บทที่ 743 กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา
บทที่ 743 กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา
มู่ซืออวี่มองศีรษะเล็กที่อยู่ข้าง ๆ นางด้วยรอยยิ้ม
ลู่จื่อชิงสัมผัสได้ถึงความอันตรายจึงเงยหน้ามองมารดา ใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานดังเช่นยามปกติ
“ท่านแม่ ลูกยังไม่ได้พบท่านยายเลย ท่านยายอยู่ในเมืองหรือ? ลูกอดใจรอที่จะพบท่านยายไม่ไหวแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นลูบผมแกละของลู่จื่อชิงแล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “พวกเราไม่ได้บอกท่านยายล่วงหน้า ไม่รู้ว่านางจะประหลาดใจหรือไม่”
“ข้าหมายจะมอบความประหลาดใจให้พวกเขานี่แหละ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไปเถอะ พวกเราเข้าเมืองกัน”
บัดนี้เมืองฮู่เป่ยไม่ใช่เมืองรกร้างว่างเปล่าเช่นในตอนนั้นอีกแล้ว แต่ใหญ่โตกว่าเมืองข้างเคียงหลาย ๆ เมือง ในแง่ของเศรษฐกิจ หากเมืองหลวงเป็นอันดับหนึ่ง เมืองฮู่เป่ยก็เป็นอันดับสอง”
มู่ซืออวี่รู้ว่าหลายปีมานี้เมืองฮู่เป่ยเปลี่ยนไปมาก ทว่าไม่ได้เห็นด้วยสองตาของนางเอง ทำได้เพียงจินตนาการถึงความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น บัดนี้เมื่อนางเห็นด้วยตาของนางเองแล้ว นางยังตกตะลึงกับความมั่งคั่งรุ่งเรืองของที่นี่
“ฮูหยิน ที่นี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองหลวงเลยนะเจ้าคะ” ซางจือเอ่ย
มู่ซืออวี่กล่าว “ราษฎรที่นี่มีความสุขกว่าราษฎรในเมืองหลวงมาก ถึงแม้เมืองหลวงจะรุ่งเรือง แต่ก็มีขุนนางและผู้สูงศักดิ์มากมาย หากทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะไปชนขุนนางหรือญาติขุนนางเข้า ผู้คนจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างระแวดระวัง อย่างไรก็ตาม ที่นี่กลับแตกต่างออกไป เมืองฮู่เป่ยมีขุนนางไม่มาก แม้กระทั่งผู้กุมอำนาจที่แท้จริงก็มีน้อง ผู้คนจึงผ่อนคลายสบายอารมณ์ ความสุขของผู้คนที่นี่จึงมีมากกว่า”
“ฮูหยิน ข้าน้อยไปสอบถามมา ‘โรงหมอถงตั๋ว’ ย้ายที่ตั้ง ไม่อยู่ที่เดิมแล้วขอรับ”
“สอบถามที่อยู่ใหม่มาแล้วหรือยัง?”
“สอบถามมาแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
มู่ซืออวี่ได้ยินว่าที่ตั้งใหม่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อยจึงกลับขึ้นไปในรถม้า
คนกลุ่มหนึ่งมาถึง ‘โรงหมอถงตั๋ว’ แต่กลับพบว่าที่นั่นไม่มีคนแม้เพียงผู้เดียว
นางเดินเข้าไปไม่เห็นท่านหมอจู นับประสาอะไรกับถงซื่อ
ลูกศิษย์ที่คอยดูแลโรงหมอกำลังจัดเตรียมล่วมยาอยู่ที่นั่น สีหน้าดูกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ชาย” ซางจือกล่าวทัก “ท่านหมอของโรงหมอพวกท่านเล่า?”
“พวกท่านมาจากที่อื่นกระมัง?” คนงานผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “เกิดเรื่องกับอาจารย์พวกเราแล้ว หากพวกท่านต้องการมาตรวจโรคก็ไปที่อื่นเถอะ!”
“เกิดเรื่อง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านหมอของพวกเรารักษาคน ไม่ระวังจึงจัดยาผิด เดิมทีควรจัดยาสำหรับสตรี นึกไม่ถึงว่าจะจัดยาที่เป็นพิษให้ ฮูหยินผู้นั้นได้รับพิษตายแล้ว ตอนนี้ท่านอาจารย์ของพวกเราถูกขังอยู่ในที่ว่าการอำเภอ รอวันรับการไต่สวน”
“เช่นนั้นฮูหยินพวกท่านเล่า?”
“อาจารย์แม่ของพวกเรากลัดกลุ้มทุกวัน นางทนไม่ไหวจึงล้มป่วยนอนซมอยู่บนเตียง โรคภัยร้ายแรงอื่น ๆ รักษาไม่ได้ แต่โรคภัยของอาจารย์แม่รักษาได้ ดังนั้นหลังจากจัดเตรียมข้าวของแล้ว ข้าจะไปหาอาจารย์แม่ จะได้ช่วยรักษาท่านโดยเร็ว”
ซางจือเอ่ยอย่างกังวล “ฮูหยิน เดิมทีท่านจะมอบความประหลาดใจให้ฮูหยินผู้เฒ่า ตอนนี้ดูท่านางคงไม่อยู่ในอารมณ์ประหลาดใจแล้วนะเจ้าคะ”
“อาจารย์แม่พวกเจ้าอาศัยอยู่ที่ใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“พวกท่านเป็นผู้ใด? หากมาหาหมอ เช่นนั้นก็ไปที่อื่นเถอะ อาจารย์แม่ของพวกเรารักษาโรคไม่เป็น”
“ท่านอย่าได้เข้าใจผิด พวกเราไม่ได้มาสร้างปัญหา” ฉานอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านนี้คือลูกสาวของอาจารย์แม่พวกท่าน ลูกสาวแท้ ๆ ครานี้ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่านางจะมาหา เดิมทีอยากมอบความประหลาดใจให้นาง ตอนนี้พวกท่านบอกว่าเกิดเรื่องแล้ว ความประหลาดใจนี้ย่อมหายไป พวกเราเพียงแต่อยากไปหาฮูหยินผู้เฒ่าให้เร็วที่สุดเพื่อสอบถามที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้ชัดเจนเท่านั้น”
“ลูกสาวแท้ ๆ? จะเป็นไปได้อย่างไร? อาจารย์แม่พวกเรามีลูกสาวแท้ ๆ ผู้หนึ่ง แต่นางย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
“ข้าใช่ลูกสาวนางหรือไม่ เมื่อเจ้าพบอาจารย์แม่ พวกเจ้าก็จะรู้เอง เอาละ ท่านแม่ข้าอยู่ที่ใด? อย่าได้เสียเวลาไปกับการพิสูจน์ว่าข้าใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของท่านแม่หรือไม่เลย ข้าอยากพบนางประเดี๋ยวนี้”
คนเฝ้าร้านทั้งสองตกตะลึงกับรัศมีบารมีของมู่ซืออวี่
นอกจากนี้ หากเป็นยามปกติ อาจมีคนพยายามหาเหตุผลนานัปการเพื่อเข้าใกล้อาจารย์และอาจารย์แม่ของพวกเขา แต่ตอนนี้เกิดเรื่องกับอาจารย์ทั้งสองคน แม้กระทั่งคนไข้ก็ไม่มา นางไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเขา
“อาจารย์แม่… อาจารย์แม่…”
เมื่อคนเฝ้าร้านทั้งสองจัดเตรียมสมุนไพรเสร็จก็ถือสมุนไพรที่ต้องใช้ต้มยาไปเคาะประตูบานหนึ่ง
มู่ซืออวี่มองบ้านฝั่งตรงข้าม แล้วหันมามองบ้านตรงหน้านาง จากนั้นจึงเอ่ย “เหตุใดท่านแม่ข้าและท่านอาจูมาอยู่ที่นี่? ข้างหน้าคือสถานเลี้ยงเด็ก คงเสียงดังมากกระมัง”
สถานเลี้ยงเด็ก หรือเรียกอีกอย่างว่าสถานสงเคราะห์เด็ก
มู่ซืออวี่ไม่เคยหยุดสนับสนุนบ้านพักคนชราและสถานสงเคราะห์เด็ก ในเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรืองเช่นเมืองฮู่เป่ย ซึ่งเป็นบ้านเดิมของพวกนาง บ้านพักคนชราและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามีขนาดใหญ่โตมาก ไม่ได้ด้อยไปกว่าในเมืองหลวงเลย
“อาจารย์แม่ของพวกเรามีเมตตา นางจงใจซื้อบ้านใหม่ที่นี่ ก่อนหน้าที่ยังไม่เกิดเรื่อง กลางวันนางจะไปอยู่ที่โรงหมอ ช่วยจ่ายยาและทำแผลให้คนไข้ คอยยกน้ำยกชาให้ หลังกลับมาจากโรงหมอ เมื่อนางว่างก็จะไปที่สถานสงเคราะห์เด็กฝั่งตรงข้ามเพื่อช่วยดูแลเด็กไร้ญาติ หากเด็กที่นั่นป่วย อาจารย์พวกเราจะรักษาให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ไม่เพียงแต่ไม่คิดค่ารักษา แม้กระทั่งค่ายาก็ล้วนไม่รับ”
หลังจากคนเฝ้าร้านกล่าวจบ ประตูก็เปิดออก เบื้องหน้าเป็นเด็กชายอายุราว ๆ เจ็ดขวบผู้หนึ่ง
“พี่ถานมาแล้วหรือ”
“เสี่ยวผิงอัน” มู่ซืออวี่เรียกชื่อเล่นของจูเฉิน
ตอนถงซื่อคลอดจูเฉินก็อายุมากแล้ว ชีวิตนี้นางมีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวให้ลูกชาย นั่นคือขอให้เขามีชีวิตที่สงบสุขปลอดภัย
จูเฉินมองสตรีตรงหน้าด้วยความสงสัย
คนผู้นี้หน้าตาคุ้นยิ่งนัก!
เด็กชายเอียงศีรษะคิดแล้วคิดอีก แต่ก็ยังคงนึกไม่ออก
ลู่จื่อชิงมองเขาแล้วเอ่ย “ท่านแม่ พี่ชายน้อยผู้นี้เป็นใครหรือ?”
มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างจนปัญญา “นี่เป็นน้องชายของข้า เจ้าต้องเรียกเขาว่าท่านน้า”
“ท่านน้า? ท่านน้าบ้านเราไม่ใช่ท่านน้าหานหรือ?”
“นั่นคือท่านน้าใหญ่ นี่คือท่านน้าเล็ก” มู่ซืออวี่เอ่ย “เอาละ มีอะไรสงสัยค่อยว่ากันทีหลัง แม่ยังมีเรื่องต้องทำ”
มู่ซืออวี่ปัดความสงสัยนับร้อยนับพันของลู่จื่อชิงลงไป แล้วเอ่ยกับจูเฉินที่เพิ่งพบนางเป็นครั้งแรก “ข้าคือพี่สาวของเจ้า มู่ซืออวี่ ท่านแม่เคยบอกเจ้าหรือไม่?”
ดวงตาของจูเฉินเบิกกว้าง
แน่นอนว่าท่านแม่ของเขาเคยบอก ไม่เพียงแค่บอกแต่ยังเคยเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้ง
ในที่สุดเขาก็จำได้ว่าเหตุใดนางจึงคุ้นตานัก เพราะในห้องท่านแม่มีภาพเหมือนของพี่สาวและพี่ชายเขานี่เอง
“ท่านเป็นพี่สาวข้าจริง ๆ หรือ?” จูเฉินเงยหน้าขึ้น มองนางด้วยความไม่แน่ใจนัก
ไม่แปลกที่จูเฉินจะสงสัย เพราะตำนานของมู่ซืออวี่ไม่เคยเลือนหายไปจากเมืองฮู่เป่ย
เพียงแต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าภายหลังลู่อี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ลู่อี้กลายเป็นอัครมหาเสนาบดี ทว่าข่าวนี้ยังมาไม่ถึงเมืองฮู่เป่ย พวกเขารู้เพียงว่าลู่อี้กลายเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โต สตรีผู้ทำการค้าที่ดีสุดในใต้หล้าจากเมืองฮู่เป่ยจึงกลายเป็นฮูหยินขุนนาง
บ้านท่านหมอจูและถงซื่อมีเพียงบ่าวรับใช้คอยปัดกวาดเช็ดถูสองคน ไม่เห็นบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ อีก
บ้านหลังไม่ใหญ่นัก สิ่งที่ควรมีล้วนมี เห็นได้ชัดว่าตลอดหลายปีมานี้สองสามีภรรยาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย