สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 757 เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์โกรธแล้ว

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 757 เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์โกรธแล้ว

บทที่ 757 เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์โกรธแล้ว

ลู่จื่อชิงคล้ายจะเข้าใจ แต่แววตาของนางยังคงงุนงงเล็กน้อย

มู่ซืออวี่ลูบแก้มลูกสาวเบา ๆ “แต่มีสิ่งหนึ่งที่แม่ต้องชมเจ้า เจ้าเกลียดชังความชั่วดุจเกลียดชังศัตรูเหมือนกับพี่ใหญ่และพี่หญิงของเจ้า ช่างเป็นเด็กดีมีคุณธรรมเสียจริง”

“ต่อไปจัดเตรียมคนดูแลเด็ก ๆ เพิ่มอีกหลาย ๆ คนเถอะ!” ถงซื่อเอ่ย “ครั้งนี้บาดเจ็บ บนแขนอาจมีรอยแผลเป็น นางเป็นเด็กผู้หญิงต้องเลี้ยงดูอย่างถนอมเสียหน่อย จะปล่อยให้มีแผลเป็นยาวเพียงนี้ได้อย่างไร?”

“ท่านแม่ ท่านคิดว่าข้าไม่อยากจัดคนให้นางเพิ่มหรือ? ท่านลองถามนางดูเถิดว่า เดิมทีรอบกายนางมีคนอยู่กี่คน เหตุใดจึงมีผู้ติดตามเหลืออยู่เพียงผู้เดียว” มู่ซืออวี่หันไปมองลู่จื่อชิง

ลู่จื่อชิงกะพริบตาปริบ ๆ “ภายหน้าข้าจะไม่ให้พวกเขากินปาโต้ว*[1] แล้ว”

ท่านหมอจูและถงซื่อ “…”

เหตุใดเจ้าเด็กนี่ถึงได้ซนเพียงนี้?

ทั้งลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นล้วนไม่ได้เป็นแบบนี้ แม้ว่าลู่ฉาวจิ่งยังเล็ก ทว่าก็ยังพอมองออกว่าเขาเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย มีเพียงเด็กคนนี้เท่านั้นที่ออกมาเป็นเช่นนี้ ไม่เหมือนสกุลลู่แม้แต่น้อย

“ฮูหยิน…” ลู่หรงผู้คุ้มกันสาวเท้าก้าวเข้ามา เขาประกบมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่นำคนไปปิดล้อมสกุลเมิ่งแล้วขอรับ”

มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “คุณหนูใหญ่ที่เจ้าเอ่ยถึง…”

นางไม่ได้หูฝาดกระมัง?

ลู่หรงตอบ “เป็นคุณหนูอวิ๋นเอ๋อร์ขอรับ”

เมืองฮู่เป่ยมีอันธพาลเจ้าถิ่นอยู่ผู้หนึ่ง สกุลนั้นแซ่เมิ่ง พวกเขาย้ายมาที่นี่เมื่อสองปีก่อน

สกุลนี้ทำการการค้าผ้าแพรไหมต่วน เขาครอบครองกิจการค้าผ้าทั้งหมดในเมืองฮู่เป่ยเพียงผู้เดียว

นายท่านเมิ่งผู้นี้รู้จักวิธีฉวยโอกาสจากช่องโหว่เป็นอย่างดี เขาจะกดราคารังไหมให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทว่า ‘ราคาต่ำ’ นี้ไม่ได้เปิดเผยอย่างชัดเจน เขาจะบอกว่ารังไหมของอีกฝ่ายไม่ผ่านเกณฑ์ เนื่องจากรังไหมไม่ผ่านเกณฑ์ย่อมไม่ได้ให้เงิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงรับซื้อหนอนไหมและรังไหมที่ชาวบ้านเลี้ยงได้ในราคาที่ต่ำที่สุดเสมอ

เขาครอบครองกิจการไหมทั่วทั้งเมืองฮู่เป่ยไว้แต่เพียงผู้เดียว แม้ชาวบ้านผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมต้องการประท้วงก็ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้

ครั้งหนึ่งเคยมีคนคิดจะร้องเรียน ทว่าก่อนที่จะได้ยื่นคำร้องต่อทางการ คนผู้นั้นก็หายสาบสูญไปแล้ว

ชาวบ้านผู้เลี้ยงไหมล้วนเป็นคนซื่อตรงและขี้ขลาด เมื่อรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะยังกล้าไปศาลาว่าการเพื่อต่อสู้กับคนแซ่เมิ่งผู้นั้นหรือ ชาวบ้านจึงทำได้เพียงปลูกหม่อนเลี้ยงไหมต่อไปด้วยความกล้ำกลืน

นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือนายท่านเมิ่งผู้นั้นชอบเด็กหนุ่ม ขอเพียงแค่ต้องตาเด็กหนุ่มคนใดก็ไม่อาจมีผู้ใดรอดพ้นเงื้อมมือเขาไปได้ หลายครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะอีกฝ่าย

