ชายชราผู้นี้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์จื่อเฉิง ชายชรามองมายังหลิงฮันด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ถึงแม้เขาจะยังไม่ลงมือทำอะไร แต่เพียงหนึ่งความคิดของชายชราก็ทรงอำนาจราวกับจะสามารถบดขยี้สวรรค์ชั้นฟ้า
ตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ แน่นอนว่าความแข็งแกร่งย่อมมีมากเกินพรรณนา
ภายในหัวของเขาหลิงฮันมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา แต่ก็ยังพยายามทำหน้าตาสงบนิ่งและเผยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส รุ่นเยาว์ไม่ทราบจริงๆว่าไปทำอะไรให้ผู้อาวุโสโกรธ”
“ข้าเรียกเจ้ามาพบก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่เจ้ากลับบ่ายเบี่ยง เจ้าคิดว่าตนเองมีอำนาจบารมีเหนือกว่าข้าผู้นี้งั้นรึ?” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน อำนาจแห่งเต๋าค่อยๆก่อตัวรวมกันเบื้องหลังของเขา และขยับไปมาเป็นรูปทรงมากมาย
‘ชายชราผู้นี้ทรงพลังยิ่งกว่าอสูรเฒ่าเงาโลหิต’
หลิงฮันครุ่นคิดในใจ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถนถออร่าของปรมาจารย์ทั้งสองมาเทียบกันได้ แต่แรงกดดันที่เขาสัมผัสได้นั้น ปรมาจารย์จื่อเฉิงถือว่าแข็งแกร่งกว่ามาก
เขายิ้มและกล่าวตอบ “นั่นเพราะรุ่นเยาว์ถูกปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้อง!”
“โอ้ งั้นเจ้าจะบอกว่าการที่เจ้าทุบตีผู้ช่วยนักปรุงยาของข้า เป็นการกระทำที่ถูกต้องงั้นสิ?” ปรมาจารย์จื่อเฉิงยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
หลิงฮันยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง ถ้าหากปรมาจารย์จื่อเฉิงผู้นี้คิดจะลงโทษเขาจริงๆ อีกฝ่ายจะมัวพล่ามให้เสียเวลาอยู่ทำไม? สำหรับนักปรุงยาระดับสี่ดาวแล้ว ต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานและนักปรุงยาหนึ่งดาวอยู่ดี ไม่มีความจำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องมาแยแสแม้แต่น้อย
หากต้องการสังหาร เพียงแค่หนึ่งความคิดก็สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น
หลิงฮันกล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เคารพ แต่ก็ไม่ได้อวดดี “คนผู้นั้นเป็นเพียงผู้ช่วยนักปรุงยาตัวจ้อยเท่านั้น การที่เขากล้ามาข่มขู่นักปรุงยาหนึ่งดาวเช่นข้า ข้าคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง!”
“เหอๆ เพราะงั้นเจ้าเลยทุบตีผู้ช่วยนักปรุงยาของข้างั้นสินะ?” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าวอย่างไม่แยแส ใบหน้าของเขาไม่แสดงออกแม้แต่น้อยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลิงฮันยิ้ม “เป็นอย่างที่ผู้วุโสกล่าว”
“เจ้าไม่รู้จักคำพูดที่ว่า หากจะตีสุนัขก็ต้องดูหน้าเจ้าของเอาไว้งั้นรึ?” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าว ก่อนจะปลดปล่อยจิตสังหารออกมาและตบโต๊ะเบาๆ ถึงแม้แรงตบจะเบาจนไม่มีเสียง แต่ภายในห้วงจิตใจของหลิงฮันกลับรู้สึกสั่นสะท้าน ราวกับสวรรค์กำลังล่วงหล่น
นี่คือพลังอำนาจของตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ ทุกๆการเคลื่อนไหวสามารถส่งผลกระทบไปถึงจิตใจของผู้คน
“เห็นแก่พรสวรรค์ของเจ้า ข้าจะมอบโอกาสให้” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงมา “เจ้าจงไปอ้อนวอนขอโทษผู้ช่วยนักปรุงยาของข้า แล้วข้าจะยอมไว้ชีวิต”
หลิงฮันตอบกลับอย่างไม่ลังเล “รุ่นเยาว์ไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดรุ่นเยาว์ถึงต้องเป็นฝ่ายขอโทษ?”
