หลิงฮันคำรามและกระทืบเท้า ‘ตูม’ ร่างของเขาพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่ถูกยิ่ง เข้าหาจ้าวชิงเฟิง
ด้งกายหยาบที่ไร้เทียมทาน ผสานกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนี ความเร็วของหลิงฮันจึงรวดเร็วเกินพรรณนา
เขายกหมัดขึ้นและกระหน่ำปล่อยหมัดเข้าใส่จ้าวชิงเฟิง
จ้าวชิงเฟิงตกตะลึงเล็กน้อย ถึงแม้พลังต่อสู้ของหลิงฮันจะด้อยกว่าเขา แต่การที่อีกฝ่ายรับปราณดาบของเขาเข้าไปโดยไม่บาดเจ็บแม้แต่เล็กน้อยนั้น เขาทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย
แต่นี่ล่ะคืออัจฉริยะที่เขาเฝ้ารอ หากหลิงฮันถูกสังหารอย่างง่ายดาย ภายในไม่กี่กระบวนท่า ศาสตร์แห่งวรยุทธของเขาจะถูกขัดเกลาได้อย่างไร?
เขากวัดแกว่งสะบั้นดาบในมือเข้าโจมตีปะทะกับหลิงฮัน
‘ตูม’ เล่มดาบปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นยะเลือกออกมาพร้อมกับคลื่นแสงอำนาจแห่งเต๋า ดาบเล่มนี้คืออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ เมื่อมีมันถูกใช้ฟาดฟันด้วยพลังของจ้าวชิงเฟิง อำนาจอันไร้สิ้นสุดจึงหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา
หลิงฮันคำรามและรีดเค้นพลังของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีจนถึงขีดสุด ‘ปัง’ การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกัน โดยที่ร่างของหลิงฮันถูกทำให้ล่าถอยอีกครั้ง
แต่ด้วยกายหยาบที่ไร้เทียมทาน มือขวาที่โจมตีออกไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีเมื่อครู่ของเขา จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆจากดาบกึ่งนิรันดร์
คราวนี้จ้าวชิงเฟิงตกตะลึงอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้เนื่องจากเขาโจมตีด้วยปราณดาบ การที่หลิงฮันจะไม่ได้รับบาดใดๆเลย เขาจึงยังพอรับได้ แต่ตอนนี้ล่ะ? ทั้งๆที่รับเล่มดาบที่ผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารเข้าไปตรงๆ หมัดของหลิงฮันก็ยังไม่ปรากฏบาดแผลเลยแม้แต่น้อย
ร่างของจ้าวชิงเฟิงสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าเขาหวาดกลัว แต่กำลังตื่นเต้น
คู๋ต่อสู้ดีๆแบบนี้ ช่างหาได้ยากยิ่ง!
หากเขาหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ คนที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้เพื่อขัดเกลาศาสตร์วรยุทธให้กับเขาได้ ก็คงมีเพียงสามราชาสวรรค์ภายใต้การปกครองของเอี๋ยนเซียนลู่ที่เหลืออยู่
แต่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากหากเอี๋ยนเซียนลู่โกรธ แม้จะเป็นเขาก็ต้องรู้สึกหวาดกลัว
เพราะเหตุนี้ การที่สามารถหาคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ โดยไม่ทำให้เอี๋ยนเซียนลู่โกรธได้ จึงเปรียบเสมือบการได้รับพรจากสวรรค์
“เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างทรมานที่สุด และทำให้โลกนี้จดจำเสียงคร่ำครวญของเจ้า!” จ้าวชิงเฟิงแลบลิ้นออกมาเลียปลายดาบ
หลิงฮันไม่กล้าประมาท เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาพร้อมกับโคจรอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนี และพุ่งปะทะกับจ้าวชิงเฟิง
อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสองกระหน่ำสะบั้นดาบตอบโต้กันอย่างดุเดือด เสียงปะทะของดาบก้องกังวาลไปทั่วราวกับเสียงฟ้าผ่า
ธิดาโร๋วที่มองดูอยู่เผลอกำหมัดโดยไม่รู้ตัว นางเคยได้ยินกิตติศัพท์ของจ้าวชิงเฟิงมาอย่างดี บุรุษผู้นี้คลั่งไคล้การสังหารอัจฉริยะเป็นอย่างมาก ใครก็ตามที่ตกเป็นเป้าหมายของเขา แทบจะไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่มีชีวิตรอดหนีไปได้
ถึงแม้นางจะรังเกียจท่าทีเย็นชาของหลิงฮันที่มีต่อนาง แต่นางกับหลิงฮันก็ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแล้วหลายครา ทำให้มีสายสัมพันธ์ฉันมิตรเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะเหตุนี้นางจึงไม่ต้องการเห็นหลิงฮันถูกจ้าวชิงเฟิงสังหาร
ทางด้านของซุนตงนั้น เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จากที่เห็นนั้น จ้างชิงเฟิงคือฝ่ายที่กำลังได้เปรียบอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะงั้นหลิงฮันจะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน
เฉิงเฟิงหยุนเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน เขาทนรอที่จะให้จ้าวชิงเฟิงสังหารหลิงฮันไม่ไหวแล้ว
หากมองดูจากมุมมองคนนอก หลิงฮันนั้นกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่จริงๆ เพียงแต่ทุกๆครั้งที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากัน แล้วทุกคนคิดว่าหลิงฮันคงจบสิ้นแล้ว หลิงฮันกลับสามารถยืนหยัดตอบโต้ได้อย่างไม่คาดคิด
รุ่นเยาว์ผู้นี้เองก็… มีพรสวรรค์ที่น่ากลัวราวกับสัตว์ประหลาดเช่นกัน!
