สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 748 ท่านน้าสกุลอิน

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 748 ท่านน้าสกุลอิน

บทที่ 748 ท่านน้าสกุลอิน

เช้าตรู่วันถัดมา ขณะที่มู่ซืออวี่กำลังทานอาหารเช้ากับถงซื่อและลูก ๆ พ่อบ้านก็พาถานชิงซงเข้ามา

“ชิงซงมาแล้วหรือ” ถงซื่อเอ่ยทักทาย “พวกเรากำลังทานอาหารเช้า เจ้าเองก็มาทานกับเราสิ”

“ไม่เป็นไรขอรับอาจารย์แม่ ข้าทานมาแล้ว” ถานชิงซงเอ่ย “พวกท่านทานข้าวก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาอีกที”

“ช้าก่อน” มู่ซืออวี่เช็ดมือด้วยผ้าที่อยู่ข้าง ๆ เสร็จแล้วก็ยื่นมือไปขวาง “เจ้ามาส่งบันทึกการรักษากระมัง? ส่งมาให้ข้าเถอะ!”

ถานชิงซงส่งสิ่งที่เขาถืออยู่ให้นาง

มู่ซืออวี่เปิดมันออกแล้วเอ่ยถาม “เจ้ารู้เรื่องอาการของฮูหยินอินมากน้อยเพียงใด?”

“ปกติโรคของฮูหยินอินล้วนเป็นอาจารย์ที่ตรวจ อาจารย์มักจะไปที่นั่นเพียงลำพัง ทั้งข้าและหูกุ้ยจึงไม่ทราบขอรับ”

มู่ซืออวี่ดูบันทึกการรักษาของฮูหยินอินแล้วเอ่ยว่า “ในนี้ไม่มีอะไรเขียนไว้เลย ไม่กระจ่างแจ้งชัดเจน ดูเหมือนนอกจากคนรอบกายฮูหยินอินแล้ว คงมีเพียงท่านอาจูที่รู้เรื่องนี้”

บันทึกการรักษาที่ถานชิงซงส่งให้มู่ซืออวี่ไม่ได้มีเพียงของฮูหยินอินผู้เดียวแต่มีของผู้อื่นด้วย ทว่าบันทึกการรักษาของผู้ป่วยคนอื่น ๆ มีบันทึกไว้อย่างชัดเจน มีเพียงบันทึกการรักษาของฮูหยินอินเท่านั้นที่ไม่กระจ่าง

“นางเป็นโรคอะไรกันแน่จึงไม่สามารถบันทึกไว้ได้” ซางจือที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “พี่ถาน ท่านก็เป็นหมอ คงรู้เรื่องนี้กระมัง?”

“ฮูหยินอินเป็นสตรีมีชื่อเสียง จะไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บของตนเองก็เป็นเรื่องธรรมดา” ถานชิงซงเอ่ย “สตรีจากสกุลผู้มั่งคั่งเหล่านั้นล้วนกลัวว่าผู้อื่นจะพูดเรื่องโรคของตนจึงมักจะห้ามท่านหมอไม่ให้นำเรื่องโรคภัยของพวกนางมาเปิดเผย”

“เช่นนั้นข้าคงต้องไปถามท่านอาจูอีกครั้ง!” มู่ซืออวี่เอ่ย “เดิมทีข้าเพียงอยากดูบันทึกการรักษาอาการของฮูหยินอินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลที่ได้กลับไม่พบอะไร เช่นนั้นคงทำได้เพียงถามผู้ที่รู้รายละเอียดแล้ว”

มู่ซืออวี่พาฉานอีไปที่ศาลาว่าการ ปล่อยให้ซางจือรั้งอยู่ดูแลถงซื่อและเด็ก ๆ

ซางจือไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่ายาต้มถึงไหนแล้ว ครั้นกลับมาก็ไม่เห็นเงาเจ้าบ้านน้อยทั้งหลาย

“คุณหนูใหญ่กำลังคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ข้างใน คุณหนูรองและคุณชายน้อยเมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดจู่ ๆ พวกเขาถึงหายตัวไปแล้ว”

“พวกเขาออกไปข้างนอกแล้วหรือ?”

“บางทีอาจไม่ได้ออกไป ที่ประตูมียามเฝ้า หากพวกเขาออกไปจริง ๆ บ่าวรับใช้ย่อมต้องมารายงาน”

“ประตูหลังเล่า?”

“เอ่อ…” สีหน้าของบ่าวรับใช้แปรเปลี่ยนฉับพลัน “ตรงนั้นไม่มีผู้ใดเฝ้าขอรับ!”

“ยังไม่รีบไปค้นหาอีก?!” ซางจือเริ่มร้อนใจแล้ว

บนถนน มือซ้ายลู่จื่อชิงลากลู่ฉาวจิ่ง ส่วนมือขวาลากจูเฉิน ทั้งสามคนเดินอยู่กลางฝูงชน

“จื่อชิง พวกเราแอบออกมาเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง?” จูเฉินเอ่ย “ท่านแม่และพี่หญิงจะต้องโมโหเป็นแน่”

“วางใจเถอะ พวกเราไม่ได้ไปไหนไกล เพียงแค่เดินอยู่แถวนี้ไม่นานก็กลับแล้ว” ลู่จื่อชิงไม่อาจอยู่นิ่งได้ หากไม่ใช่เพราะบ่าวรับใช้คอยเฝ้าอย่างเข้มงวด นางคงออกมาเที่ยวเล่นนานแล้ว

ตอนนี้เมื่อมีโอกาสให้หนี นางจะอยู่แต่ในบ้านอย่างว่านอนสอนง่ายได้อย่างไร? หากนางว่าง่ายเพียงนั้น คงไม่กลายเป็นปีศาจน้อยผู้โด่งดังในเมืองหลวง ชื่อเสียงของนางไม่ช้านานคงโด่งดังกว่าพี่ชายและพี่สาวเป็นแน่

“เด็กจากบ้านใดกัน? เหตุใดหน้าตาน่ารักน่าชังเช่นนี้?”

“หน้าตาน่าเอ็นดูจริงเชียว!”

อีกฝั่งหนึ่ง เมื่อมู่ซืออวี่ทราบสถานการณ์ของฮูหยินอินจากท่านหมอจูก็กลับไปที่จวนอินอีกครั้ง

“คุณหนูของพวกเราไม่ต้องการพบพวกท่าน”

“เรามาที่จวนของพวกเจ้าเพื่อตรวจสอบคดีในนามของทางการ หากพวกเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นก็นับเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ พวกเรามีสิทธิ์สงสัยว่าพวกเจ้าเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม ถึงเวลานั้นจะจับกุมพวกเจ้าเข้าคุก จวนอินนี้ข้าจะตรวจสอบอย่างไรก็ย่อมได้ หากข้าเป็นคุณหนูพวกเจ้า ยามนี้จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อย่างไรผู้ตายก็เป็นมารดาของนาง เราย่อมต้องคืนความยุติธรรมให้” ฉานอีกล่าว อย่างเด็ดขาด

“นายท่านเชิญแขกจากศาลาว่าการให้เข้าไปพูดคุยกันขอรับ” บ่าวรับใช้วัยกลางคนผู้หนึ่งออกมาแจ้ง

“นายท่าน? นายท่านอวี๋ของพวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม

“ขอรับ”

“พอดีเลย พวกข้าก็มีบางอย่างที่ต้องสอบถามนายท่านอวี๋เช่นกัน” มู่ซืออวี่สาวเท้าก้าวเข้าไป

บ่าวรับใช้เชิญนายบ่าวทั้งสองเข้าจวน ส่วนผู้คุ้มกันที่มู่ซืออวี่พามาได้จัดการให้พวกเขาคอยอยู่ที่อื่นแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ละเลยพวกเขาแต่อย่างใด กลับรับรองด้วยน้ำชาและขนมอย่างดี

ตรงข้ามมู่ซื่ออวี่เป็นชายอายุราวสามสิบปี มีหนวดเครา รูปโฉมสง่างามอ่อนโยน ดูแล้วไม่เหมือนผู้ทำการค้า แต่ดูเหมือนท่านอาจารย์สอนหนังสือเสียมากกว่า

“ท่านนี้คือนายท่านอวี๋หรือ?”

“ฮูหยินมีนามว่าอย่างไร?” นายท่านอวี๋ยกมือขึ้นประกบแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“สามีข้าแซ่ลู่ ท่านเรียกข้าว่าฮูหยินลู่ได้”

“ฮูหยินลู่เป็นสตรี เหตุใดจึงทำงานให้ทางการ…”

“นี่ไม่สำคัญ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ใต้เท้ากู่ให้ข้าตรวจสอบคดีนี้ หมายความว่าข้าย่อมมีคุณสมบัติพอ นายท่านอวี๋ไม่จำเป็นต้องสนใจเหตุผล เพียงให้ความร่วมมือก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”

“เจ้ามีสิทธิ์อะไร?!” อินซู่หลานเดินเข้ามา สายตาจับจ้องมู่ซืออวี่ด้วยความระอา “เหตุใดยังตามหลอกหลอนไม่ยอมเลิกรา?”

“เหตุใดเจ้าไม่รู้จักชั่วดีเช่นนี้? ฮูหยินของพวกเราตรวจสอบคดีให้เจ้า แต่เจ้ากลับบ่ายเบี่ยงหลายครั้งหลายครา หรือว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับเจ้ากันแน่” ฉานอีเอ่ยอย่างเยือกเย็น

ฉานอีแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเป็นคนหุนหันพลันแล่น

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีสถานะสูงส่งอย่างมู่ซืออวี่ เพราะคดีนี้นางกลับต้องเผชิญอุปสรรคทุกย่างก้าวในจวนอิน ทั้งยังถูกสตรีธรรมดาผู้หนึ่งสร้างความยุ่งยากให้ ในฐานะคนสนิท ฉานอีย่อมทนไม่ได้

“ซู่หลาน อย่าได้ไร้มารยาท” นายท่านอวี๋ตำหนินาง

“ท่านน้า…” อินซู่หลานกระทืบเท้าแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “พวกนางน่ารำคาญยิ่งนัก คดีนี้ปิดไปแล้วแต่พวกนางกลับยืนกรานที่จะวุ่นวายไม่เลิก นี่ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ท่านแม่ข้าได้พักผ่อนอย่างสงบหรือไร!”

“พอแล้ว พวกเราให้ความร่วมมือก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย บางทีเรื่องนี้อาจมีลับลมคมในจริง ๆ” นายท่านอวี๋มองอินซู่หลานด้วยความรักใคร่ “ฟังข้าเถิด”

อินซู่หลานเม้มปาก ไม่กล่าวอะไรอีก

สายตาของมู่ซืออวี่หยุดลงที่นายท่านอวี๋

คราวนี้นางไม่ได้ไปดูสถานที่เกิดเหตุ เพียงแต่พูดคุยกับนายท่านอวี๋สองสามคำเรื่องอาการป่วยของฮูหยินอิน

“โรคของฮูหยินอินมีที่มาอย่างไร? นายท่านอวี๋รู้หรือไม่?”

“เรื่องนี้… ความสัมพันธ์ของข้ากับพี่สาวค่อนข้างดี ทว่าท้ายที่สุดแล้วบุรุษสตรีแตกต่างกัน ข้าได้ยินมาว่าพี่สาวข้าป่วยเป็น… ข้าก็ไม่เคยเอ่ยถามเรื่องนี้” นายท่านอวี๋เอ่ย “ฮูหยินสอบถามเรื่องนี้ เพราะมีอะไรน่าสงสัยหรือ?”

“สามีของฮูหยินอินเสียชีวิตไปนานแล้ว หลายปีมานี้ไม่เคยมีบุรุษอื่นเข้ามาบ้างหรือ?”

“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?” อินซู่หลานเริ่มโมโห

“ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินอินเป็นกามโรค” มู่ซืออวี่เอ่ย “โรคนี้ไม่ได้เกิดได้เอง แต่ต้องติดต่อจากผู้อื่นมา ฮูหยินอินไม่มีชายอื่น จะเป็นโรคนี้ได้อย่างไร?”

“เดิมทีนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพี่สาวข้า ตอนนี้นางไม่อยู่แล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ควรให้ผู้อื่นรู้ ทว่าฮูหยินมาที่นี่เพื่อตรวจสอบคดี เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงบอกความจริง” นายท่านอวี๋ถอนหายใจ “พี่สาวข้ามีคนรักจริง ๆ อีกฝ่ายเดิมทีเป็นคนในร้านนาง อาจเพราะเขาหน้าตาไม่เลว ทั้งสูงใหญ่ทั้งองอาจ จึงต้องตาพี่สาวข้า ทว่าคนผู้นั้นชอบไปย่านสราญรมย์ ทั้งยังนำพาโรคร้ายกลับมาทำให้พี่สาวข้าพลอยติดไปด้วย เรื่องนี้ข้ารู้เข้าโดยบังเอิญ ภายนอกข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ อย่างไรเสียเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ข้าไม่อยากให้พี่สาวข้าต้องอับอายผู้อื่น”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท