับซูจือหลิ่ว “นอกจากนี้ เด็ก ๆ ยังเล็ก ไม่อาจขาดผู้ใหญ่ดูแล นับประสาอะไรกับจะเดินทางไกลเล่า”

“ข้ามักจะได้ยินพวกท่านเอ่ยถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่บ้านเกิด ตอนนั้นใบหน้าพวกท่านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ข้าอยากไปดูลานหรรษาในตำนานกับตาตัวเองจริง ๆ นั่นเป็นถึงที่ที่มีเอกลักษณ์ มีสิ่งของที่แม้แต่เมืองหลวงก็ยังไม่มี”

มู่ซืออวี่สงสัยว่าประโยคสุดท้ายน่าจะเป็นสิ่งที่ซูจือหลิ่วต้องการจริง ๆ

หากอยากได้สิ่งที่มีเอกลักษณ์ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายดายหรือ? ขอเพียงนางเต็มใจ จะสร้างอีกหนึ่งที่ที่เมืองหลวงก็ย่อมทำได้

เพียงแต่งานที่ใหญ่โตเพียงนี้มีที่เดียวก็พอแล้ว มีเพิ่มมาอีกหนึ่งที่คงไม่พิเศษอะไร ของที่มีน้อยจึงมีค่า ดังนั้นปล่อยให้ความเป็นเอกลักษณ์อยู่ในที่ที่พวกนางรักต่อไปเถิด ปล่อยให้ที่นั่นเป็นกลายเป็นเทพนิยายต่อไปเช่นนี้แหละดีแล้ว

“เมืองฮู่เป่ยอยู่ไกลเกินไป ลูก ๆ ยังเล็ก พวกเราไปไม่สะดวก” ลู่เซวียนกอดซูจือหลิ่ว “รอร่างกายเจ้าแข็งแรงกว่านี้ ลูก ๆ เดินได้แล้ว ข้าจะทูลขอวันหยุดยาวกับฝ่าบาท พาพวกเจ้าไปเยี่ยมบ้านเดิม”

“ก็ได้ ข้าฟังท่าน”

ฉีเซียวพาคนไปเปิดทางข้างหน้า

ลู่อี้พาภรรยาและลูก ๆ รวมถึงผู้คุ้มกันอีกหลายสิบคนตามมาด้านหลัง

สามเดือนต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองฮู่เป่ย

ลู่อี้มองประตูเมืองที่คุ้นเคยด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

ตอนนั้นเขาอยู่ที่นี่ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวไปทีละเล็กทีละน้อย ตั้งแต่เป็นอาลักษณ์เล็ก ๆ จนได้เป็นอัครมหาเสนาบดีอย่างในตอนนี้ ความยากลำบากระหว่างทางมีเพียงตนเท่านั้นที่ทราบดี

เขาวางแผนการมามากน้อยเพียงใด ฆ่าคนที่คิดทำร้ายเขาไปมากน้อยเพียงใด จึงได้มาถึงจุดที่เป็นอยู่…

“ฮูหยิน ข้าเข้าไปในเมืองไม่ได้ เจ้าก็รู้ว่าภารกิจครั้งนี้ของข้าเป็นความลับ ดังนั้นไม่ว่าข้าหรือใต้เท้าฉีล้วนมีตัวปลอมอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกข้าออกจากเมืองหลวงมาแล้ว”

ความหมายอีกนัยหนึ่งคือ ‘ลู่อี้’ และ ‘ฉีเซียว’ ไม่เคยออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นพวกเขาไม่อาจถูกผู้อื่นพบเห็นได้ ไม่เช่นนั้นภารกิจลับในครั้งนี้จะถูกมองออกได้อย่างง่ายดาย และแผนการทั้งหมดอาจพังทลายลง

“ข้ารู้ ท่านและใต้เท้าฉีไปเถอะ! พวกเรามาถึงประตูเมืองแล้ว ท่านยังกลัวว่าข้าอยู่ที่นี่จะถูกเอาเปรียบอีกหรือ? สามี ท่านต้องรู้ว่าที่นี่คือถิ่นของข้าเช่นกัน ทุกหนทุกแห่งที่นี่มีคนของข้า ข้าอยู่ที่นี่ยังมีเสียงที่ดังกว่าท่านเสียอีก” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยท่าทีสบาย “แต่ท่านต้องระวังตัว ตอนนี้สกุลเราต้องการเงินมีเงิน ต้องการอำนาจมีอำนาจ หากท่านทำร้ายตนเอง ภรรยาที่ยังเยาว์วัยของท่านจะแต่งงานใหม่ ลูกสาวลูกชายของท่านจะเรียกผู้อื่นว่าพ่อ”

“สตรีผู้นี้ เหตุใดยิ่งอายุมากขึ้นเจ้าถึงยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้นเล่า?” ลู่อี้บีบจมูกนางเบา ๆ “เช่นนั้น เจ้าดูแลตนเองให้ดีเถิด รอข้าและใต้เท้าฉีจัดการเรื่องนี้แล้วจะมารับพวกเจ้า”

มู่ซืออวี่พยักหน้า

ลู่จื่ออวิ๋นส่งห่อสัมภาระห่อหนึ่งให้ลู่อี้ “ท่านพ่อ สิ่งนี้ข้าทำเอง ข้างในมีชุดเกราะอ่อนสีทอง ท่านสวมไว้บนร่างกายเถิด มันจะช่วยปกป้องท่าน”

“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ทักทายท่านยายและท่านตาจูแทนพ่อเจ้าด้วย” ลู่อี้เอ่ย “ข้าไปแล้ว”

“ท่านพ่อ รีบไปรีบมานะเจ้าคะ” ลู่จื่ออวิ๋นโบกมือให้

ลู่จื่อชิงยื่นหัวออกไปมองทางลู่อี้ด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านพ่อไปแล้ว ต่อไปหากท่านแม่จะตีข้า ย่อมไม่มีคนปกป้องอีก น่าเศร้าใจยิ่งนัก”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท