บทที่ 756 เสี่ยวชิงเอ๋อร์บุกทะลวง
บทที่ 756 เสี่ยวชิงเอ๋อร์บุกทะลวง
มู่ซืออวี่ไม่อยู่ในอารมณ์จะพูดคุยเรื่องความเป็นมาเป็นไปของญาติ ๆ ในตอนนี้ จึงบอกว่าหากจัดการงานของตนเสร็จแล้วค่อยว่ากัน
ถงซื่อเองก็ไม่ได้บังคับ อย่างไรเสียนางก็ไม่เข้าใจสิ่งใด ในเมื่อช่วยลูกไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ควรสร้างปัญหาให้นาง
ทั้งสองพูดคุยเรื่องจิปาถะในชีวิต ขณะนั้นเองก็มีเสียงร้องไห้ดังมาจากข้างนอก ดูจากเสียงคงเป็นจูเฉินที่กำลังร้องไห้
ฉานอีเดินออกไป ไม่นานนักนางก็เดินจูงมือจูเฉินกลับเข้ามา
ทั่วทั้งตัวจูเฉินเต็มไปด้วยโคลน เขาร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจ คร่ำครวญไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง ใบหน้าขะมุกขะมอมเต็มไปด้วยฝุ่น เหมือนกับลูกแมวน้อยไม่มีผิดเพี้ยน
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่ซืออวี่ถามด้วยความเป็นห่วง
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์ เสี่ยวชิงเอ๋อร์…” จูเฉินร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียจนพูดได้ไม่ชัดเจน
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์รังแกเจ้าหรือ?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว
ปกติแม้ลู่จื่อชิงจะเป็นจอมทำลายล้าง ทว่านางรู้จักความพอเหมาะพอควร นางชอบ ‘กลั่นแกล้ง’ ฉาวจิ่งมากที่สุด โดยมักจะแต่งตัวฉาวจิ่งให้เป็นเด็กผู้หญิง จากนั้นก็กลั่นแกล้งเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่จวนฝั่งตรงข้าม เจ้าอ้วนน้อยก็ใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าลู่จื่อชิงจะ ‘รังแก’ เขาอย่างไร วันต่อมาเขาก็ยังเล่นกับนางเช่นเคย นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถูกลูกสาวนางรังแกจนร้องไห้
ดูเหมือนว่าจะตามใจสาวน้อยคนนั้นไม่ได้อีกแล้ว หากตามใจนางต่อไป นางจะกลายเป็นปีศาจตัวน้อย ภายหน้าผู้ใดจะคุมเสี่ยวชิงเอ๋อร์ได้เล่า?
ถงซื่อเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้น “เสี่ยวชิงเอ๋อร์อายุเท่าใดกันจะรังแกเขาได้หรือ? เด็ก ๆ เล่นซนกันตามประสาก็เป็นเรื่องปกติ เขากลับใจแคบ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังถือเป็นจริงจัง”
ถึงแม้จูเฉินจะเป็นลูกชายที่เกิดตอนถงซื่อและท่านหมอจูอยู่ในวัยกลางคน ทว่าทั้งสามีและภรรยาไม่ได้ประคบประหงมเขา ที่ควรให้ก็ให้ ที่ควรดูแลก็ดูแล อย่างไรก็ตาม จูเฉินมีอารมณ์อ่อนไหว มักจะร้องไห้เพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ
ถงซื่อไม่ได้ถือการร้องไห้ของลูกชายเป็นจริงจัง
มู่ซืออวี่กลับไม่คิดว่าจูเฉินจะร้องไห้เพราะเรื่องเล็ก ๆ นางกลับมาได้พักใหญ่ ๆ แล้ว จึงรู้นิสัยของน้องชายน้อยผู้นี้อยู่บ้าง ตอนที่ถงซื่อล้มป่วย จูเฉินก็เฝ้าอยู่ข้าง ๆ เป็นเด็กน้อยที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าจูเฉินไม่ใช่คนไม่อดทน หากเขาร้องไห้เช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อยแล้ว
“ผิงอัน เจ้าหยุดร้องไห้ก่อน แล้วบอกข้าดี ๆ หากเสี่ยวชิงเอ๋อร์ทำอะไรผิด ข้าจะไม่อ่อนข้อให้นางเป็นแน่”
จูเฉินส่ายหัว สะอึกสะอื้น “ไม่ใช่… เสี่ยวชิงเอ๋อร์ ไม่ได้รังแกข้า”
เขาเช็ดน้ำตาอีกครั้ง ใบหน้าเล็กน่ามองจึงดูดีขึ้น
ถงซื่อและมู่ซืออวี่เห็นเช่นนี้ก็ยิ่งสับสน
ในเมื่อเสี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่ได้รังแกเขา เหตุใดต้องร้องไห้เสียใจเพียงนี้? นอกจากนั้น เขายังเอ่ยชื่อของเสี่ยวชิงเอ๋อร์ออกมาด้วย ไม่ใช่เพราะเสี่ยวชิงเอ๋อร์รังแกเขาหรือ?
