ตอนที่ 1915 เหมือนแต่ไม่ใช่
ที่ชั้นบรรยากาศเกิดการผันผวนของห้วงมิติ พร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งได้ก้าวเดินออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า
บุรุษผู้นี้สวมชุดสีฟ้าคราม และมีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี ใบหน้าของเขาขาวเนียนดั่งหยก และมีแววตาอบอุ่น ที่ไม่ว่าใครมองก็ต้องรู้สึกสบายใจ
คนคนนี้ นอกจากรูปโฉมที่หล่อเหลาแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูพิเศษเลย
เขาคือราชานิรันดร์หย่งชางจริงๆรึ?
“เจ้าคือหลี่ว์ไห่หรงงั้นรึ?” บุรุษชุดฟ้าครามกล่าวและเผยสีหน้าเอ็นดู “เด็กสาวที่อยู่ใกล้ชิดธิดาอี่อวิ๋นในตอนนั้น ไม่คาดคิดว่าตอนนี้จะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับสี่แล้ว”
สตรีวัยกลางคนมองไปยังชายด้วยสีท่าทางนับถือและกล่าว “หลี่ว์ไห่หรงคารวะผู้อาวุโสหย่งชาง!”
ราชานิรันดร์แต่ละระดับมีอํานาจที่แตกต่างกันราวกับสวรรค์และปฐพี เพราะงั้นต่อให้นางจะเป็นราชานิรันดร์ระดับสี่ แต่พลังของนางก็ยังห่างชั้นกับราชานิรันดร์หย่งชางไม่รู้กี่เท่า และยิ่งกว่านั้นราชานิรันดร์หย่งชาง ก็ยังอายุเยอะกว่านางมากโขอีกด้วย
ราชานิรันดร์หย่งชางสะบัดมือเพื่อบอกว่าไม่จําเป็นต้องมากพิธี และหันไปมองฮูหนิว “นั่นคือ ร่างกําเนิดใหม่ของราชานิรันดร์อี่อวิ๋นงั้นรึ?”
เขาจ้องมองฮูหนิวด้วยแววตาส่องประกาย
อูหนวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ ตาลุง เจ้าไม่คิดรีว่าการมองคนอื่นด้วยแววตาเช่นนั้น เป็นสิ่งที่เสียมารยาท?”
ราชานิรันดร์หย่งชางจ้องมองอยู่สักพัก ก่อนจะหัวเราะและส่ายหัว “ไม่ใช่ เจ้าไม่เหมือนธิดาอี่อวิ๋นแม้แต่น้อย! ถึงแม้เจ้าจะได้รับพรสวรรค์ และตราประทับวรยุทธของนางมา แต่เจ้ากับนางเป็นคนละคนกันแน่นอน”
“ดูเหมือนเรื่องที่ว่าฮ่อวินถูกโจมตีและดับสิ้นไปแล้ว จะเป็นความจริงสินะ”
ราชานิรันดร์หย่งชางโศกเศร้าเป็นอย่างมาก “ธิดาอี่อวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในโลก ไม่ใช่ราชานิรันดร์ผู้ใดก็ยินยอมที่จะศิโรราบต่อฝ่าเท้าของนาง… ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก”
ยุหนิวพึมพํา “ ตาลงตัวเหม็นคนนี้ คงไม่ใช่วัวแก่ที่คิดจะกินหญ้าอ่อนหรอกนะ”
แน่นอนว่าราชานิรันดร์หย่งชางย่อมได้ยินอย่างชัดเจน ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกประหลาดใจ ถึงแม้ฮูหนิวจะเหมือนกับราชานิรันดร์อี่อวิ๋นอยู่หลายส่วน แต่ดูเหมือนนิสัยของทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างสมบูรณ์จริงๆ