เขาเลี้ยงดูอันธพาลไว้มากกว่าร้อยคน อันธพาลเหล่านี้ทำเรื่องเลวร้ายมากมายให้เขา อย่างไรก็ตาม วิธีการของนายท่านเมิ่งโหดเหี้ยมเสียจนไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าต่อกรด้วย

ขณะนี้ จวนสกุลเมิ่งมีผู้คุ้มกันฝีมือดีนับห้าสิบคนปิดล้อมเอาไว้

เมื่อชาวบ้านได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาต่างแห่แหนกันจากมาทั่วทุกสารทิศเพื่อสอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในจวนสกุลเมิ่ง เมิ่งหูเซิงมองหญิงสาวหน้าตางดงามที่อยู่ตรงข้ามเขาอย่างเยือกเย็น

“แม่นางน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด?!”

“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่…ว่าข้าเป็นผู้ใด?” ลู่จื่ออวิ๋นนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย

เก้าอี้ตัวนั้นถูกย้ายมาจากในจวนเมิ่ง

เมิ่งหูเซิงเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีไม่คร้ามเกรงเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“แม่นางน้อยมีแซ่อันสูงศักดิ์ว่าอันใดเล่า?”

“เจ้าไม่คู่ควรรู้” ซางจือมองเมิ่งหูเซิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาเฉยชา “สุนัขรับใช้เจ้าได้บอกหรือไม่ว่าวันนี้พวกมันไปกัดผู้ที่ไม่ควรกัดเข้า?”

เมิ่งหูเซิงมองคนสนิทที่อยู่ข้าง ๆ

คนสนิทโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูสองสามคำ

เมิ่งหูเซิงพอจะเข้าใจแล้ว วันนี้ขณะที่ไปรับรังไหมที่ชนบท พวกเขาไปมีเรื่องโต้เถียงกับผู้อื่น อีกทั้งยังทำให้แม่นางน้อยผู้หนึ่งได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนแม่นางผู้นี้จะเป็นคนในครอบครัวของแม่นางน้อยผู้นั้น”

“ลูกน้องข้าล้วนเป็นคนหยาบกระด้าง มือไม่ได้หนักไม่ได้เบา พลั้งพลาดไปทำร้ายแม่นางบ้านท่านเข้า ตาเฒ่าผู้นี้ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ และจะจ่ายเพิ่มหนึ่งร้อยตำลึงเงินให้ครอบครัวท่านเพื่อเป็นค่ารักษาบาดแผล ขอแม่นางโปรดผ่อนผัน อย่าได้ถือสาหาความในเรื่องนี้ ภายหน้าหากผู้แซ่เมิ่งมีประโยชน์ช่วยเหลือสิ่งใดได้ ผู้แซ่เมิ่งจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”

“เจ้านับเป็นประโยชน์อะไรกัน?” ซางจือยิ้มเยาะ “แม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะเป็นสุนัขให้คุณหนูเรายังไม่มี บัดนี้คุณหนูรองของเราได้รับบาดเจ็บ เจ้าคิดจะใช้เงินร้อยตำลึงแก้ปัญหา เจ้าเหนื่อยกับการมีชีวิตอยู่แล้วหรือ”

“เช่นนั้น แม่นางคิดจะทำอย่างไร?” สายตาของเมิ่งหูเซิงเต็มไปด้วยความโกรธ

“อยากแก้ปัญหานี้นั้นง่ายดาย” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างใจเย็น “สุนับรับใช้ทั้งหมดที่อยู่ในวันนี้ต้องชดใช้แขนคนละข้าง แล้วก็เจ้า เถ้าแก่เมิ่ง ในเมื่อเจ้าเป็นผู้กระทำผิดต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง เจ้าต้องชดใช้ด้วยแขนเจ้าเช่นกัน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สกุลเมิ่งของเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการค้า ไม่ว่าจะเป็นกิจการค้าผ้าไหมหรือกิจการอื่นใด พวกเจ้าล้วนไม่อาจทำ ไม่เช่นนั้นหากเจ้าหายตัวไปตลอดกาล อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

“สามหาว!!!” เมิ่งหูเซิงเกรี้ยวกราดแล้ว

เดิมทียังคิดว่าเสียมากไม่สู้เสียน้อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเรื่องการเจรจาอีกต่อไป

แม้ว่าแม่นางผู้นี้จะพาผู้คนมาด้วยมากมาย ทว่าคนเหล่านั้นอาจท่าดีทีเหลวก็เป็นได้

“แม่นางพาคนบุกรุกเข้ามาในจวนเมิ่งของข้า นับเป็นการบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว” เมิ่งหูเซิงเอ่ย “คนของข้ารายงานเรื่องนี้ไปยังทางการแล้ว”

“รายงานทางการหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับซางจือที่อยู่ข้าง ๆ “นึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้ารายงานทางการ ผู้ใดมอบความกล้าเพียงนี้ให้เขา?”