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์เลือดออกแล้ว… เลือดออกเยอะมาก… มือของนางบาดเจ็บ…” ในที่สุดจูเฉินก็เอ่ยได้ชัดถ้อยชัดคำ
“ว่าอย่างไรนะ?!” ถงซื่อและมู่ซืออวี่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
“ยามนี้เสี่ยวชิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ท่านพ่อ…” เมื่อจูเฉินเอ่ยคำสำคัญออกมา มู่ซืออวี่ก็ก้าวออกไปแล้ว
ถงซื่อเอ่ยกับฉานอี “แม่นางฉานอี เจ้าเด็กคนนี้ฝากไว้กับเจ้าก่อน ข้าเองก็จะไปดูเหตุการณ์เช่นกัน”
ทั้งสองรุดไปยังโรงหมอ เห็นเพียงท่านหมอจูกำลังเช็ดเลือดบนแขนของลู่จื่อชิงอย่างอ่อนโยน เผยให้เห็นบาดแผลยาวแผลหนึ่ง
ลู่จื่อชิงเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอราวกับว่านางอยากจะร้องไห้แต่ต้องอดทนไว้ นั่นทำให้ทั้งแม่และยายปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
เมื่อลู่จื่อชิงเห็นมารดา นางก็ดึงชายเสื้อแล้วร้องไห้ออกมา “ท่านแม่ ข้าเจ็บ…”
“แม่รู้” มู่ซืออวี่ลูบผมลูกสาวคนเล็กแล้วเอ่ยถาม “ท่านอาจู บาดแผลนางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“รอยบาดยาวเพียงนี้ เกรงว่าจะเป็นแผลเป็นแล้ว”
“เกิดขึ้นได้อย่างไร?
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เจ้าถามนางเองเถิด” ท่านหมอจูเอ่ยด้วยความโกรธ “เมื่อครู่นี้ยังดี ๆ อยู่ จู่ ๆ นางก็กลับมาพร้อมกับแผลเป็นทางยาวเช่นนี้ ผู้ใดจะรู้ว่านางไปซุกซนที่ใดบ้าง?”
“ฉาวจิ่งเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ
บ่าวรับใช้ผู้นั้นกล่าว “เมื่อครู่กลับมาพบคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่บอกว่านายน้อยเหนื่อยแล้วจึงให้คนส่งกลับไปพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ”
หมอจูทำแผลให้ลู่จื่อชิงอย่างรวดเร็ว
ลู่จื่อชิงเจ็บมากจนต้องกอดเอวมู่ซืออวี่แล้วออดอ้อนอย่างน่าสงสาร
เดิมทีมู่ซืออวี่ต้องการอบรมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าเมื่อเห็นบุตรสาวร้องโอดโอยด้วยความเจ็บก็พลอยปวดใจตามไปด้วยจึงกอดและปลอบโยนลูกสาวอยู่ครู่หนึ่ง ความคิดที่จะตำหนิและอบรมสั่งสอนเจ้าตัวแสบหายไปหมดสิ้น
“ท่านแม่ คนเหล่านั้นน่าแค้นใจจริง ๆ นะเจ้าคะ หนอนไหมที่ชาวบ้านเลี้ยงมาอย่างยากลำบากและมีคุณภาพดีเพียงนั้น พวกเขาไม่เพียงรับซื้อด้วยราคาต่ำ แต่ยังบอกว่าเกินกว่าครึ่งคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์…”
ลู่จื่อชิงอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ที่แท้ไม่นานหลังจากที่ลู่จื่อชิงมาถึงเมืองฮู่เป่ยก็มีเด็กกลุ่มหนึ่งติดตามนาง บ้านของเด็ก ๆ เหล่านั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ลู่จื่อชิงบอกว่านางเบื่อเล่นในเมืองแล้ว อยากไปเที่ยวเล่นที่บ้านของเด็ก ๆ เหล่านั้น พวกเขาจึงเชิญนางไปเป็นแขก
กล่าวไปแล้วก็บังเอิญยิ่งนัก เมื่อพวกเขาไปถึงหมู่บ้าน เด็ก ๆ เห็นว่าผู้ที่จะมารับรังไหมกำลังมาจึงบอกเรื่องที่ผู้มารับรังไหมเหล่านั้นให้ราคาต่ำ ยามที่ขายรังไหม พ่อแม่ของพวกเขาล้วนเป็นต้องขมวดคิ้วทุกครั้ง
ไม่เพียงเท่านั้น พวกผู้มารับรังไหมยังเอาไก่เอาเป็ดของพวกเขาไปด้วย การกระทำไม่ต่างอะไรกับโจร
ลู่จื่อชิงจึงเอ่ยถาม “ในเมื่อราคาต่ำ เช่นนั้นก็อย่าขายสิ ขายให้ผู้อื่นที่ให้ราคาสูงไม่ดีกว่าหรือ?”
เด็กคนหนึ่งจึงตอบ “ผู้ที่มารับรังไหมผู้นั้นแซ่เมิ่ง เป็นคหบดีในท้องที่ หากพวกเราไม่ขายรังไหมให้พวกเขา อย่าว่าแต่จะเลี้ยงหนอนไหมในหมู่บ้านเลย เกรงว่าแม้กระทั่งการอาศัยอยู่ที่นี่คงมีปัญหาแล้ว”
ลู่จื่อชิงแต่ไหนแต่ไรมาชอบผดุงความยุติธรรม เมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ คุณหนูเล็กลู่จึงพาเด็ก ๆ เหล่านั้นไปเผชิญหน้ากับผู้มารับรังไหม
ปกติหากนางอยู่ในเมือง ลู่จื่อชิงเรียกหาครั้งหนึ่งย่อมมีคนขานรับร้อยคน ลูกน้องของผู้มารับรังไหมนั้นไม่น่ากลัวอะไร ทว่าในตอนนั้นนางมีลูกน้องอยู่เพียงคนเดียวและลูกน้องคนนั้นต้องปกป้องเด็ก ๆ สามคน ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความผิดพลาด ขณะที่เขาปกป้องลู่ฉาวจิ่ง ลู่จื่อชิงจึงถูกอันธพาลพวกนั้นผลักล้มลงบนพื้น และเหล็กแท่งหนึ่งก็ขูดเข้ากับแขนของนาง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าผิดพลาดที่ใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
ลู่จื่อชิงยู่ปาก “ข้าช่วยผู้อื่น ไม่ได้ผิดอะไร”
“เจ้าช่วยผู้อื่นนั้นถูกต้อง ทว่าวิธีการของเจ้าผิด เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง แม้กระทั่งตัวเจ้าเองยังต้องให้ผู้อื่นปกป้อง เจ้ากระทำบุ่มบ่ามเช่นนั้นได้หรือ? หากเจ้าต้องการช่วยสหาย เจ้าต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือ อันดับแรก เจ้าต้องประเมินโอกาสในการชนะอีกฝ่ายก่อนจะพุ่งเข้าไปเช่นนี้ จากที่เจ้าเล่ามา อีกฝ่ายมีคนมากกว่าสามสิบคน เจ้าพาผู้คุ้มกันไปเพียงผู้เดียว ถึงแม้ผู้คุ้มกันคนนั้นจะมีวรยุทธ์สูงเพียงใด ทว่าเขาต้องปกป้องพวกเจ้าทั้งสามคนซึ่งเป็นภาระ เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีโอกาสหลบหนีได้โดยไร้รอยขีดข่วนสักกี่ส่วน?”
“ภายหน้าเจ้าลองชั่งน้ำหนักดูว่ามีทางออกที่ดีกว่านี้หรือไม่ หากเจ้าปกป้องพวกเขาเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะทำร้ายตนเอง แต่ยังล้มเหลวในการปกป้องสหายด้วย การช่วยเหลือของเจ้าไม่เกิดประโยชน์อะไร”
“หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะเก็บหลักฐานที่อีกฝ่ายรังแกชาวบ้าน เมื่อหลักฐานเพียงพอแล้ว ข้าจะเจรจาต่อรองกับอีกฝ่ายก่อนเพื่อประโยชน์ที่มากที่สุดของชาวบ้านเหล่านั้น หากอีกฝ่ายไม่ยอมดื่มสุราคารวะ แต่จะดื่มสุรารับโทษ เช่นนั้นข้าจะใช้กฎหมายแก้ปัญหา ไม่ว่าจะชาวบ้านหรือพ่อค้า พวกเขาล้วนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ราคารังไหมมากน้อยเพียงใด ล้วนมีตลาดกะเกณฑ์ ไม่ใช่ใครคิดจะตั้งราคาได้อย่างไรก็ตั้งได้อย่างนั้น”