บทที่ 744 แม่ลูกพบหน้ากัน
บทที่ 744 แม่ลูกพบหน้ากัน
“ฉานอี ทิ้งคนไว้ที่นี่สิบคนแล้วพาคนอื่น ๆ ย้ายไปอยู่ที่เรือนย่อยเถอะ!”
มู่ซืออวี่สั่งการกับฉานอี
บ้านจูเล็กเกินไป นางพาผู้คุ้มกันมาด้วยถึงห้าสิบคน อีกทั้งยังมีบ่าวรับใช้สิบคนคอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่นี่เดิมทีก็ไม่มีที่ว่างพออยู่แล้ว
ลู่จื่อชิงและลู่ฉาวจิ่งยังเล็กจึงต้องมีบ่าวรับใช้สองคนคอยประกบพวกเขาตลอดเวลา อีกทั้งยังต้องเหลือผู้คุ้มกันสองสามคนไว้คุ้มครอง ส่วนผู้อื่นไม่จำเป็นต้องมาแออัดอยู่ที่นี่
ฉานอีตระเตรียมบ่าวรับใช้ที่ต้องจัดไว้ที่นี่ จากนั้นก็พาบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ไปจากบ้านจู
ซางจืออยู่กับมู่ซืออวี่คอยดูแลจัดการทุกสิ่ง
เสียงไอดังออกมาจากในห้อง มู่ซืออวี่หยุดอยู่ที่หน้าประตูพักหนึ่ง เมื่อเสียงไอหยุดลง นางจึงเปิดประตูเดินเข้าไป
สตรีที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ข้าบอกแล้วว่าไม่หิว ไม่อยากทานอะไรทั้งนั้น”
“อาจารย์แม่…” ถานชิงซงเอ่ย “ข้ามาจับชีพจรให้ท่าน”
“ชิงซงหรือ ไม่ต้อง…” ถงซื่อเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางประตู เมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย นางรู้สึกว่าตนกำลังฝันไปจึงยกมือขึ้นขยี้ตาทันที “ดูเหมือนข้าจะป่วยแล้วจริง ๆ เหตุใดจึงเห็นนังหนูซืออวี่ของเราเล่า? ป่วยแล้ว ป่วยแล้ว ป่วยจนเลอะเลือนเสียแล้ว…”
มู่ซืออวี่มองสตรีตรงหน้านาง
ตอนนั้นถงซื่อคลอดจูเฉินในวัยกลางคน บัดนี้ผ่านไปหลายปี นางจึงอายุสี่สิบแล้ว
หากอยู่ในยุคปัจจุบัน สตรีวัยสี่สิบที่ดูแลตนเองเป็นอย่างดี บางคนยังพูดได้ว่าดูเหมือนคนอายุยี่สิบกว่า ไม่มีสตรีใดในวัยสี่สิบยินดีที่จะแก่เฒ่า
ทว่าในยุคโบราณ สตรีวัยสี่สิบกว่านั้นจะถูกเรียกว่าฮูหยินผู้เฒ่า หลานชายของนางอาจจะแต่งหลานสะใภ้และใช้ชีวิตอยู่กินด้วยกันแล้ว
ถงซื่อล้มป่วย สีหน้าจึงดูไม่ค่อยดีนัก ทว่าเห็นได้ชัดว่าก่อนล้มป่วยนางมีความเป็นอยู่ที่ดี อย่างไรเสียชีวิตนางในตอนนี้ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ไม่เหมือนสตรีวัยสี่สิบแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” มู่ซืออวี่เดินเข้าไปในห้อง “ท่านไม่ได้ป่วยเลอะเลือน อย่าได้พูดจาเหลวไหล ข้าได้ยินจากน้องชายผู้นี้แล้ว ท่านแค่เป็นหวัดธรรมดา กินยาเพียงสองชุดประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“มู่ซืออวี่…” ถงซื่อลุกขึ้นนั่งด้วยความลำบาก
มู่ซืออวี่รีบเข้าไปพยุงนาง “ท่านแม่ ข้าเอง”
ดวงตาของคนเป็นลูกค่อย ๆ แดงขึ้นมา
หากครานี้ไม่ใช่เพราะลู่อี้ไปเมืองถงหยาง ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อใด นางคงไม่คิดจะกลับมาหาถงซื่อที่เมืองฮู่เป่ย
หลายปีมานี้ มู่ซืออวี่ยังติดต่อกับท่านหมอจูมาโดยตลอด ไม่เพียงแต่ส่งของขวัญให้กันในช่วงปีใหม่และวันหยุดเท่านั้น แต่ยังเขียนจดหมายโต้ตอบกันอย่างน้อยเดือนละหนึ่งฉบับ นางคิดเสมอว่าตนเองทราบทุกเรื่องของถงซื่อจึงไม่กังวลเรื่องมารดาแม้แต่น้อย
มีเพียงตอนนี้ เมื่อนางเห็นถงซื่อนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่นี่ อีกทั้งที่บ้านก็มีเพียงลูกชายที่ยังเด็กอยู่ มิหนำซ้ำเมื่อเกิดเรื่องก็ไม่มีผู้ใดมาดูดำดูดี มู่ซืออวี่ถึงได้รู้ว่าตนอกตัญญูเพียงใด
“นังหนูอวี่…” ถงซื่อจับมือมู่ซืออวี่แน่น “เจ้ากลับมาแล้วจริง ๆ ข้าไม่ได้ฝันไป ไม่ได้ป่วยจนเลอะเลือน กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดียิ่ง น้องชายของเจ้าเขา…”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่สำนักบัณฑิตหลวง ไม่อาจมาได้” มู่ซืออวี่เอ่ย “เอาไว้ข้าจะเขียนจดหมายถึงเขา หากเขามีเวลาจะให้มาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
“ไม่จำเป็น ให้เขาทำงานของเขาเถอะ” ดวงตาของถงซื่อเผยความผิดหวังออกมาแวบหนึ่ง ทว่านางกลับซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะมู่ซืออวี่จ้องนางอยู่ตลอดคงไม่อาจสัมผัสอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนฉับพลันเพียงนั้นได้
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้ามา มือซ้ายจูงลู่จื่อชิง มือขวาจูงลู่ฉาวจิ่ง
“ท่านยาย ทายซิว่าข้าเป็นผู้ใด?” ลู่จื่ออวิ๋นยกยิ้มหวาน
ถงซื่อมองใบหน้างดงาม แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความสุข “ยังต้องทายอีกหรือ? ดูหน้าเล็ก ๆ นี้สิ นอกจากเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์บ้านเรา ยังจะมีผู้ใดอีกเล่า? รีบเข้ามาให้ข้าดูใกล้ ๆ เร็วเข้า”
เมื่อถงซื่อเห็นเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ จึงสังเกตเห็นเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่อยู่ข้าง ๆ
ลู่จื่อชิงมองถงซื่อด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ดวงตาคู่นั้นมองไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับลิงน้อย ส่วนลู่ฉาวจิ่งกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่าย ยอมให้ถงซื่อมองดูจับดู ทำให้คนเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือเสี่ยวชิงเอ๋อร์กับฉาวจิ่งหรือ?” ถงซื่อเอ่ย “หน้าตาน่ารักน่าชังจริงเชียว”
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์ ฉาวจิ่ง รีบเรียกท่านยายเร็วเข้า”
“ท่านยาย” เด็กน้อยทั้งสองคนพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“จริงสิ เจ้าเจอน้องรองของเจ้าหรือยัง?” ถงซื่อถาม “ผิงอัน รีบมาทางนี้ นี่คือพี่สาวคนโตของเจ้า พี่สาวคนโตที่แม่เคยเอ่ยถึงบ่อย ๆ นับตั้งแต่เจ้าโตมาก็ไม่เคยเจอกันเลย รีบมาทักทายเร็ว”
เมื่อครู่นี้ราวกับแม่และลูกสาวสองคนตัดขาดผู้อื่นออกไปจึงไม่มีผู้ใดรบกวนพวกเขา อย่างไรก็ตาม เดิมทีถานชิงซงยังคงสงสัยกลุ่มคนที่มาใหม่ ทว่าเมื่อเห็นการตอบสนองของถงซื่อจึงรู้ว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ
จูเฉินเดินเข้ามา ขณะที่เขากำลังจะคำนับกลับถูกมู่ซืออวี่ห้ามไว้
“ท่านแม่ ท่านให้พี่ชายน้อยท่านนี้จับชีพจรก่อนเถอะ หลังกินยาและรักษาร่างกายให้ดีขึ้นแล้ว พวกเราค่อยมารำลึกถึงอดีต”
ถงซื่อกำลังอารมณ์ดี ไม่ว่ามู่ซืออวี่ต้องการอะไรล้วนได้ทั้งนั้น
ถานชิงซงจับชีพจร จัดยา แล้วส่งยาให้กับซางจือ
ซางจือรับยานำไปต้มที่ห้องครัว
เท่านั้นเองมู่ซืออวี่จึงเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ถงซื่อติดตามท่านหมอจูมานาน คนไข้ทุกคนของท่านหมอจูล้วนเคยผ่านมือนาง ด้วยเหตุนี้นอกจากท่านหมอจูแล้ว ผู้ที่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ดีที่สุดก็คือนาง
“ท่านอาจูฝึกฝนการรักษามาหลายปี ไม่ควรผิดพลาดถึงเพียงนี้ เรื่องนี้คงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“เขาเป็นคนจัดยา” ถงซื่อเอ่ย “ยาทั้งสองหน้าตาคล้ายกัน ครึ่งปีมานี้สายตาเขาย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด จะเกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นก็เป็นเรื่องปกติ”
“หากเป็นเพราะท่านอาจูจริง ๆ นี่นับเป็นความผิดร้ายแรง” มู่ซืออวี่เอ่ย “แม้ว่าข้าต้องการปกป้องเขาก็ไม่อาจทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งได้ ท่านแม่ ท่านลองทบทวนดูอีกคราเถิด เรื่องนี้ไม่มีลับลมคมในจริง ๆ หรือ?”
ถงซื่อสั่นศีรษะเบา ๆ
หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจริง ๆ นางคงจะไม่ป่วยหนักเช่นนี้ แต่จะหาวิธีช่วยคืนชื่อเสียงให้เขา สามีจะได้ออกมาจากคุกโดยเร็วที่สุด แต่เป็นเพราะนางรู้ว่านี่เป็นความผิดเขาจริง ๆ ไม่มีอะไรที่นางสามารถทำได้ จึงได้สิ้นหวังเช่นนี้อย่างไรเล่า
“พี่หญิง ท่านพ่อข้าจะเป็นอย่างไรหรือ?” จูเฉินเม้มริมฝีปากแน่น
ถึงแม้เขาจะยังเด็ก ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะเติบโตมากับโรงหมอ พบเจออารมณ์ความรู้สึกของคนมาหลากหลายรูปแบบ จูเฉินจึงดูโตกว่าสหายวัยเดียวกันมาก
“เขาทำให้คนตาย ควรเข้าคุก” มู่ซืออวี่เอ่ย “อีกประเดี๋ยวข้าจะไปสอบถามเรื่องนี้ที่ศาลาว่าการดูสักหน่อย”
“เดิมทีพวกเราต้องการไปสอบถาม ทว่านายอำเภอคนใหม่เป็นคนเข้มงวด ไม่อนุญาตให้พวกเราไปเยี่ยม” ถงซื่อเอ่ย “ท่านหมอจูอายุมากแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดี ข้ากลัวเหลือเกินว่าเขาอยู่ในนั้นจะทนไม่ไหว”
“ท่านแม่ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า ข้าจะไปดูเอง” มู่ซืออวี่กล่าว
ซางจือยกยาเข้ามาแล้ว
ถงซื่อจึงทานยาและโจ๊กลงไปหนึ่งถ้วยโดยมีมู่ซืออวี่คอยดูแล
ทันทีที่ได้ทานยา จิตใจก็ผ่อนคลายลง คนป่วยรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
มู่ซืออวี่เอ่ยกับจูเฉิน “ผิงอัน เจาดูแลแม่เจ้าให้ดี พี่หญิงจะออกไปข้างนอกสักพัก เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้ากับน้องชาย น้องสาว และท่านน้าเล็กรอข้าอยู่ที่นี่”
“ท่านแม่ ท่านไปเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าจะดูแลพวกเขาให้เอง”
ทันทีที่มู่ซืออวี่ออกไป ลู่จื่อชิงก็หันไปมองจูเฉิน “ท่านอายุมากกว่าข้าอย่างมากก็สองปี ไม่สู้พวกเราเรียกกันด้วยชื่อเถอะ ไม่เช่นนั้นหากเรียกท่านน้าเล็ก ท่านก็จะดูแก่ หากสหายของท่านเห็นจะหัวเราะเยาะเอาได้”
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
เฮ้อ อายุยังน้อย กลับมากอุบายขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
ลู่จื่ออวิ๋นอายุมากกว่าจูเฉินหลายปียังต้องเรียกเขาว่าท่านน้าเล็ก เจ้าเด็กตัวกระเปี๊ยกนี่อายุเท่าใดกันถึงไม่ยินดีเรียกเขาให้ถูกต้อง