“ฮ่าๆๆ ข้ามีชีวิตมานานกว่าหลานแสนล้านปี แต่เพิ่งเคยพบเจอรุ่นเยาว์เช่นเจ้าเป็นครั้งแรก ในเมื่อเจ้าอาจหาญกล้าจนไม่แยแสใครอยู่ในสายตา งั้นก็จงตายอย่างมีเกียรติซะ!” ปรมาจารยจื่อเฉิงทำการผลักฝ่ามือออกไป ‘ครืนน’ ออร่าอันทรงพลังควบแน่นกลายเป็นเปลวเพลิงขนาดยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าอันทรงพลัง
สำหรับนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน อย่าเพิ่งกล่าวถึงอำนาจของฝ่ามือนี้เลย ‘นิยายเรื่องนี้ก๊อปมาจาก www.thai-novel.com’ เกรงว่าเพียงแค่จ้องมอง ก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอันไร้ก้นบึ้งแล้ว
แต่หลิงฮันไม่ใช่ เขาพาดมือทั้งสองไว้ด้านหลัง และยืนตรงตระหง่านราวกับใบดาบ นี่คือการเดิมพันของเขาต่อปรมาจารย์จื่อเฉิง ถ้าหากเขาเดิมพันผิดพลาด ค่าตอบแทบที่เขาต้องจ่ายก็คือชีวิต
ในความเป็นจริง ด้วยการที่มีหอคอยทมิฬอยู่ในครอบครอง หลิงฮันไม่จำเป็นต้องเดิมพันแม้แต่น้อย ตราบใดที่คนที่เขาเผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่ราชานิรันดร์ แค่เข้าไปหลบซ่อนตัวในหอคอยทมิฬเขาก็ปลอดภัยแล้ว เพียงแต่ยิ่งระดับพลังบ่มเพาะสูงขึ้น เขาก็ยิ่งไม่อยากพึ่งพาหอคอยทมิฬมากเกินไป
“จงร้องขอความเมตตาซะ แล้วข้าจะมอบโอกาสให้เจ้า!” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องราวกับฟ้าผ่า
หลิงฮันไม่กล่าวอะไรตอบแม้แต่คำเดียว และยังคงยื่นผงาดอยู่เช่นเดิม
‘ตูมม’ เมื่อฝ่ามือตกกระทบ อำนาจอันทรงพลังก็ส่งผลให้ทั่วทั้งภูเขาลูกที่เจ็ดสั่นสะเทือน
เมื่ออำนาจอันน่าสะพรึงกลัวสลายไป ร่างของหลิงฮันก็ค่อยๆปรากฏ โดยที่ไม่มีบาดแผลตามร่างกายแม้แต่นิดเดียว
ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะหลิงฮันมีพลังท้าทายสวรรค์ ที่สามารถต้านทานการโจมตีของตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ได้ แต่เป็นเพราะในตอนที่การโจมตีกำลังจะตกกระทบ การโจมตีได้เบี่ยงหลบเขาไปเอง เพราะไม่งั้นแล้ว ไม่เพียงแค่ชีวิตของเขาจะดับสูญ แต่เกรงว่าแม้แต่กระดูกสักท่อนก็คงไม่เหลือ
“ฮ่าๆๆ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงหัวเราะลั่น แรงกดดันอันเกรี้ยวกราดรอบกายของเขาสลายไป ใบหน้าของเขายิ้มแย้มด้วยอารมณ์ที่เบิกบานแทน
ถึงแม้หลิงฮันในตอนนี้จะเหงื่อท่วมเต็มหลัง แต่ใบหน้าของเขาก็ยังสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง และรับรู้ทันทีว่าตนเองเดิมพันถูกแล้ว
ในความเป็นจริง ต่อให้เขาเดิมพันผิดพลาดก็ใช้ว่าจะไม่มีท่าหนีรอด คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์สามารถทำให้เขาถือกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านได้ ซึ่งนั่นจะเป็นการมอบโอกาสให้เขาอีกครั้งหนึ่ง และหากเขาใช้ทักษะกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านล่ะก็ คำสาปอสูรทมิฬอาฆาตก็จะถูกชำระล้างไปด้วย
แต่ถึงอย่างไร การจะใช้ทักษะกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านเพื่อการนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรนัก เนื่องจากเขายังต้องการใช้คำสาปอสูรทมิฬอาฆาตในการขัดเกลาตนเองอยู่
“เจ้าหนู ความกล้าหาญของเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก!” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าว
ท่าทีของหลิงฮันกลายมาเป็นน้อบน้อมและกล่าว “ขอขอบคุณผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก ที่ไม่สังหารรุ่นเยาว์!”