ราชานิรันดร์หย่งชางคือหนึ่งในคนที่หลงรักราชานิรันดร์อี่อวิ๋น เพราะงั้นเมื่อเห็นฮูหนิวในตอนนี้ ความรักที่เขามีต่อธิดาอี่อวิ๋น จึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นความเอ็นดูต่อฮูหนิวแทน
“พวกเจ้าคงไม่ได้มาที่นี่ เพื่อก่อปัญหาอะไรใช่รึไม่?” ราชานิรันดร์หย่งชางยิ้ม ต่อหน้าฮูหนิวแล้ว เขาได้ละทิ้งมาดอันน่าเกรงขามไป และกล่าวหยอกล้อออกมา
“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น!” หลี่ว์ไห่หรงรีบกล่าวแทรก “ข้าเพียงแค่มาทําหน้าที่คอยคุ้มกันประมุขหญิงน้อยเท่านั้น ข้าจะไปกล้าล่วงเกินผู้อาวุโสได้อย่างไร?” ถึงแม้อีกฝ่ายจะเพียงแค่ล้อเล่น แต่ด้วยความต่างชั้นของพลัง ทําให้นางไม่รู้สึกตลกเลยแม้แต่น้อย
ราชานิรันดร์หย่งชางยิ้ม “ภูเขาลูกนี้คือสถานที่ที่ข้าบรรลุเป็นราชานิรันดร์ หลังจากยุคสมัยผ่านพ้นไป สวรรค์และปฐพีได้ให้กําเนิดวาสนาที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เด็กสาวผู้นี้สามารถเข้าร่วมชิงได้ ส่วนเจ้ารอคอยอยู่ที่นี้”
“น้อมทําตามที่ผู้อาวุโสกล่าว” หลี่ว์ไห่หรงกล่าวอย่างเคารพ
อีกฝ่ายเป็นถึงราชานิรันดร์ระดับแปด ในตําหนักมัจฉาวายุภักษ์มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น เท่านั้น ที่สามารถกําราบอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นได้รับบาดเจ็บแห่งเต๋า หากเข้าร่วมการประลองที่รุนแรงล่ะก็ เป็นไปได้ว่าหลังจากที่การประลองจบลง ชีวิตของนางจะถึงคราวดับสิ้น
“ไปได้” ราชานิรันดร์หย่งชางสะบัดไปยังฮูหนิว
“ข้าไม่จําเป็นต้องฟังคําพูดของเจ้าเสียหน่อย” ฮูหนิวพึมพําและก้าวเข้าสู่ภูเขา
“หลิงฮัน! หลิงฮัน! หลิงฮัน!”
นางหัวเราะเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยานขึ้นสู่ทางเดินของภูเขา ระยะเวลาที่ต้องแยกจากกันนั้นยาวนางเหลือเกิน นางคิดถึงหลิงฮันของนางเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ฮูหนิวจะออกตัวช้ากว่าคนอื่นครึ่งปี แต่ด้วยพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทานของนาง ทําให้นางพุ่งทะยานขึ้นเขาไปได้อย่างรวดเร็ว
ราชานิรันดร์หย่งชางจ้องมองแผ่นหลังของฮูหนิว และเผยสีหน้าชื่นชม “สมกับเป็นเด็กสาวที่สืบทอดพรสวรรค์ของอี่อวิ๋น จํานวนอัจฉริยะที่สามารถต่อกรกับนางได้ สมควรมีไม่เกินสิบคน”
หลี่ว์ไห่หรงเผยสีหน้าไม่พอใจทันที ประมุขหญิงน้อยของนางคือร่างกําเนิดใหม่ของประมุขหญิงคนก่อน เพราะงั้นพลังของประมุขหญิงน้อยของนาง จึงสมควรไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน ในยุทธภพนี้จะมีคนที่สามารถต่อกรกับนางได้ถึงสิบคนได้อย่างไร?
“ฮ่าๆๆ” ราชานิรันดร์หย่งชางยิ้ม และไม่ต่อเถียงอะไรกับหลี่ว์ไห่หรง ในสายตาของเขา อีกฝ่ายเป็นเพียงรุ่นเยาว์ผู้หญิงเท่านั้น
หลิวย่า คนผู้นี้คืออัจฉริยะที่เพิ่งเฉิดฉายเมื่อไม่นานมานี้
แน่นอนว่าสําหรับดินแดนแห่งเซียนนั้น คําว่า “ใหม่” หรือ “ไม่นาน” ย่อมหมายถึงระยะเวลาที่เพิ่งผ่านมาไม่เกินแสนปีหรือล้านปี หลิวย่าผู้นี้นั้นก่อนที่จะบรรลุระดับสี่นิพพาน เขาเป็นคนที่ปิดบังความสามารถของตนเองเอาไว้ โดยที่หลังจากเป็นนิรันดร์สี่นิพพานแล้ว เขาได้สําแดงความสามารถออกมา และเหยียบย่ำอัจฉริยะไปมากมาย
เพราะไม่งั้นแล้ว เขาจะไม่มีคุณสมบัติให้เอียนเซียนสู่เชิญชวนมาที่นี่
สภาพของเขาในตอนนี้ค่อนข้างเหนื่อยหอบ เนื่องจากศัตรูที่พบเจอระหว่างทางแข็งแกร่งมาก เขาจึงต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อเอาชนะ และหยุดพักฟื้นฟูปราณก่อเกิด หากไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดแล้ว เมื่อพบเจอศัตรูคนต่อไป เขาคงไม่สามารถเอาชนะได้
ใบหน้าของเขาในตอนนี้ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม เขามั่นใจมากว่าความเร็วในการไต่ขึ้นภูเขาของเขา ต้องรวดเร็วกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆ แทบทุกคนแน่นอน
แต่ในขณะที่เขารู้สึกว่าตนเองพักเพียงพอแล้ว และกําลังจะลุกขึ้นยืนนั่นเอง เขาก็พบว่าที่ด้านหลังของ มีอะไรบางอย่างกําลังเคลื่อนไหวอยู่
ในฐานะที่เป็นจอมยุทธที่ทรงพลังคนหนึ่ง เขารีบหันกลับไปและตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างระมัดระวังทันที
ใครบางคน กําลังวิ่งมาทางนี้
หลิวย่าตกตะลึง ด้วยความเร็วในการไต่ของเขา จะมีใครอื่นสามารถไล่ตามกันได้อย่างไร?
เหลือเชื่อ!
เขาจะอยากเห็นหน้าคนที่กําลังวิ่งใกล้เข้ามา และทําการท้าประลอง บางทีคนผู้นี้อาจจะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเจอเลยก็เป็นได้
“ไสหัวไป! หลบไปให้พ้น!” ในขณะที่เสียงตะโกนดังขึ้น ร่างของใครบางคนก็ปรากฏออกมาจากระยะที่ห่างไกลออกไป เจ้าของเสียงคือสตรีงดงาม ที่เส้นผมสีดําส่องประกายระยิบราวกับหมู่เมฆ
สีหน้าของหลิวย่าเปลี่ยนไปทันที่ราวกับเห็นผี
เขาไม่ได้ตกตะลึงเพราะความงามของสตรีผู้นี้ จริงอยู่ที่อีกฝ่ายงดงามเป็นอย่างมาก แต่ยังมีสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่า ก็คือจํานวนคนมากมายที่วิ่งไล่ตามนางมาจากด้านหลัง!
คนจํานวนมากเหล่านี้หลิวย่ารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างมาก เนื่องจากแต่ละคนคืออัจฉริยะที่ปรากฏขึ้นมาจากความทรงจําของราชานิรันดร์หย่งชาง ที่เขาเคยปะทะด้วยมาก่อน
ตูม! ตูม!
สตรีที่พุ่งเข้ามา ทําการปล่อยหมัดเข้าใส่หลิวย่า
หลิวย่ามองดูหมัดอันเรียบเนียนที่พุ่งเข้าใส่ ถึงแม้กําปั้นตรงหน้านี้จะดูงดงามแค่ไหน แต่มันก็อัดแน่นไปด้วยอํานาจที่น่ายําเกรง ตราประทับแห่งเต๋าที่พัวพันอยู่รอบกําปั้นนั้น ทรงพลังราวกับจะสามารถบดขยี้ได้แม้แต่ผืนปฐพี
“ข้าไม่ใช่ อ้ากกก!” เขาต้องการกล่าวออกไปว่า ตนเองไม่ใช่อัจฉริยะจากยุคบรรพกาลที่ปรากฏออกมาจากความทรงจํา แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบ ร่างของเขาก็ถูกหมัดซัดเข้าใส่เสียก่อน