รอยยิ้มอันโหดเหี้ยมของจ้างชิงเฟิงค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ อัจฉริยะที่แข็งแกร่งและทนไม่ทนมือแบบนี้ล่ะที่เขาชื่นชอบ ที่ปะทะได้นานเท่าไหร่ โลหิตในร่างของเขาก็ยิ่งสูบฉีด หลังจากที่สังหารหลิงฮันแล้ว มีความเป็นไปได้ที่ประตูสู่นิพพานที่ห้าของเขาจะเปิดออก!
ถึงแม้หลิงฮันจะดูเหมือนตกอยู่ในอันตราย แต่ในความเป็นจริง มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าสถานการณ์ของตัวเขาเองนั้น ไม่ได้อันตรายเลยแม้แต่นิดเดียว
กายหยาบของเขาในตอนนี้ทนทานแทบจะเทียบได้กับ แร่โลหะกึ่งนิรันดร์สามดาว ซึ่งหมายความว่าหากต้องการจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ศัตรูก็ต้องมีพลังต่อสู้ในระดับแบ่งแยกวิญญาณเป็นอย่างน้อย
ห้านิพพานสามารถกล่าวได้ว่าเป็นระดับแบ่งแยกวิญญาณก็จริง แต่พลังของจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับห้านิพพานได้งั้นรึ?
ช่างน่าขัน
แถมเหตุผลที่เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็เพราะ พลังบ่มเพาะของเขาต่ำกว่าอีกฝ่ายหนึ่งขั้น แถมการโจมตีที่ปล่อยออกไปก็ยังผสานเอาไว้เพียงแค่ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีเท่านั้น
“หลิงฮัน ถ้าพลังของเจ้ามีแค่นี้ ภายในสามกระบวนท่า ชีวิตของเจ้าจะจบสิ้นอย่างสมบูรณ์!” ทั่วร่างของจ้าวชิงเฟิภงถูกปกคลุมไปด้วยปราณพิฆาต อำนาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารถูกรีดเค้นจนถึงขีดสูงสุด
สภาพของเขาในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากเทพสังหาร
หลิงฮันเค้นเสียง เขาเองก็ต้องการใช้อีกฝ่ายเป็นหินลับคม สำหรับขัดเกลาเพื่อเปิดประตูสู่นิรันดร์ที่สี่เช่นกัน ไม่เช่นนั้นหากเขาใช้พลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์เปลวเพลิงล่ะก็ พลังต่อสู้ของเขาจะยกระดับขึ้นหลายเท่าอย่างน่าสะพรึงกลัว
“เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังเหมือนดั่งที่ข้ากล่าวไว้จริงๆ แต่ถ้าหากนี่คือพลังต่อสู้ทั้งหมดของเจ้าแล้วล่ะก็ มันถือว่ายังไม่พอ!” ดวงตาของจ้าวชิงเฟิงกลายเป็นแดงฉาน
เขาเค้นเสียงคำราม ‘ครืนน’ ดาบที่เขาถืออยู่ในมือสั่นสะท้าน พร้อมกับปลดปล่อยคลื่นแสงออกมา
‘พรึบ’ ดาบถูกสะบั้นเข้าหลิงฮัน โดยที่ครั้งนี้ร่างกายของหลิงฮันมีโลหิตไหลทะลักออกมา
เพลงดาบเมื่อครู่สามารถทะลวงผ่านกล้ามเนื้อของหลิงฮันมาได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่กระดูดได้
แต่ก็แน่นอนว่าถึงแม้ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุด ของกายหยาบของเขาจะเป็นกระดูกที่ทนทาน เทียบเท่าแร่โลหะกึ่งนิรันดร์สามดาว แต่ผิวหนังและกล้ามเนื้อของเขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะอ่อนแอ การที่เพลงดาบเมื่อครู่สามารถทะลวงผ่านผิวหนังของหลิงฮันได้ เป็นหลักฐานว่าพลังทำลายของมันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
“เจ้าคิดรึว่าข้าฝึกฝนเพียงแค่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์สังหาร?” จ้าวชิงเฟิงแสยะยิ้ม “ผิดแล้ว ร่างกายของข้าคือแก่นกำเนิดนิรันดร์ทองสัมฤทธิ์ ธาตุทองคำคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุด!”
ปราณพิฆาตของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สังหาร คือพลังทำลายที่ทรงพลังที่สุด ส่วนออร่าธาตุทองคำที่ถูกขัดเกลาจนแหลมคน ก็สามารถใช้เป็นการโจมตที่รุนแรงได้เช่นกัน เมื่อพลังอำนาจทั้งสองถูกซ้อนทับกัน การโจมตีที่ปลดปล่อยออกมาจึงไร้เทียมทานที่สุด
“เจ้ามีพลังแค่นี้จริงๆงั้นรึ? น่าเสียดายนัก หลังจากประมือกับอัจฉริยะมามากมาย ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้แท้ๆ แต่สุดท้ายเจ้าก็ทำให้ข้าผิดหวัง!”