“เขาอาจจะเป็นคนโง่ไร้สมองกระมังเจ้าคะ!” ซางจือเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”

“ข้าบอกแล้ว…” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มน้อย ๆ “ทุกคนต้องชดใช้ด้วยแขนหนึ่งข้าง…”

เหงื่อกาฬไหลพลั่กลงจากหน้าผากของเมิ่งหูเซิง

เขาวางอำนาจบาตรใหญ่มาหลายปี ไม่เคยต้องเกรงกลัวใครอย่างในวันนี้มาก่อน

หญิงสาวตรงหน้ามีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา ทว่าดวงตาคู่นั้นของนางกลับทำให้เขารู้สึกประหนึ่งกำลังเจรจาอยู่กับท่านพญายม

ลู่จื่ออวิ๋นยกมือ

เมิ่งหูเซิงตะโกนขึ้นมา “แม่นาง มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดี ๆ เถิด…”

“หึ” ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะเบา ๆ “ถ้อยคำนั้นมีไว้พูดกับมนุษย์ บางคนยังฟังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นย่อมไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีก เด็ก ๆ ลงมือ!”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน” เมิ่งหูเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “จับนาง!”

ซางจือแค่นเสียงแล้วพุ่งทะยานเข้าไป

“อ๊ากกกกก”

“อ๊ากกกกก”

“อย่า… อย่า…”

“อ๊ากกกกก”

ชาวบ้านได้ยินเสียงดังออกมาจากข้างใน แต่ละคนต่างขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว

“นี่ไม่ใช่ก่อเหตุฆาตกรรมกระมัง?”

“กลิ่นเลือดฉุนมาก ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น…”

นายอำเภอกู่รีบรุดไปที่จวนสกุลเมิ่งพร้อมกับนักการ

“ใต้เท้า เป็นพวกเขา พวกเขาปิดล้อมล้อมจวนสกุลเมิ่งของเราแล้ว” คนของเมิ่งหูเซิงเอ่ยกับนายอำเภอกู่

นายอำเภอกู่มองผู้คุ้มกันที่ขวางเขาไว้ แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าเป็นนายอำเภอเมืองนี้ พวกเจ้าคิดจะฆ่าคนต่อหน้าข้าหรือไร?!”

“ให้เขาเข้ามา” เสียงของลู่จื่ออวิ๋นดังออกมาจากด้านใน

ผู้คุ้มกันลดแขนลง ปล่อยให้นายอำเภอกู่และคนอื่น ๆ เข้าไป

นักการเปิดประตูออก ฉากนองเลือดในลานบ้านปรากฏแก่สายตาทุกคน

นายอำเภอกู่หรี่ตาลง จากนั้นท้องเขาก็ปั่นป่วนขึ้นมา เขาเบี่ยงตัวพิงกำแพงแล้วอาเจียนออกมาทันที

เมื่อหันไปมองเหล่านักการ พวกเขาเคยพบเห็นสถานการณ์นองเลือดมามากมายจึงไม่ได้มีการตอบสนองรุนแรงอย่างนายอำเภอกู่ อย่างไรก็ตาม ขาของแต่ละคนกลับสั่นระริกไปตาม ๆ กัน ส่วนแผ่นหลังก็มีเหงื่อแตกพลั่ก

ชาวบ้านต่างสงสัยว่าพวกเขาเห็นสิ่งใดกันแน่ เหตุใดจึงไม่เข้าไป?

ชาวบ้านผู้หนึ่งลอบย่องเข้าไป เพียงแต่ผู้คุ้มกันราวกับไม่เห็นจึงเมินเฉยต่อการเคลื่อนไหวของเขา

ผู้กล้าคนนั้นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในลานบ้าน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนฉับพลัน รีบหมุนตัวแล้ววิ่งหนีไป

“เหล่าซาน เป็นอะไรหรือ?”

“ข้างใน… ข้างใน… มีแขนขาดเต็มไปหมด…” สิ้นคำ ชายที่ชื่อเหล่าซานผู้นั้นก็นั่งลงกับพื้นแล้วสูดหายใจเข้าลึก “น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

“กรรมตามสนอง กรรมตามสนองแล้วจริง ๆ!” หญิงชราร้องไห้โฮออกมาพร้อมทั้งตบต้นขา “คนแซ่เมิ่งผู้นั้นฆ่าลูกชายข้าตาย ใช้ชีวิตหลานชายข้ามาข่มขู่ อีกทั้งยังทำให้เรากลัวที่จะร้องเรียนทางการ ในที่สุดก็ถูกกรรมตามสนองเสียที”

[1] ปาโต้ว คือ สมุนไพรชนิดหนึ่ง ใช้ประกอบเป็นยาถ่ายที่มีฤทธิ์แรง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท