ที่หน้าผากของหลิงฮัน มีเส้นเลือดปูดบวมออกมา และรู้สึกเจ็บปวดเกินจะพรรณนา
คำสาปอสูรทมิฬอาฆาตกำลังออกฤทธิ์!
ถึงเวลาระยะเวลาในโลกจริงจะยังไม่ถึงกำหนดหนึ่งปี แต่เวลาที่หลิงฮันใช้ในห้องเร่งเวลานั้น ผ่านไปครบปีแล้ว
เนื่องจากไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น หลิงฮันจึงเผลอปล่อยมือออกจากการควบคุมเตาหลอม ทำให้เตาหลอมเกิดการระเบิด
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องนั้น หลิงฮันกัดฟันพยุงตัวขึ้นมานั่ง และอดทนต่อความเจ็บปวดจากคำสาปอสูรทมิฬอาฆาต
ตามร่างกายของเขา ลวดลายสีดำสนิทค่อยปรากฏออกมา และเผยแพร่ความเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
หลิงฮันกัดฟันจ้องสำรวจคำสาปอสูรทมิฬอาฆาต
อย่างที่รู้ว่าคำสาปนี้เกิดจากพลังอำนาจของตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่นิรันดร์ทั่วไปจะสามารถตรวจสอบคำสาปได้ ความเจ็บปวดจากคำสาปจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย จนเจ้าของร่างจะรับรู้เพียงความรู้สึกทรมานอันแสนยาวนาน และลืมสนใจตรวจสอบคำสาป
เพียงแต่ด้วยความมุมานะอันแรงกล้า หลิงฮันได้ฝืนอดกลั้นความเจ็บปวด และตรวจสอบคำสาปอสูรทมิฬอาฆาตอย่างละเอียด จนรับรู้ได้ว่า ตราบใดที่พลังของเขาสูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง เขาจะสามารถถอนคำสาปภายในร่างนี้ได้ด้วยตัวเอง
ความเจ็บปวดจากคำสาปคงสภาพอยู่เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนก่อนจะหายไป ทั่วร่างของหลิงฮันในตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จิตวิญญาณของเขาอยู่ในสภาพที่อ่อนแรงมาก แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ จิตวิญญาณที่อ่อนแรงของเขาถูกขัดเกลาให้มั่นคงขึ้น
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม อสูรเฒ่าเงาโลหิตผู้นั้นคงคาดไม่ถึงเป็นแน่ ว่าคำสาปที่ตนเองประทับเอาไว้ เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้หลิงฮันไม่หลงลืมภารกิจ จะกลายมาเป็นสิ่งที่ช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณของหลิงฮัน ผ่านความทุกข์ทรมานแทน
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันก็ยังไม่ชื่นชอบวิธีการของอสูรเฒ่าผู้นี้อยู่ดี
เมื่อไหร่ที่เขาแข็งแกร่งพอ เขาขอสาบานเลยว่าจะต้องเด็ดหัวสุนัขเฒ่าบัดซบตนนี้ให้ได้!
หลิงฮันพักผ่อนเป็นเวลาสิบวัน เมื่อสภาพจิตวิญญาณฟื้นฟูกลับมา เขาก็ทำการหลอมเม็ดยาต่อ
ระยะเวลาภายในห้องบ่มเพาะกาลเวลาผ่านไปอีกสองเดือน สีหน้าของหลิงฮันค่อยๆเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นก่อนจะคำรามเสียงดัง ‘ตูม’ เตาหลอมเกิดการระเบิดอีกครั้ง พร้อมกับเม็ดยาสามเม็ดที่ลอยออกมา ในครั้งนี้เตาหลอมไม่ได้ระเบิดเอง แต่มันถูกหลิงฮันทำลาย
‘พรึบ’ เม็ดยาทรงกลมทั้งสามลอยไปมากลางอากาศและพยายามหนีขึ้นฟ้า แต่เนื่องจากห้องเร่งเวลาเป็นสถานที่ปิดตาย พวกมันจึงไม่อาจหนีไปไหนได้
หลิงฮันหัวเราะและเอื้อมมือออกไปคว้าเม็ดยาทั้งสามมาไว้ในมือ
หลอมเม็ดยาสำเร็จ!
เม็ดยาทั้งสามนี้คือเม็ดยาจันทราม่วงสะกดวิญญาณ คุณสมบัติของมันคือ ช่วยในการข่มจิตวิญญาณ ของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน
การบ่มเพาะพลังนั้น จอมยุทธจะต้องทำการเชื่อมสัมผัสกับอำนาจแห่งเต๋า เพียงแต่ว่าอำนาจแห่งเต๋านั้นยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขต ซึ่งจิตวิญญาณของจอมยุทธอาจจะหลงทางอยู่ใน อำนาจแห่งเต๋าอันกว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างง่าย เม็ดยาเม็ดยาจันทราม่วงสะกดวิญญาณจึงมีเอาไว้เพื่อไม่ให้ จอมยุทธหลงทางและสูญเสียความเป็นตัวเองไป
การหลอมเม็ดยานั้น มีการใช้ปริมาณสมุนไพรนิรันดร์ที่ต่างกัน และทักษะของนักปรุงยาก็ไม่เหมือนกันด้วย เพราะงั้นเม็ดยาจันทราม่วงสะกดวิญญาณจึงถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ ซึ่งก็คือระดับต่ำ กลาง สูง และสูงสุด
“เม็ดยาจันทราม่วงสะกดวิญญาณของข้า น่าจะถูกจัดอยู่ในเม็ดยาระดับกลาง” หลิงฮันกล่าวประเมิน
“หลอมเม็ดยาสำเร็จครั้งแรกก็ได้เม็ดยาระดับกลางแล้ว ข้านี่ยอดเยี่ยมจริงๆ” หลิงฮันกล่าวด้วยความภูมิใจ
หลิงฮันสัมผัสสวรรค์ของตนเองเป็นดาบ และสลักอักษร ‘ฮัน’ ลงไปบนเม็ดยา
นักปรุงยาทุกคนจะสลักสัญลักษณ์ของตนเองลงไว้ที่ผลงาน ถึงแม้เม็ดยาจันทราม่วงสะกดวิญญาณสามเม็ดนี้จะไม่ใช่ผลงานที่น่าภาคภูมิใจ แต่ก็เป็นเม็ดยาชุดแรกที่เขาหลอมสำเร็จ
ควรค่าแก่การจดจำมันเอาไว้
เนื่องจากระยะเวลาภายนอกยังไม่ถึงสิบวัน หลิงฮันจึงใช้เวลาที่เหลือหลอมเม็ดยาจันทราม่วงสะกดวิญญาณเพิ่ม ในครั้งนี้คุณภาพของเม็ดยาไม่ได้เพิ่มขึ้น และยังอยู่ในระดับกลางเหมือนเดิม
ต่อให้จักรพรรดิปรุงยาเช่นเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มคุณภาพเม็ดยาให้สูงขึ้น ในการหลอมครั้งเดียว
เมื่อเวลาของห้องบ่มเพาะกาลเวลาสิ้นสุด หลิงฮันก็มุ่งหน้ากลับสู่ที่พักของหลู่เซียนหมิง ในเวลานี้ มีตัวแทนจากขุมอำนาจที่ทรงพลังมากมายหลายสิบคน มายืนรอเขาอยู่
บางขุมอำนาจต้องการรับเขาเป็นศิษย์ ในขณะที่บางขุมอำนาจต้องการรับเขาเป็นบุตรเขย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรหลิงฮันก็ปฏิเสธไปทั้งหมด
ช่างน่าขันยิ่งนัก คนเหล่านี้กำลังดูถูกเขาอยู่รึไงกัน? เป้าหมายของเขาคือการเป็นผู้ปกครองเมืองวิถีโอสถในอนาคตต่างหาก!
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันปฏิเสธคำเชิญของทุกคน หลู่เซียนหมิงก็คิดไปเองว่าที่หลิงฮันทำเช่นนี้ก็เพื่อเขา เพราะงั้นเขาจึงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
หลิงฮ่นไถ่ถามข้อมูล และได้รู้ว่าในเมืองวิถีโอสถแห่งนี้ การจะเป็นนักปรุงยาได้นั้น จำเป็นต้องไปรับการตรวจสอบคุณสมบัติที่วิหารนักปรุงยาเสียก่อน
ระดับของนักปรุงยานั้นเริ่มจาก ผู้ช่วยนักปรุงยาแรกเริ่ม ผู้ช่วยนักปรุงยาขั้นกลาง ผู้ช่วยนักปรุงยาขั้นสูง และหลังจากนั้นถึงจะเป็นรักปรุงยาหนึ่งดาว
คุณสมบัติในการเป็นผู้ช่วยนักปรุงยาขั้นสูง คือต้องหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบให้ได้
หลิงฮันอุทาน ‘โอ้’ ออกมา แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เขาก็สามารถ เป็นผู้ช่วยนักปรุงยาขั้นสูงได้แล้วนี่เอง แต่ก็ช่างมัน ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ เขาสามารถเริ่มต้นจากการเป็นนักปรุงยาหนึ่งดาวได้ ซึ่งสถานะของเขาก็จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่า
เขาออกเดินทางไปยังวิหารนักปรุงยาเพื่อรับการทดสอบ
ครั้งนี้หลิงฮันต้องเพียงแค่ต้องการสถานะนักปรุงยาเท่านั้น เขาจึงไม่ได้พาจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะไปด้วย เพราะไม่ต้องการทำตัวโดดเด่น
ด้วยการที่ไม่เสียเวลาเต็ดเตร่อยู่ข้างทาง เวลาผ่านไปไม่นานหลิงฮันก็มาถึงวิหารนักปรุงยา วิหารแห่งนี้ทั้งใหญ่โตและดูอย่างเกรงขามเป็นอย่างมาก สิ่งก่อสร้างของวิหารกลืนกินพื้นที่รอบด้านไปหลายหมื่นไมล์ แถมยังสูงเกินพรรณนา
ที่แห่งนี้เป็นเพียงหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองวิถีโอสถเท่านั้น หากเป็นวิหารนักปรุงยาในอาณาเขตที่ห้าล่ะก็ ความน่าเกรงขามของมันจะมีมากกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า
หลิงฮันยืนและแหงนมองวิหารอันสูงลิบลิ่ว
บรรไดที่ใช้เดินขึ้นวิหารในแต่ละขั้นนั้น เรียงยาวต่อกันไปร้อยฟุต แถมยังถูกเคลือบเอาไว้ด้วยแร่หยกที่ส่องประกายงดงาม
“หลิงฮัน!” แต่ทันใดนั้นจู่ๆก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมา เมื่อแหงนมองขึ้นไปจะพบเห็นรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนบรรได และมองลงมายังหลิงฮันด้วยแววตาที่ดูเหมือนตนเองสูงส่งกว่า รุ่นเยาว์ผู้นี้ก้าวเดินลงบรรไดมาและกล่าว “ข้าคือชวีข่าน”
ชวีข่านคือหนึ่งในผู้สืบทอดของเมืองวิถีโอสถ
แต่ถึงอย่างนั้น เหตุใดเขาถึงปรากฏตัวขวางทางหลิงฮันกันแน่?