ปรมาจารย์จื่อเฉิงเผยสีหน้าพึงพอใจกับความยืดหยุ่นของหลิงฮัน ที่รู้ว่าตอนไหนควรแข็งกร้าน ตอนไหนควรนอบน้อม
หลังจากรอคอยมาหลายปี ในที่สุดเขาก็พบเจออัจฉริยะที่ทำให้เขาพอใจเสียที
“เจ้าไม่คิดว่าข้าจะสังหารเจ้ารึ?” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเอ่ยถาม
หลิงฮันยิ้ม “รุ่นเยาว์มั่นใจเจ็ดถึงแปดส่วน ว่าผู้อาวุโสจะไม่ทำเช่นนั้น”
“แต่ก็ยังไม่ใช่สิบส่วนอยู่ดี หากเจ้าคาดการณ์ผิดล่ะ?” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเอ่ยถามอีกครั้ง
หลิงฮันยังคงยิ้ม “เพียงแค่เจ็ดถึงแปดส่วน ก็คุ้นที่จะเสี่ยงแล้ว” แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล่าวออกไป ว่าต่อให้เขาเดิมพันผิดพลาด ก็ยังมีทักษะถือกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านอยู่อีก
“เป็นเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยม!” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเลิกคิ้ว สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความชื่นชม “เจ้ามานั่งตรงนี้สิ”
หลิงฮันก้าวเดินไปนั่งคุกเข่าตรงข้ามปรมาจารย์จื่อเฉิงด้วยท่าทางสุภาพ
ปรมาจารย์จื่อเฉิงรู้สึกพึงพอใจมากกว่าเดิม เขามองหลิงฮันด้วยสายตาชื่นชมและยิ้ม “ในความคิดของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่จะยอมปล่อยให้คนของตนเอง ไปทำตัวยิ่งยโสและกร่างใส่คนอื่นรึไม่??”
หลิงฮันกล่าวตามตรง “ในตอนแรกที่ข้าไม่รู้จักผู้อาวุโส และได้เห็นท่าทีอันหยิ่งทะนงของผู้ช่วยนักปรุงยาโม่เป็นครั้งแรก ข้าคิดไปแล้วจริงๆว่าผู้ช่างเป็นคนที่สายตาคับแคบจริงๆ เพียงแต่ว่าหลังจากที่ข้าสั่งสอนผู้ช่วยนักปรุงยาโม่ไปแล้ว แต่ทางเมืองวิถีโอสถก็ยังไม่บังคับกฎมาลงโทษข้าเสียที ซึ่งก็เป็นในตอนนั้นเองที่ข้ารู้ผู้อาวุโสไม่ใช่คนเช่นนั้น”
“ฮ่าๆๆ!” ปรมาจารย์จื่อเฉิงหัวเราะยิ่งกว่าเดิม “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า ทำไมข้าถึงยอมปล่อยให้เสี่ยวโม่ทำตามใจชอบ จนผู้คนคิดไปเองว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นล่ะ?”