หลิงฮันฝึกฝนศาสตร์ปรุงยาต่อ
ด้วยพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ของเขา และพฤกษาต้นกำเนิดอย่างต้นสังสารวัฏ หลังจากเวลาผ่านไปอีกเพียงห้าเดือน ทักษะห้วงจิตปรับแต่งของเขาก็ยกระดับเป็นขั้นสอง
“ประสิทธิภาพในการปรับแต่งขั้นสองของข้า ถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอแล้ว” หลิงฮันมองไปยังเม็ดยาในมือ ที่มีลวดลายสีทองสองเส้นปรากฏออกมา หนึ่งเส้นเป็นสีทองอร่าม ในขณะที่อีกเส้นเป็นสีทองหม่นหมอง
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ
“เพียงแต่ขนาดทักษะห้วงจิตปรับแต่งขั้นสองยังยากลำบากขนาดนี้… แทบจะจินตนาการไม่ออกเลย ว่าห้วงจิตปรับแต่งขั้นที่ห้าจะยากลำบากขนาดไหน! ”
อย่ามองว่าเขาสามารถบรรลุห้วงจิตปรับแต่งขั้นสองได้รวดเร็ว แล้วขั้นอื่นๆ จะเป็นเช่นนี้ด้วย ยิ่งขั้นของห้วงจิตปรับแต่งสูงขึ้นเท่าไหร่ ความยากที่จะฝึกฝนสำเร็จก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้นห้วงจิตปรับแต่งขั้นสามจึงเป็นขีดจำกัดของนักปรุงยาแทบทุกคน และนักปรุงยาที่บรรลุห้วงจิตปรับแต่งขั้นห้าได้ จึงถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์นักปรุงยา
หลิงฮันเก็บตัวฝึกฝนต่อไป เพื่อขัดเกลาประสิทธิภาพของห้วงจิตปรับแต่งขั้นสอง
ในขณะเดียวกัน ระยะเวลาสามปีที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงกำหนดเอาไว้ ก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ซึ่งผู้สืบทอดทุกคนต่างอุ่นเครื่องขัดเกลาทักษะของตนเอง เพื่อตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอคอยวันที่ใกล้จะมาถึง
ก่อนหน้านี้ หลู่เซียนหมิงคือผู้สืบทอดที่มีความหวังมากที่สุด เนื่องจากพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาของเขาเหนือกว่าใครๆ แต่เขาเองก็มีจุดอ่อนเดียวกับหลิงฮัน คือระยะเวลาฝึกฝนที่ไม่มากพอ
หากให้เวลาเขาอีกหนึ่งหรือสองน้อยล้านปีล่ะก็ หลู่เซียนหมิงจะต้องก้าวขึ้นมาอยู่เหนือผู้สืบทอดทุกคนแน่นอน แต่สำหรับระยะเวลาเพียงสามปี เขาย่อมไม่สามารถไล่ตามความต่างชั้นระหว่างผู้สืบทอดคนอื่นๆ ทัน
เมื่อถึงวันที่ครบกำหนด หลิงฮันที่ยังคงฝึกฝนศาสตร์ปรุงยาอยู่ก็ถูกขัดจังหวะกลางคัน ผู้สืบทอดทั้งสิบคนต่างถูกเรียกตัวไปยังวิหารนักปรุงยา เพื่อทำการคัดเลือกผู้ปกครองคนต่อไป
หลังจากวันนี้ บางทีเมืองวิถีโอสถอาจจะไม่มีผู้สืบทอดอีกต่อไป สิ่งที่เหลืออยู่จะเพียงอนาคตประมุขเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
หลิงฮันมุ่งหน้ามายังอารมตะวันกระจ่าง ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญสำหรับใช้จัดงานรวมตัวที่สำคัญของเมืองวิถีโอสถ
ผู้สืบทอดทั้งสิบคนยืนเรียงกันอยู่ในอาราม เพื่อเฝ้ารอจุดพลิกผันโชคชะตาครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต
เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดคนอื่น หลิงฮันมีท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาพกความมั่นใจมาเต็มร้อย
ปรมาจารย์จื่อเฉิงที่มองดูอยู่ เผยรอยยิ้มพึงพอใจ ศิษย์ของเขาช่างแตกต่างจริงๆ ทั้งๆ ที่คนอื่นกำลังกระวนกระวายแทบตาย แต่หลิงฮันกลับมีท่าทีที่สงบนิ่งราวกับขุนเขา
ด้านในอารามตะวันกระจ่าง นักปรุงยามากมายมารวมตัวกัน สำหรับทางด้านของนักปรุงยาสี่ดาว ปรมาจารย์ชิวเย่ กับปรมาจารย์เทียนซินไม่ได้มาด้วย เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจว่าใครจะได้ขึ้นผู้ปกครองคนต่อไปของเมืองวิถีโอสถ
กลุ่มของนักปรุงยาสามดาวนั่งเรียงกันล้อมรอบห้องโถงหลักของอาราม ในขณะที่นักปรุงยาระดับสองกับนักปรุงยาระดับหนึ่ง ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะได้นั่งและต้องยืนสถานเดียว
ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าว “วันนี้คือวันที่จะกำหนดผู้ปกครองคนต่อไปในอนาคตของเมืองวิถีโอสถ ในหมู่ผู้สืบทอดทั้งสิบคน… มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่จะได้แบกรับภาระในการชี้นำอนาคตของเมืองวิถีโอสถ เพียงแต่ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ก็ยังมีความสำคัญที่จะเป็นเสาหลักคอยค้ำจุนเมืองวิถีโอสถเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรอนาคตของเมืองนี้ก็ยังต้องพึ่งพาพวกเจ้า”
“กฎการคัดเลือกไม่มีอะไรยาก พวกเจ้ามีหน้าที่หลอมเม็ดยานิรันดร์สองดาว ที่ปรับแต่งอย่างน้อยสองขั้น หากหลอมเม็ดยาสามดาวหรือปรับแต่งมากกว่าสองขั้น ก็จะได้รับแต้มพิเศษ นอกจากนั้นระยะเวลาที่ใช้ในการฝึกฝนศาสตร์ปรุงยาก็มีผลเช่นกัน ยิ่งพวกเจ้าเข้าสู่ศาสตร์ปรุงยาไม่นาน แต้มพิเศษที่ได้ก็จะสูงขึ้น”
ประโยคสุดท้ายนี้เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์จื่อเฉียงเตรียมเอาไว้เพื่อหลิงฮัน ถึงแม้หลู่เซียนหมิงจะเข้าสู่ศาสตร์ปรุงยามาได้ไม่นาน ซึ่งจะได้รับแต้มพิเศษเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับหลิงฮันแล้วยังถือว่าต่างชั้น
ปรมาจารย์จื่อเฉิงมองไปยังผู้สืบทอดทั้งสิบคนและสะบัดมือ “เริ่มได้”
เขาที่รู้ความสามารถของหลิงฮันดีกว่าใครนั้น แท้จริงแล้วเขาคร้านจะทำอะไรให้ยุ่งยาก และอยากเลือกหลิงฮันให้เป็นผู้ปกครองต่อโดยตรงเลยด้วยซ้ำ
หลิงฮันและผู้สืบทอดอีกเก้าคนเข้าสู่ห้องหลอมเม็ดยา ชนิดของเม็ดยาที่ใช้ในการทดสอบนั้นไม่ได้กำหนดเอาไว้ แต่ระยะเวลาที่มีให้คือสามเดือนในห้องหลอมเม็ดยา หรือเทียบกับเวลาจริงแล้วคือหนึ่งวันเท่านั้น
ผลตัดสินโชคชะตาจะรู้กันในหนึ่งวัน
หลิงฮันไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เขาจะทำคือการหลอมเม็ดยาตามปกติของตัวเอง
ในห้องหลอมเม็ดยาห้องหนึ่ง หลู่เซียนหมิงเผยสีหน้ามั่นใจเป็นอย่างมาก
ในสามปีที่ผ่านมานี้ ต่อให้ใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในห้องบ่มเพาะกาลเวลา ระยะเวลาที่มีก็คือสามร้อยวันเท่านั้น ซึ่งเขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าผู้สืบทอดคนอื่นๆ จะพัฒนาความสามารถไปได้ไกล
ในเรื่องความสามารถของการปรุงยา ถึงแม้เขาจะยังเทียบกับผู้สืบทอดคนไม่ได้มาก แต่หากนับแต้มจากระยะเวลาที่เข้าสู่ศาสตร์ปรุงยาแล้วล่ะก็ เขาจะได้แต้มพิเศษมาชดเชยในส่วนนั้นมากมายแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือเขานำผลึกสกาวแสงมาด้วย
มันคือตัวช่วยสำหรับห้วงจิตปรับแต่ง ที่สามารถทำให้ประสิทธิภาพของห้วงจิตปรับแต่ง ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล!
นอกจากหลู่เซียนหมิงแล้ว คนที่มีความมั่นใจแบบเดียวกันก็คือฉินกู่ยวี่
ถึงแม้นางจะไม่ได้มีผลึกสกาวแสง แต่นางคือตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ ที่ในตอนทะลวงผ่านระดับตัดวิญญาณหยาง นางบังเอิญได้รับธาตุวิญญาณคู่อย่าง พฤกษาและวารีซึ่งพบเจอยากยิ่ง
หากนางเป็นเพียงจอมยุทธทั่วไป ธาตุวิญญาณเช่นนี้คงทำให้พลังต่อสู้ของนางต่ำเตี้ยติดดิน แต่ในฐานะนักปรุงยาพลังธาตุเช่นนี้คือสมบัติล้ำค่า!
นี่คือไพ่ลับที่แม้แต่อาจารย์ของนางก็ไม่เคยรับรู้
ธาตุวิญญาณนี้ช่วยให้ตัวของนางมีความสอดคล้องกับพฤกษาและสมุนไพร ซึ่งมีอิทธิพลกับการปรุงยาเป็นอย่างมาก
เพราะเหตุนี้ นางจึงมั่นใจว่าจะสามารถหลอมเม็ดยานิรันดร์ ที่ไร้ผู้ใดทัดเทียมขึ้นมาได้
ทักษะห้วงจิตปรับแต่งเองก็มีผลช่วยเสริมคุณภาพของเม็ดยา เพราะงั้นหากนางหลอมเม็ดยาคุณภาพยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ตั้งแต่แรก แต่ประสิทธิภาพของการปรับแต่งไม่ดี นางก็ยังมีแต้มต่อกว่าใครอยู่ดี